พระพุทธคุณ


        ท่านอาจารย์ คุณค่าของพระธรรม ไม่มีสิ่งใดที่จะเปรียบได้เลย จากความไม่รู้มานานในสังสารวัฏ แล้วก็สามารถที่จะเริ่มรู้ แค่นี้ค่ะ เบิกบาน ถ้าเป็นผู้ที่มีปัญญานะคะ รู้ว่าถึงน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็ได้รู้ เหมือนอย่างสุเมธดาบส หรือว่าคนในยุคสมัยของสุเมธดาบส ที่ได้รับคำพยากรณ์ว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นี้ สี่อสงไขยแสนกัปป์ เขาปลาบปลื้ม ร่าเริง ยินดี ว่าไม่ได้มีแต่พระพุทธเจ้าทีปังกรเท่านั้น ยังมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อๆ ไป ที่ได้บำเพ็ญบารมี ซึ่งเขาสามารถที่จะได้ยินได้ฟังคำ เพราะว่าคงจะไม่มีใครทั่วไปหมดที่ปรารถนาจะเป็นถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าแค่สาวกเนี่ย ฟังดูก็รู้จะเป็นแค่ไหน แค่ฟังนี่กว่าปัญญาจะเกิดอย่างมั่นคงอย่างบริบูรณ์ในคำว่า ธรรมคำเดียว

        เพราะฉะนั้น ฟังไปแต่ละคำนะคะ ก็ยิ่งเข้าใจขึ้นๆ นะคะ มั่นคงก็คือว่า โดยไม่หวังว่าเราเนี่ย จะรู้มากกว่านี้ หรือว่าจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมหรืออะไร ต้องเป็นไปตามเหตุตามผล ถ้าเราฟังไม่มาก และเราไตร่ตรองไม่มาก แล้วปัญญาจะเกิดได้ยังไง เพราะฉะนั้นจะไม่มีความคิดเลื่อนลอย ฟังหน่อยนึงก็อยากจะไปปฏิบัติหรือว่าจะไปเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน คิดอย่างนี้ได้ยังไง แสดงว่าไม่มีใครบอกให้รู้ความจริงเลยว่า กิเลสมากแค่ไหน ประมาณไม่ได้เลยนะคะ เอาแค่วันนี้ ตั้งแต่ตื่นจนถึงเดี๋ยวนี้ เเล้วก็ทั้งวันเลย แล้วก็กี่วันมาแล้วตั้งแต่เกิด แล้วก่อนนั้นอีกในแสนโกฎกัปป์

        เพราะฉะนั้นความไม่รู้มหาศาล ยิ่งกว่าจักรวาล กี่จักรวาลรวมกันก็แล้วแต่ แต่ว่าไม่มีที่จะเก็บ เพราะเหตุว่าเป็นธาตุรู้ การเป็นธาตุรู้เนี่ย ทำให้เห็นว่ากิเลสสามารถที่จะเพิ่มเท่าไหร่ก็ได้ มีเท่าไหร่ก็ได้ในจิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดสืบต่อกัน เพราะว่าจิตเป็นสภาพธรรม ซึ่งเป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นหนึ่งขณะ รู้เฉพาะสิ่งที่จิตรู้ อย่างเห็นเป็นจิตประเภทหนึ่ง ได้ยินไม่ได้เลย เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับ ได้ยินก็เห็นไม่ได้ ได้ยินเสียง เกิดขึ้นได้ยินเสียงแล้วก็ดับ นับถ้วนมั้ย ว่าเฉพาะวันนี้เท่าไหร่แล้ว มากมายจนเป็นคน เป็นสิ่งต่างๆ แต่ถ้าแยกออกไปทีละหนึ่งขณะแล้ว ไม่ใช่คน ไม่ใช่สิ่งอื่นใดเลย แต่ว่าลักษณะนั้นก็เป็นสิ่งนั้นซึ่งไม่เปลี่ยน ธาตุรู้ไม่มีรูปร่าง ลองคิดค่ะ เห็นแต่สิ่งที่จิตรู้หมดเลย ตั้งแต่ลืมตาขึ้นมา เห็นโน่น เห็นนี่ เห็นนั่น คิดโน่น คิดนี่ คิดนั่น ได้ยินโน่น ได้ยินนี่ ได้ยินนั่น แต่หารู้ไม่ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นจิต และเจตสิกเกิดดับสืบต่อทำกิจการงานตลอดเวลา จริงมั้ย ถ้าจริง ปัญญาก็ต้องรู้จริงอย่างนี้ ถ้าเป็นปัญญาความเห็นที่ถูกต้อง จะคลาดเคลื่อนจากความจริงได้ยังไง ว่าไม่มีจริง ไม่มีเราจริงๆ แต่มีธรรมคือจิต เจตสิก และรูป แต่ละหนึ่งๆ เนี่ยละเอียดมาก ซึ่งทรงแสดงไว้จนกระทั่ง ไม่มีเราที่จะไปคิดว่าจะมารู้จิตเดี๋ยวนี้ ใช่ไหมคะ อย่างเห็นเดี๋ยวนี้ กำลังเห็นเนี่ย ยังแยกไม่ออกเลย จากสิ่งที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่คน หรือไม่ใช่โต๊ะ ไม่ใช่เก้าอี้นะคะ

        เพราะว่าเป็นเพียงสิ่งที่กระทบตาปรากฏเมื่อจิตเห็นแล้วดับไป เร็วปานนั้น นี่คือการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ และความเป็นตัวตน ที่มีมานาน เพราะฉะนั้นคนอื่นก็ต้องเหมือนกัน ปัญญาที่จะรู้ตาม เพราะเหตุว่าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ตามคืออะไร คือฟังคำที่พระองค์ตรัสด้วยพระมหากรุณาว่า ถ้าไม่ทรงแสดงพระธรรม ใครจะรู้ความจริงนี้ได้ ไม่มีเลยค่ะ ปิดสนิทมานานแสนนาน

        เพราะฉะนั้นคนที่ฟังธรรมเข้าใจในครั้งโน้น ได้ฟังพระธรรมจากพระโอษฐ์ก็พูดว่า เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดสิ่งที่ปิด เวลานี้ถูกปิดนะคะ ค่อยๆ เปิดด้วยการฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น บอกทางกับคนหลง เราหลงอยู่ในสังสารวัฏ เคยหลงไหมคะ ตกใจแน่ๆ เลยตอนหลงเนี่ย จะไปทางไหนดี ทางซ้ายทางขวา ยิ่งไปยิ่งหลงก็มี ใช่ไหมคะ แต่เมื่อพระองค์ตรัสบอกทางกับคนที่หลง หลงในสังสารวัฏ ออกไม่ได้แน่ๆ เลยค่ะ แล้วเหมือนจุดประทีปในที่มืด แสดงว่าเราตาบอดไม่เห็นอะไรเลยตามความเป็นจริงมานานเท่าไหร่

        เพราะฉะนั้นในบางแห่งจะอุปมาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบเหมือนแพทย์ที่รักษาคนตาบอด ให้เห็นได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องรู้ตามความเป็นจริงไม่มีทางที่จะรู้ตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคนอีกเท่าไหร่ ไม่ได้ฟัง เพราะฉะนั้นร่าเริง ไม่ใช่ว่า แหม รู้แค่นี้เมื่อไหร่จะเป็นพระโสดาบัน นั้นคือตัวตน และความไม่เข้าใจว่า กิเลสมากค่ะ ไม่ใช่เราจะไปละกิเลส แต่ความเข้าใจจริงๆ ใช้คำว่าความเข้าใจจริงๆ เพราะธรรมไม่ได้อยู่ในตัวหนังสือ แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ถ้าเราอ่านพระไตรปิฎก พูดถึงเห็นก็ต้องกำลังเห็นสิ่คะ จะไปพูดถึงเห็นตอนไหน ก็ต้องตอนที่เห็น พูดถึงได้ยินก็ต้องตอนได้ยิน เพราะฉะนั้นผู้ที่อ่านพระไตรปิฎกด้วยความเข้าใจก็รู้ว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น

        เพราะฉะนั้นความรู้ที่สะสมมาหลากหลายมาก สามารถที่จะมีความเข้าใจต่างกัน ด้วยเหตุนี้บางคนได้ฟังพระธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบันก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี ไม่เป็นพระโสดาบัน ไม่เป็นพระอรหันต์ แต่เริ่มเข้าใจธรรมก็มี เพราะฉะนั้นก็แต่ละคนเป็นแต่ละหนึ่ง และหนึ่งนั้นไม่กลับมาอีกด้วย คิดดูค่ะ กว่าจะค่อยๆ น้อมไปว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปศึกษาจากพระไตรปิฎก มุ่งมั่นที่จะรู้ตรงนี้ เพื่อที่จะปฏิบัติตรงนี้ เพื่อจะให้รู้แจ้งตรงนี้ ไม่ใช่เลย แต่ชีวิตประจำวันนี่แหล่ะพระไตรปิฎก จึงแสดงว่าโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้รู้ว่า จะเข้าใจธรรมก็คือว่าเข้าใจสิ่งที่มี ไม่ว่าเมื่อใด ยามใด ที่ได้ฟังแล้วสะสม จะสามารถระลึกได้ อาจจะโดยคิดถึงเป็นคำๆ หรือว่ากำลังรู้ เข้าใจลักษณะที่ปรากฏ ตามระดับขั้น จนกระทั่งละความไม่รู้ และสภาพธรรมจึงปรากฏที่ใช้คำว่า วิปัสสนา ทำให้รู้แจ้งตามความเป็นจริงว่า คำของพระองค์ไม่ใช่คำที่ว่างเปล่า แต่ทุกคำนำไปสู่การที่จะถึงที่สุด โดยสภาพธรรมปรากฏให้รู้ความจริง จนกระทั่งสามารถที่จะดับความเห็นผิด ที่มีมา นานเท่าไรไม่ต้องคิดเลยค่ะ ฟังอย่างนี้แล้ว รู้ว่านานแสนนาน ไม่เหลือเลย ไม่มีความเห็นผิดต่อไป แต่ยังมีกิเลสที่จะต้องดับต่อไป

        เดี๋ยวเราก็จะได้ไปเฝ้า ได้ไปกราบนมัสการ ในโอกาส ที่เรามีโอกาสได้ฟังได้เข้าใจคำ ได้รู้ว่า ณ.ที่นี้ ที่พระโพธิสัตว์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ตรงนี้เท่านั้นนะคะ แต่จากสี่อสงไขยแสนกัปป์ ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน เพราะเหตุว่ากัปป์นี้เป็นภัทรกัปป์ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๕ พระองค์ เพราะฉะนั้นก่อนที่จะถึงพระองค์นี้ ซึ่งเป็นองค์ที่ ๔ พระโพธิสัตว์ก็วนเวียนอยู่ ใช่ไหมคะ เกิดแล้วก็จะสะสมฟังธรรมไป จนกระทั่งได้ตรัสรู้ความจริงตรงนั้น เพราะฉะนั้นตรงนั้นก็คือ ที่มาของการที่ได้แสวงหาความจริงสะสมมานานมาก จนได้รับพยากรณ์นะคะ จึงได้สามารถถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสี่อสงไขแสนกัปป์ หลังจากที่ได้รับคำพยากรณ์ ก่อนนั้นหมายความมีปัญญาแล้ว แต่พระมหากรุณาที่รู้ว่า ถ้าพระองค์ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ คนอื่นก็ไม่มีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม แต่ว่าความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะคะ ต้องมากกว่านั้นอีก ประกอบด้วยพระบารมี และพระญานต่างๆ พระทศพลญาน เป็นต้น เหนือบุคคลใด ที่ประมาณไม่ได้เลย ที่มีคำกล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งเท่านั้น ที่จะสรรเสริญพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ คนที่มีปัญญาน้อย ไม่มีทางจะสรรเสริญได้ รู้แค่ไหน เห็นคุณแค่นั้น เพราะฉะนั้นคุณมากมายมหาศาล เมื่อมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็ได้บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน เพื่อให้เราได้ฟังแต่ละคำ ซึ่งจะเป็นการสะสมความรู้ ความเข้าใจต่อไป ที่วันนึง สภาพธรรมก็จะปรากฏตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง แต่ต้องด้วยความเข้าใจที่ค่อยๆ ละคลายความติดข้องทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ชัดเจน เห็นไม่ใช่ได้ยิน พร้อมกันไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะเห็น ต้องไม่มีได้ยิน ขณะได้ยิน ต้องไม่มีเห็น แต่เดี๋ยวนี้พร้อมกันหมดเลย ก็แสดงว่ายังห่างไกลต่อการที่จะรู้ความจริง จึงไม่สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตนได้

        เพราะฉะนั้นการที่เราได้ฟังธรรม และมีความเข้าใจ และไปกราบนมัสการ จะต่างกับการที่เรายังไม่ได้เข้าใจพอ ใช่ไหมคะ การที่จะระลึกถึงพระคุณก็น้อย นี่ระลึกถึงพระคุณที่ถ้าไม่มีการได้ฟังคำ จะไม่รู้จักคำว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นฟังเพื่อเข้าใจ เท่านั้นเองค่ะ ละก็ร่าเริงที่ว่า เข้าใจแค่ไหน ก็ยังดีกว่าไม่เข้าใจเลย ใช่ไหมล่ะ จะไปเอาอะไรมากๆ นั้นคือโลภะ เอามาด้วยความเป็นเราก็ผิด มีแต่ทางผิดด้วยความเป็นตัวตน และด้วยกิเลสที่สะสมมา เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อละกิเลสนะคะ และกิเลสจะละไปได้ก็ด้วยความเข้าใจ


    หมายเลข 11684
    12 ก.พ. 2567