สาระคือเข้าใจว่าเป็นธรรม


        ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ฟังแล้วเป็นปกติ จะไปฟังดนตรีได้ไหม จะไปรับประทานอาหารอร่อยได้ไหม จะมีเสื้อผ้าสวยๆ ได้ไหม จะมีวงศาคณาญาติมาหาสนทนาเรื่องอื่นกันได้มั้ย ก็เป็นธรรมดา เพราะทั้งหมด ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่าเป็นธรรมจึงสามารถที่จะดับ การที่เคยเป็นเรามานานแสนนาน ไม่มีเหลือเลย ถ้าจะใช้ศัพท์ธรรม ก็คือ ขันธ์ ๕ หมายความถึง ทุกสิ่งทุกอย่างที่มี ความรู้สึกเป็นสุข มีไหม มี เวลาที่ไม่รู้สึกเป็นสุขก็บอกความรู้สึกเป็นสุขไม่ใช่เรา พูดหน้าตาเฉย แต่เวลาที่กำลังเป็นสุข เรา

        เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่ตรงมากกว่าขณะนั้น ปัญญาสามารถเกิดขึ้น ไม่มีใครไปบังคับ ถ้าไม่มีปัจจัยพอปัญญาเกิดไม่ได้เลย จะพยายามหาทางสักเท่าไหร่ ที่จะให้รู้ว่าไม่ใช่เราเป็นไปไม่ได้ เห็นความเป็นอนัตตามั่นคงขึ้น เพราะว่า แม้แต่ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทำให้เกิดความเข้าใจถูกตามลำดับ เมื่อพิจารณาไตร่ตรอง แม้คำพูดสั้นๆ แต่จริง ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ใช่ไหม

        ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

        ท่านอาจารย์ อย่างเดียว หรือหลายอย่าง

        ผู้ฟัง หลายอย่าง

        ท่านอาจารย์ หลายอย่าง แสดงว่าแต่ละอย่างไม่ได้ปรากฏด้วยดี

        ผู้ฟัง ใช่ค่ะ

        ท่านอาจารย์ ก็หลายอย่าง แล้วจะปรากฎด้วยดีได้ยังไง เพราะฉะนั้น พอมีพยัญชนะที่ว่า สภาพธรรม คือ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ที่เราพูดว่าหลายอย่างปรากฏด้วยดี ต้องเป็นความต่างจากชีวิตปกติธรรมดา ซึ่งไม่เคยรู้เลยว่า แม้ขณะนี้จะมีการเห็น มีการได้ยินแต่ละหนึ่ง ไม่ได้ปรากฏด้วยดีเลย เพราะดับไปหมดเลยเมื่อไหร่ไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยทั้งสิ้น ได้แต่มานั่งคิดว่าเมื่อกี้นี้ จิตอะไรใช่ไหมคะ ถ้าตามวิถีจิต จิตอะไรเกิดก่อนตามลำดับ แต่ไม่ใช่ให้มาตามลำดับอย่างนั้น แต่ให้ถึงความเข้าใจถูกต้องว่า ธรรมทั้งหลายเกิดเองตามลำพังไม่ได้ ต้องอาศัยปัจจัยที่ละเอียดมาก แม้แต่เดี๋ยวนี้เห็น ก็ต้องมีจิตกก่อนเห็น ซึ่งทำหน้าที่รู้ว่ามีสิ่งที่กระทบตา แต่ยังไม่เห็นแล้วก็ดับ

        เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่ทรงแสดงโดยนัยยะของพระอภิธรรม ก็คือ สภาพธรรมล้วนๆ แต่สภาพธรรมล้วนๆ นี้หลากหลายมาก ไม่เรียกชื่อจะรู้ไหมว่า สภาพธรรมไหน สะสมมาระดับไหน แตกต่างกันเป็นใคร เพราะฉะนั้น จึงมีท่านอนาถบิณฑิก มีท่านวิสาขานิคารมารดา มีท่านพระอานนท์ มีท่านพระมหากัสสปะ ทั้งหมดก็เป็นธรรม เป็นธาตุ หลากหลายมาก ให้เข้าใจให้ถูกต้อง ถ้าลืมก็คือว่าทุกขณะ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ไม่มีในสังสารวัฎ แค่ปรากฏว่ามี แต่เพราะไม่รู้ใช่ไหม และก็เกิดสืบต่อไม่เห็นการดับไปเลย ก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นยังมีอยู่ ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูกได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ ที่รู้ว่ามีค่าอย่างยิ่ง เคยไม่รู้ เคยหลับสนิท เคยมืดมาก่อน แต่ก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจความจริงแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ในตอนต้น แต่ก็สามารถที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะไม่ละเลยความจริง เพราะรู้ว่า ไม่เคยรู้ ใช้คำว่าโง่ก็ได้ เป็นใคร หรือเปล่า หรือว่าเป็นธรรม โมหะก็ได้ อวิชาก็ได้ ก็ไม่รู้ มีจริงๆ แต่ว่าพอได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มมีธรรมที่เข้าใจถูก เห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ

        เพราะฉะนั้น ก็เห็นความต่างของการที่ จากการไม่เคยฟังมาก่อน ไม่เคยรู้เลย กับการฟังแล้วไม่เคยรู้อย่างนี้มาก่อนเลยในสังสารวัฏ และเป็นความจริงทุกคำที่สามารถประจักษ์แจ้งได้ มีตัวอย่างมากมายในอดีต ชาตินี้ก็เป็นชาติหนึ่งของผู้ที่จะเป็นพระโสดาบัน เป็นพระสกทาคามี เป็นพระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ในกาลข้างหน้า เมื่อไม่ประมาท และไม่หลงทาง เพราะเหตุว่าธรรมละเอียดมาก เหมือนกับหนามล้อมรอบเลย จะก้าวย่างไป ต้องไม่เหยียบย่ำหนามแหลม ซึ่งเป็นอวิชชา และความเห็นผิด

        เพราะฉะนั้น ก็ต้องประคับประคอง ด้วยความมั่นคงว่า สิ่งที่ถูกต้องมีประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะอะไรคะ ไม่มีอะไร แต่ยึดถือเข้าใจว่ามี แล้วยังไงล่ะก็ไม่รู้ไปตลอดชาติ กี่ชาติๆ ถ้าเป็นอย่างนั้น แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้ในขณะที่กำลังฟัง ถ้าเป็นคนที่สะสมมาแล้ว เหมือนบุคคลในครั้งอดีตกาล เป็นพระโสดาบันก็ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความพยายาม ฟังแล้วมีสิ่งที่ปรากฏ และสามารถเข้าใจ และเห็นถูก เพราะเคยสะสมความเห็นถูกในสิ่งนี้มานานเท่าไหร่ พอถึงเวลาที่สภาพธรรมจะปรากฏแสดงความเป็นอนัตตา ในครั้งพุทธกาลจะไม่มีใครที่คิดว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมตอนล้างเท้า พยายามประคับประคองล้างเพื่อที่จะได้มีสติสัมปชัญญะ ไปรู้การเกิดดับ นั่นคือ ไม่เข้าใจ และมีความเป็นตัวตน

        เพราะฉะนั้น ต้องรู้การดับ หมายความถึง ไม่มีการเกิดอีกเลย สิ่งที่มีขณะที่นอนหลับสนิท ไม่มีใครรู้ สะสมมามากเท่าไหร่ ลืมตาเมื่อไหร่ก็รู้เมื่อนั้น ทั้งวันลืมตาใช่ไหมคะ เห็นก็มีเรื่องต่างๆ ที่เป็นเครื่องวัดความติดข้อง และความไม่รู้ว่ามากเท่าไหร่ การฟังธรรม ก็คือว่า ฟังความเข้าใจถูก ก็รู้ว่าเป็นสิ่งซึ่งมีจริง ไม่ใช่เรา ใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ และก็ต้องเป็นไปตามปัจจัย เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้มีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น จนกระทั่งแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็สามารถที่จะรู้ความต่าง เช่น สภาพธรรมปรากฏด้วยดี ขณะนั้นปัญญารู้ว่า ด้วยดี หรือเปล่า แต่ถ้าไม่ใช่ปัญญาไม่มีทางจะรู้ เพราะว่าไม่ดีแน่ ใช่ไหม ขณะนั้น จะกล่าวว่าดีสักเท่าไรก็เป็นไปไม่ได้ ดี ก็คือ หนึ่ง เกิดระดับ แล้วไม่เยื่อใยด้วย เพราะเหตุว่า รู้ขณะต่อไป ไม่ใช่ว่ารู้เพียงหนึ่ง และไม่รู้อย่างต่อไป รู้จนกว่าจะไม่หวั่นไหวในแต่ละสิ่ง ที่ปรากฏสืบต่อกัน ถ้าขณะนั้นไม่รู้ ก็ไม่เดือดร้อน เพราะปัญญารู้ว่าไม่ใช่เรา ชีวิตเป็นปกติอย่างนี้ไม่มีใครไปทำอะไรได้เลยทั้งสิ้น จะไม่รู้ ปัญญาก็รู้ว่าขณะนั้นก็หมดแล้ว จะรู้เมื่อไหร่ ก็ไม่มีการที่จะไปบังคับ เพราะเหตุว่า มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา ยากไหมคะ

        ผู้ฟัง ยากมากๆ

        ท่านอาจารย์ ยากที่สุดไหม ในสังสารวัฏฏ์ค่ะ แต่ว่าสามารถที่จะค่อยๆ เป็นไปได้ ถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ว่าไม่ใช่เราจะไปทำ เดี๋ยวนี้แน่ใจได้เลยปรากฏด้วยดี หรือเปล่า

        อ.กุลวิไล หลายอย่างก็ยังไม่ดี

        ท่านอาจารย์ แต่เมื่อไหร่ปรากฏด้วยดี ไม่ต้องมีใครบอกใช่ไหม ปัญญารู้ ถ้าฟังไม่ดีก็จะมีการหลงผิด มีสำนักปฏิบัติ มีการปฏิบัติ มีอะไรๆ ทุกอย่างที่ทำให้คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธาน เพราะฉะนั้น เราฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสในภาษาหนึ่ง แต่พอเป็นภาษาไทยปรากฏด้วยดี เป็นภาษาบาลีก็สติระลึกได้ หรือว่าตามรู้ สิ่งนั้นต้องมี ยังอยู่ ปรากฏว่ายังอยู่ ยังมีอยู่ แล้วไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากรู้สิ่งที่ปรากฏ โดยความเป็นอนัตตา แต่ละคำไม่ใช่เป็นคำแปลแล้วคิดเอง แต่จะแปลว่า ยังไงก็ได้ แต่ว่าความเข้าใจในความหมายของคำนั้นแค่ไหน แค่ที่จะนำไปสู่ความเข้าใจในความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น หรือนำไปสู่ความเป็นอัตตา เพราะเข้าใจผิด

        ผู้ฟัง ศึกษาที่ให้เข้าใจสาระในสิ่งที่นำมาศึกษา กับศึกษาแล้วไม่ใช่เข้าใจสาระสิ่งที่มาศึกษาเนี่ย ยังไงคะอาจารย์

        ท่านอาจารย์ แล้วสาระอยู่ตรงไหน พระสูตรทั้งหมด ลืมหมดเลย กี่สูตรๆ ทุกเสาร์ ทุกอาทิตย์ ใช่ไหมคะ

        ผู้ฟัง ค่ะ

        ท่านอาจารย์ ไม่มีใครไปจำได้ แต่สาระอยู่ตรงไหน ลองบอกสักคำ

        ผู้ฟัง ก็เข้าใจความเป็นธรรม ที่ไม่ใช่เรา

        ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอย่างนั้น หรือเปล่า เดี๋ยวนี้ที่นั่งอยู่อย่างนี้

        ผู้ฟัง ยังไม่เป็น

        ท่านอาจารย์ ยังไม่เป็น เพราะฉะนั้น สาระอยู่ที่ เมื่อรู้ว่าเป็นธรรม

        ผู้ฟัง เมื่อรู้ว่าเป็นธรรม

        ท่านอาจารย์ นั่นคือสาระ ไม่ว่าจะพระสูตร พระวินัย พระอภิธรรม สาระอยู่ที่ฟังทุกเรื่อง รู้ว่าไม่ใช่เรา พูดมานานตั้ง ๑๐ นาที ก็ไม่ใช่เรา พระสูตรนั้นพระสูตรนี้ทั้งหมดก็ไม่ใช่เรา อ้างถึงพระสูตรตอนนั้นตอนนี้ก็ไม่ใช่เรา แต่สาระอยู่ที่ไหน

        ผู้ฟัง เป็นธรรมไม่ใช่เรา

        ท่านอาจารย์ เข้าใจธรรมขณะนี้ว่าเป็นธรรม นี่คือสาระ เพื่อประโยชน์ตรงนี้ค่ะ ที่จะรู้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่ตรงอื่น แต่ตรงนี้เดี๋ยวนี้แต่ละหนึ่ง

        ผู้ฟัง ในเมื่อธรรมเกิดปรากฏทีละหนึ่ง ก็ให้รู้ว่า

        ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ให้ไปรู้ แต่เข้าใจถูกต้องว่า นี่คือปริยัติ การฟังพอไหม

        ผู้ฟัง ไม่พอ

        ท่านอาจารย์ ไม่พอ เพราะว่าเข้าใจแล้วนี่ ว่าเห็นเกิดแล้วดับ แต่เห็นขณะนี้ ไม่ได้เกิดแล้วดับ ก็แสดงว่าปัญญายังไม่พอ จะพอต่อเมื่อรู้ว่าไม่ใช่เรา ทุกสูตร ทุกคำ ในพระวินัย ในพระอภิธรรม คือ ไม่ใช่เรา แล้วเลือกได้ไหม แข็งเมื่อกี้ดับหมด ไม่ต้องห่วงใย มีปัจจัยที่จะทำให้ทุกอย่างเกิดโดยความเป็นอนัตตา สิ่งใดปรากฏ ปรากฏด้วยดี หรือยัง เพราะฉะนั้น จะรู้ได้ไหมว่าเป็นธรรมเมื่อไม่ปรากฏด้วยดี ก็เพียงขั้นฟังเข้าใจ นั่นคือ ความหมายของปริยัติรอบรู้มั่นคงขึ้นเมื่อไหร่ ก็เป็นปัจจัยให้สภาพธรรมปรากฏด้วยดี ถ้ามีความเข้าใจขณะนั้น สภาพธรรมที่ปรากฏด้วยดี ไม่ได้ปรากฏกับเรา แต่ปรากฏกับสติสัมปชัญญะ พอพูดว่าทำสติ เจริญสติไม่รู้สติ ไม่รู้จักสติ และเจริญไปทำกันยังไงคะ ก็ทำกันทั่วบ้านทั่วเมือง แต่ไม่ใช้สติ เพราะไม่รู้จักสติ เพราะฉะนั้น สติขณะใดเกิดขึ้น ต้องมีสิ่งที่ปรากฏดี


    หมายเลข 11755
    6 ม.ค. 2567