โลภะที่เป็นนิวรณ์


        ท่านอาจารย์ ธรรมเนี่ย คือ อะไร เข้าใจจริงๆ หรือยัง

        ผู้ฟัง ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ครับอาจารย์

        ท่านอาจารย์ นิวรณ์ มีจริงไหม

        ผู้ฟัง นิวรณ มีจริงครับ

        ท่านอาจารย์ เป็นเราหรือเปล่า

        ผู้ฟัง ไม่เป็นเรา

        ท่านอาจารย์ แล้วเดือดร้อนใช่ไหม เพราะไม่รู้ว่าเป็นธรรม ยังไงๆ ก็ต้องเดือดร้อนค่ะ เวลาที่ไม่รู้ว่าเป็นธรรม เดือดร้อนเพราะโลภะ เดือดร้อนเพราะโทสะ เดือดร้อนสารพัดอย่าง เพราะไม่รู้ โลภะวุ่นวาย สนใจสิ่งหนึ่งสิ่งใด ขณะนั้นเป็นนิวรณ์หรือเปล่า

        ผู้ฟัง โลภะเป็นนิวรณ์

        ท่านอาจารย์ โลภะทั้งวัน ไม่รู้สึก โลภะทั้งวันเนี่ย เป็นนิวรณ์เปล่า เดี๋ยวนี้มีโลภะไหมคะ

        ผู้ฟัง มีครับ

        ท่านอาจารย์ เป็นนิวรณ์ หรือเปล่า

        ผู้ฟัง เป็นครับ

        ท่านอาจารย์ แล้วทำไมฟังธรรมหล่ะ

        ผู้ฟัง อยากเข้าใจอาจารย์

        ท่านอาจารย์ ก็แสดงว่าโลภะนั้นไม่ใช่นิวรณ์ กิเลสมีหลายระดับ ตื่นขึ้นมาเนี่ย รู้ไหมว่ามีโลภะ

        ผู้ฟัง ไม่รู้

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น โลภะที่ไม่รู้นั่นเป็นนิวรณ์หรือเปล่า ตื่นขึ้นมาก็ปกติแล้วทุกวัน ใช่ไหมคะ ทำทุกอย่าง ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นโลภะ แต่ว่าถ้าจะถึงเวลาฟังธรรม ฟังได้ ขณะนั้นแม้โลภะมี ก็ไม่เป็นนิวรณ์ แต่ถ้ามีกำลังจนกระทั่งว่าไม่ฟังละวันนี้ จะดูหนังเรื่องนี้ดีกว่า ตรงเวลากันพอดี นั่นแหละนิวรณ์แล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้น กิเลสมีหลายระดับ ทรงแสดงไว้ชัดเจนนะคะ อย่างที่ไม่มีใครรู้แน่ๆ ก็คือ ทันทีที่เห็นดับไป จิตเกิดสืบต่อ ๓ ขณะ มีโลภะแล้ว ใครรู้ เพราะฉะนั้น โลภะนั่นเบาบางมาก เดินไปรับประทานอาหาร มีโลภะไหม

        ผู้ฟัง มีครับอาจารย์

        ท่านอาจารย์ เป็นนิวรณ์หรือยัง กำลังเห็นอาหาร พอใจ แล้วก็รสชาติก็อร่อย เป็นนิวรณ์หรือเปล่า

        ผู้ฟัง ก็ต้องไม่เป็น

        ท่านอาจารย์ ก็เป็นโลภะ ที่เป็นปกติธรรมดา ต่อเมื่อไหร่ปรากฏลักษณะ ซึ่งกั้นขัดขวางความดี ขณะนั้นเห็นชัดใช่ไหม ทำไม่ได้ เพราะอันนั้นมีกำลังที่จะขวางกั้น เป็นนิวรณ์

        ผู้ฟัง ครับอาจารย์ ต้องมากกว่า

        ท่านอาจารย์ มีอาสวะ ไม่มีใครรู้เลย ด้วยเหตุนี้ อีกคำหนึ่งของพระอรหันต์ คือ ขีนาสวะ ขีณะ คือ ดับ หมดสิ้น อาสวะ เป็นขีณาสวะ ดับแม้อาสวะ จิตเห็นดับไปแล้ว จิตเกิดต่อกี่ขณะก็ตาม จะไม่มีกิเลสอะไรเกิดได้เลยทั้งสิ้น พระอรหันต์ไปบิณฑบาต พระที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็ไปบิณฑบาต ต่างกันแล้วใช่ไหมคะ กิเลสของพระอรหันต์ที่ดับแล้วไม่เกิดอีกเลย เห็นทุกอย่างเหมือนกับผู้ที่เป็นพระภิกษุ ซึ่งไม่ใช่พระอรหันต์ที่เดินบิณฑบาตด้วยกัน แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระภิกษุที่ไม่ใช่พระอรหันต์ เห็นดับไป ๓ ขณะ กิเลสเกิดแล้ว

        เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ปัญญา หรือ ความเข้าใจถูกเกิดท่ามกลางอกุศล เห็นเกิดแล้ว จะให้เกิดเป็นกุศลทันทีนี่ ยากใช่ไหม เพราะว่า ต้องสะสมมาระดับไหน ที่สามารถที่จะ ตามรู้ คือเข้าใจถูก ในสิ่งที่ปรากฏแทนอาสวะ เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ประมาทธรรมไม่ได้เลยนะคะ ฟังเหมือนกับว่าเข้าใจ ไม่เห็นมีอะไรก็แค่อริยสัจ ๔ แต่ทำไมทรงแสดงโดยละเอียด เพราะเหตุว่า ใครก็ไม่สามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้ เพราะว่า ความไม่รู้มีมาก รู้นิดๆ หน่อยๆ แค่ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา แค่นั้นพอไหม แต่ ๔๕ พรรษา ทรงแสดงความละเอียดยิ่งของธรรม เพื่อให้ความเข้าใจ เป็นความเข้าใจที่รอบรู้ มีกำลัง พอที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏได้ ไม่ใช่เพียงแค่ฟังเรื่องเข้าใจ ว่าขณะนี้ เห็นดับไปแล้ว นับขณะไม่ถ้วน เพราะฉะนั้น ไม่ต้องคำนึงถึงว่า เพียงแค่ดับไป ๓ ขณะ อกุศลก็เกิดแล้ว

        เพราะฉะนั้น เราประมาทธรรมไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ที่ละเอียด ที่สามารถที่จะค่อยๆ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เพราะฉะนั้น อาศัยคำทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เข้าใจว่า ไม่ใช่เราเพราะอย่างนี้ เพราะอย่างนั้น เพราะเกิดขึ้น เพราะเป็นธาตุ เพราะเหตุว่า ต้องอาศัยปัจจัยเกิดขึ้น ทุกอย่างค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ใช่เราเลยนะคะ แต่ขณะเข้าใจก็เป็นธรรม ซึ่งเป็นปัญญา

        เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางที่ลึกซึ้งนะคะ คนที่ไม่เข้าใจในความลึกซึ้งจึงหลงทาง ถ้าไม่อย่างนั้น พระพุทธศาสนายุคนี้ก็จะไม่เป็นอย่างนี้ ถ้ามีผู้ที่เข้าใจความลึกซึ้งจริงๆ ของพระศาสนา เพราะฉะนั้น ฟังเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่หมายความว่า เราจะได้รู้ชัดในสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นไปไม่ได้เลยค่ะ ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะรู้ชัดไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะรู้ชัดเมื่อไหร่ ก็เป็นเรื่องที่ว่าเข้าใจแค่ไหน พอไหม เป็นปัจจัยที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นก็จะรู้ความต่างกัน กำลังนั่งอย่างนี้ ใครมีนิวรณ์บ้างคะ คนอื่นตอบได้ไหมกำลังคิดถึงเรื่องอะไร ที่ไม่ได้เข้าใจธรรม ที่กำลังปรากฏเลย นั่นแหละนิวรณ์ แค่เห็นนิดหน่อย เห็นธรรมดา ได้ยินธรรมดา แล้วเกิดอกุศลขึ้นเนี่ย ไม่รู้จักหรอกว่า ขณะนั้น เป็นอกุศลที่บางเบา ยากที่จะรู้ได้ ต้องมีกำลังเมื่อไหร่ เมื่อนั้นรู้ เดินไปรับประทานอาหารเนี่ย เหมือนไม่รู้เลย เห็นดอกไม้ เห็นของที่เราผ่านไประหว่างทาง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็นิดๆ หน่อยๆ ธรรมดา เห็นอาหารก็ธรรมดา แต่ถ้าชอบมากๆ ก็ยังปรากฏความมีกำลังขึ้นนะคะ แต่ถึงกับขัดขวางการเจริญกุศลเมื่อใด ขณะนั้นก็เป็นนิวรณ์ มีวัตถุสิ่งของนะคะ ก็คิดจะให้ ให้หรือยัง ทำไมคะ

        อ.กุลวิไล ก็เพราะว่าอกุศลมีกำลังค่ะ

        ท่านอาจารย์ เพราะขณะนั้นยังติดข้อง ยังเสียดาย ใช่ไหมคะ ก็เห็นชัดในการที่ว่า ไม่สามารถที่จะทำสิ่งที่เป็นกุศลได้ แต่กำลังเห็นอย่างนี้ หลังเห็นแล้วก็มีความติดข้องอย่างบาง ที่เป็นอาสวะโดยไม่รู้เลย แต่ก็ยังมีการฟังธรรม ต่างขณะกัน เพราะฉะนั้น ขณะที่เข้าใจ ก็มีการเข้าใจ สิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จนกว่าจะเข้าใจถึง สิ่งที่ปรากฏตามที่ได้ฟัง จนกว่าถึงการรู้ชัดประจักษ์แจ้งการเกิดดับทุกคำที่ได้ฟัง


    หมายเลข 11730
    9 ม.ค. 2567