อายตนะคืออะไร


        ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นนะคะ ฟังเพื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เพราะฉะนั้น ขณะนี้มีเห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่กระทบตา ไม่เห็น เพราะฉะนั้น หนึ่งขณะเห็นต้องมีตา จักขุ คือ ตา แต่ไม่ใช่จักขุทั้งหมดตาดำตาขาวนะคะ เฉพาะตรงส่วนที่กระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้เท่านั้น เป็นปสาท เป็นรูปพิเศษที่อยู่ที่ตัว อยู่กลางตา สามารถที่จะกระทบ และมีธาตุรู้ ไม่ใช่ตาเห็น แต่ธาตุรู้เป็นสภาพรู้เกิดขึ้นเห็นขณะนี้เอง ให้เข้าใจว่านี่คือธรรม นี่คืออายตนะ เพราะว่าอายตนะ คือ ที่ประชุมบ่อเกิดให้มีธาตุที่กำลังปรากฏ ว่ากำลังเห็นเดี๋ยวนี้ และมีสิ่งที่กำลังปรากฏด้วย เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่จะเกิดขึ้นได้ ไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นได้ โดยเกิดขึ้นเองตามลำพัง แต่ต้องอาศัยปัจจัย แม้แต่เห็น ไม่มีตาก็เห็นไม่ได้ ไม่มีสิ่งที่กระทบตาก็ไม่เห็น

        เพราะฉะนั้น เห็นเป็นเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ทางตา รูปร่างสัณฐานต่างๆ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็หนึ่ง เห็นก็หนึ่ง จักขุปสาทก็ หนึ่ง และขณะที่เห็นเป็นจิต เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้ ถามว่าเห็นอะไร ตอบได้เลย เพราะกำลังรู้สิ่งนั้น ได้ยินอะไร เสียงอะไร ก็ตอบได้ เพราะสิ่งนั้นกำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จิตเป็นสภาพที่รู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ ภาษาบาลีจะใช้คำว่าอารัมณะ ภาษาไทยใช้คำว่าอารมณ์ ตัดจากอารัมณะ เป็นอารมณ์คือ สิ่งที่จิตรู้ เพราะฉะนั้น จิตเกิดขึ้นรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เพราะฉะนั้น เสียงเป็นอารมณ์ของจิตได้ยิน สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้เลย ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น แต่ว่าเป็นสิ่งที่ กำลังกระทบตามีจริงๆ และจิตเห็นก็เกิดขึ้นเห็นจริงๆ เเล้วก็ดับไป เพราะว่าในขณะที่ได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว นี่คือ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทรงตรัสรู้ความจริงซึ่งเทวดา พรหมในสากลจักรวาล ไม่สามารถที่จะรู้ได้ แต่ว่าพระองค์ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้ความจริง จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจความจริงด้วย จึงทรงพระนามว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งทำให้ดับกิเลสหมด ไม่เหลือเลยนะคะ เป็นพระอรหันต์ คือ ผู้ที่ไม่มีกิเลสเลย

        เพราะฉะนั้น เวลาฟังอะไรแล้วมีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏ นั่นเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว ทุกคำค่ะ พิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย เพราะฉะนั้น บางคนก็สงสัยว่า แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย ที่สามารถจะทำให้เข้าใจขึ้น รู้ตามความจริงนั้นถูกต้อง ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ถ้าพูดเรื่องอื่นไม่กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ให้เข้าใจถูกต้อง คำนั้นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เพราะฉะนั้น เวลานี้ทั้งหมดเป็นธรรม ไม่ใช่แต่คนที่มาฟังนะคะ ไม่ใช่แต่เห็นเป็นธรรม ได้ยินเป็นธรรม สีสันวรรณะก็เป็นธรรม กระทบสัมผัสสิ่งที่แข็ง แข็งก็เป็นธรรม ไม่ว่าอะไรที่มีจริงทั้งหมด ทรงตรัสรู้ความจริงว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หลากหลายมากที่ประชุมกันรวมกันมีอยู่ตรงนั้น สิ่งหนึ่ง สิ่งใดก็ตามที่มีอยู่ตรงนั้น ประชุมอยู่ตรงนั้น ทำให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น เป็นอายตนะ เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวว่า ตาเป็นอายตนะหรือเปล่า ตาเนี่ยคะ เป็นอายตนะหรือเปล่า มีนี่ ใช่ไหมคะ แต่เวลาไม่เห็นเป็นอายตนะหรือเปล่า ไม่เป็น ขณะใดที่เห็นกำลังนี่แหละเป็นอายตนะ สิ่งที่มี ที่มองไม่เห็นขณะใด ก็ไม่ใช่อายตนะ แต่ที่กำลังปรากฏให้เห็นขณะที่เห็นเกิดขึ้นเท่านั้น นั่นเป็นอายตนะ เพราะฉะนั้น มีตา มีสิ่งที่ปรากฏ และก็กำลังมีสิ่งที่กำลังรู้สิ่งนั้น คือ มีจิต และก็มีเจตสิก และมีรูป ไม่พ้นเลยสิ่งที่มีจริง จะกล่าวถึงใครก็ตาม เเต่ความจริงแท้ก็คือ เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด คือ ถ้าเป็นธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ทางตาเห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายรู้สิ่งที่กำลังกระทบสัมผัสทางใจกำลังคิดนึก นั้นคือจิต เป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ว่ามีเจตสิกสภาพนามธรรมซึ่งเกิดกับจิต ชอบ โกรธ ขยัน ขี้เกียจ ทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เว้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เป็นเจตสิก

        เพราะฉะนั้น เราขยันหรือคะ เป็นธรรมทั้งหมด ถ้าขยันก็ต้องเป็นเจตสิก ใช่ไหมคะ ถ้าเห็นก็ต้องเป็นจิต ถ้าชอบก็เป็นเจตสิก ถ้าไม่รู้อะไรเลยก็เป็นรูป รูปธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้น ที่หลงเข้าใจว่าเป็นเราก็คือ ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก เป็นเราไหม จะเป็นเราได้ยังไง ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป เป็นเราไหม

        อ.กุลวิไล ไม่เป็น

        ท่านอาจารย์ ก็ไม่เป็น เพราะฉะนั้น ที่ว่าเป็นเราเนี่ย พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ว่าความจริงเป็นธรรมทั้งหมด ซึ่งเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น เปลี่ยนธรรมให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ให้เห็นที่กำลังเกิดดับเป็นเราได้ยังไง ก่อนเกิดก็ไม่มี เกิดแล้วเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยิน ก่อนได้ยินก็ไม่มีได้ยิน แต่เมื่อได้ยินเกิดได้ยิน ได้ยิน และได้ยินก็ดับไป เพราะฉะนั้น ไม่มีเรา เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงนะคะ ว่าเป็นธรรม ปัญญาไม่ติดข้องในสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา จะทำให้ละคลายความทุกข์ เพราะเหตุว่า ทุกข์เพราะเป็นเรา


    หมายเลข 11728
    12 ม.ค. 2567