เบิกบานที่เข้าใจธรรม


        ท่านอาจารย์ ใบไม้สองสามใบ ฟังอย่างนี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว หรือยัง รู้จักแค่ไหน แค่ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สองสามใบหรือยังคะ ยังอีก กว่าจะเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วใครล่ะ จะถึงความเข้าใจ พระปัญญาซึ่งประดุจใบไม้ในป่า แม้ท่านพระสารีบุตรเป็นอัครสาวกผู้เลิศในทางปัญญา ปัญญาเท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า เพราะฉะนั้น คนที่จะสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ก็คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีกพระองค์นึง ปัญญานั้นสามารถที่จะล่วงรู้ถึงปัญญาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้น เพียงฟังแค่เนี่ยรู้ไหม ว่าการตรัสรู้ไม่ใช่เพียงแค่คิด เอา แล้วมาบอก แค่ขณะนี้เป็นธรรม เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เลยค่ะ พระปัญญาคุณที่บำเพ็ญนานเท่าไหร่ ตั้งแต่ได้รับคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ว่าอีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าพระสมณโคดม คนในยุคนั้นนะคะ อีก ๔ อสงไขยแสนกัปป์เบิกบาน ถึงเขาไม่สามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า เขายังมีโอกาสที่จะได้เข้าใจธรรม ในสมัยของพระสมณโคดมได้ ซึ่งกว่าจะถึงสมัยของพระองค์ที่ได้ตรัสรู้ พระโพธิสัตว์ที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ ได้พบพระพุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ และการที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ จะบังเกิดขึ้นตรัสรู้ความจริงเนี่ยนานเท่าไหร่ ต้องศาสนาคำสอนของพระองค์หนึ่ง อันตรธานไปหมด ไม่เหลือเลย มิฉะนั้น ก็ยังเป็นสาวก ตราบใดที่พระธรรมยังดำรงอยู่ ก็ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเป็นสาวก แต่เมื่อใดที่หมดแล้ว ว่างแล้วก็เป็นสมัยของพระปัจเจกพุทธเจ้า ระหว่างที่ยังไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เพราะฉะนั้น ทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่ ไม่ใช่สมัยที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงพยากรณ์ ว่าคนโน้นจะได้เป็นปัจเจกพุทธเจ้า หรือคนนี้จะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่มีใครรู้เลย ปัญญาของใครระดับไหน เหมือนความคิดของแต่ละคนเดี๋ยวนี้ ใครรู้ เห็นมั้ยคะ แค่นี้ยังไม่รู้เลย เพราะฉะนั้น ความหลากหลายมากของธรรมแต่ละหนึ่ง ประมาณไม่ได้เลย ด้วยเหตุนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นสาวก ไม่ใช่เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า คือ เป็นผู้ที่แม้ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การสะสมบารมี คือ ความเข้าใจ พร้อมทั้งความเพียรหรืออะไรทุกอย่างที่ได้บำเพ็ญมาแล้ว ถึงเวลาที่จะรู้ ห้ามไม่ได้เลย จะรู้สมัยไหน เพราะฉะนั้น แม้ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ยังมีผู้ที่สะสมบารมีที่ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เอง เพียงแค่เห็นกำไรมือ ๒ อัน หรือ ๓ อันก็ตามแต่ กระทบกัน เห็นถึงการที่ว่า ถ้าไม่มีซะเลยจะดีไหม ปัญญาระดับไหน

        เพราะฉะนั้น ชีวิตประจำวันธรรมดา ปัญญาที่ได้สะสมมาแล้ว สามารถที่จะเข้าถึงความจริงถึงที่สุดได้ตามระดับขั้น เพราะฉะนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง แต่จะเป็นไหม หรือว่าแค่สาวกก็แสนยาก เพราะว่า มีตั้งแต่พระอัครสาวก พระมหาสาวก จนกระทั่งถึงสาวกธรรมดา ซึ่งก็ไม่มีอะไรที่เป็นพิเศษที่จะกล่าวถึงเพราะมากมายเหลือเกิน แต่ก็กล่าวถึงเฉพาะผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมีถึงความเป็นพระอัครสาวก หรือว่าพระมหาสาวก นี่ก็เป็นชีวิตธรรมดา ขอให้รู้ว่า คือ ธรรมหรือธาตุ ถ้าเราไม่ใช้คำว่าธรรม เราใช้คำว่าธาตุ หรือธา-ตุ ก็ได้ เพราะ ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง สิ่งที่มีจริง มีลักษณะที่ปรากฏว่ามีจริงๆ อย่างเสียงอย่างนี้ ใครจะบอกว่าไม่มี พอได้ยินก็ได้ยินเสียง เสียงมีแน่นอน เพราะฉะนั้น สิ่งที่มี มีลักษณะที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เสียงต้องเป็นเสียง เป็นอื่นไม่ได้เลย มีลักษณะเฉพาะแข็ง เป็นเสียงไม่ได้ ใครเปลี่ยนแข็งให้เป็นเสียงได้ไหมคะ ไม่ได้เลย

        เพราะฉะนั้น สภาพธรรมแต่ละหนึ่ง เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นปรมัตถธรรม ปรมัตถ์ บรม ยิ่งใหญ่ใครเปลี่ยนไม่ได้เลย หวานเกิดแล้วดับแล้ว ใส่เกลือลงไปอีก หวานเก่าหรือเปล่าคะ หวานเก่าดับแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ละหนึ่ง ไม่มีทางที่จะกลับมาเป็นอีกได้เลยทั้งสิ้น เป็นได้แค่หนึ่งในสังสารวัฏฏ์ ไม่ว่าจะเป็นเห็นเดี๋ยวนี้ ได้ยินเดี๋ยวนี้ คิดเดี๋ยวนี้ จำเดี๋ยวนี้ หรืออะไรก็ตามแต่ หาความเป็นของใคร หรือเป็นใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำใน ๔๕ พรรษา ต้องเข้าใจอย่างมั่นคงจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว จะฟังทำไม แต่ฟังเพราะรู้ว่า มีโอกาสที่จะเข้าใจยิ่งกว่านี้อีก แต่ต้องไตร่ตรอง ต้องมั่นคง และเป็นไปเพื่อการละ ถ้ามีใครบอกว่าไปนั่ง ๗ วัน แล้วจะได้ปัญญา ถูกหรือผิด ปัญญารู้อะไร เดี๋ยวนี้ทำไมไม่รู้ และต้องไปไหน เพราะฉะนั้น ต้องเป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผลจริงๆ จึงเป็นผู้ที่ ได้เคยสะสมความเห็นถูกในอดีต จึงมีโอกาสได้ฟังได้ไตร่ตรอง แล้วก็ได้เห็นถูก แต่ก็ต้องมั่นคงต่อไป สัจจบารมีมั่นคงต่อความจริง ว่าเดี๋ยวนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของทุกอย่าง ว่าเกิดแล้วดับ แต่สิ่งนี้ยังไม่ได้ปรากฏเพราะว่า ต้องปรากฏกับปัญญา ไม่ใช่ปรากฏกับเรา ซึ่งไม่รู้ แล้วไปพยายามทำให้รู้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้

        เพราะฉะนั้น ถ้ามีความมั่นคงอย่างนี้จริงๆ ถึงความเป็นสัจจญาณ เป็นปัญญาที่ไม่เปลี่ยนเลย ใครจะชวนไปไหน ไปทำไม ไปรู้อะไร ไหนบอกสิ่ คืออะไร ถ้าเข้าใจเดี๋ยวนี้ได้ ทำไมต้องไป แล้วถ้าเป็นอนัตตา ไปเพราะหวังใช่ไหม อัตตาหรือเปล่า เพราะฉะนั้น ทุกอย่างต้องค้านกันหมดกับความเป็นจริง ถ้าเป็นคำที่ไม่จริง ด้วยเหตุนี้ รู้ว่าอีกไกลเท่าไหร่ก็ตามแต่ เหมือนคนที่ได้ฟังคำพยากรณ์ในสมัยพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า อีก ๔ อสงไขยแสนกัป เขาเบิกบานที่มีโอกาส ที่จะฟังต่อไป เข้าใจต่อไป เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งสะสมมานานมาก ถ้ากล่าวถึงที่บรรจุ ไม่มีที่จะบรรจุได้เลย เต็มจักรวาลก็บรรจุความไม่รู้ และกิเลสไม่ได้ แต่ธาตุรู้ซึ่งเป็นจิต ไม่มีรูปใดๆ โดยเจือปนทั้งสิ้น เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นอย่างหนึ่ง เห็นเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเพียงเห็น เพียงเห็น แต่พอคิดไม่ใช่เห็นแล้ว

        เพราะฉะนั้น ความรวดเร็วอย่างยิ่งของธรรม ต้องอาศัยความอดทน ขันติอย่างยิ่ง ดีมั้ย ไม่ใช่เรานะ แต่ถ้าไม่มี ก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรมได้เลย เพราะฉะนั้น ธรรมที่เป็นฝ่ายกุศล ก็ทรงจำแนกไว้โดยละเอียดอย่างยิ่ง มีจิตซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ในการที่กำลังรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ ยังต้องอาศัยเจตสิก จึงเป็นปัจจัยให้จิตนั้นเกิดได้ และเจตสิกเท่าไหร่ ในจิตแต่ละขณะนี้ ต่างกันไปตามประเภท ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดสิ่งนั้นสิ่งนี้ พระมหากรุณาที่ทรงแสดงไว้ ให้คนที่ได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจเพื่อละ ทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ เพื่อที่จะได้เบิกบานที่ได้มีโอกาส ได้ฟังธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจได้เพราะว่าเป็นคำที่ยากยิ่ง


    หมายเลข 11721
    21 ม.ค. 2567