ยังติดในกาม


        ท่านอาจารย์ ตั้งแต่ลืมตาตื่น กามทั้งหมดใช่ไหม ลืมตาขึ้นมาเห็น กามหรือเปล่า ทั้งความยินดีคือโลภะ และวัตถุกามที่ตั้งของความพอใจ ทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนถึงขณะนี้ เด็กอ่อนแค่ไหนที่จะรู้ความจริง ที่จะละทิ้งความติดข้องในกาม คิดดู ตลอดวันทุกวันตั้งแต่เกิดมากมายมหาศาลแค่ไหน และติดด้วยนะคะ ไม่มีใครไม่ชอบสิ่งที่ปรากฎทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้วทุกวันด้วย กี่ครั้งค่ะในวันนึงตลอดวัน และก็รูปหรือสิ่งที่น่าพอใจก็เกิดดับไป ทับถมแล้วก็เด็กอ่อนลุกขึ้นมาสิ่ ที่จะไม่ติดข้องเอาทิ้งไป เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นปัญญาที่ค่อยๆ เห็นโทษก่อน ถ้าไม่เห็นโทษใครจะละ แล้วการเห็นโทษเห็นง่ายๆ หรือคะ อาหารก็อร่อย สิ่งทางตาก็ปรากฎเป็นดอกกุหลาบเป็นทุกสิ่งทุกอย่างสวยงาม เปิดโทรทัศน์ก็มีเสียงเพลง มีอะไรไพเราะหมดเลย ทั้งหมดเลยตั้งแต่ตื่นแสวงหากามตลอด แล้วก็จะให้พ้นจากกาม และก็เห็นโทษของกาม ซึ่งมากมายในสังสารวัฎเป็นไปได้หรือ ต้องอาศัยคำของพระองค์ ซึ่งเห็นโทษของกามแล้ว ก็ทรงแสดงโทษของกามตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่กำลังปรากฎที่น่าพอใจ ดับแล้วไม่เหลือ แค่คำพูดไม่กี่คำ สิ่งที่กำลังปรากฎที่พอใจ ดับแล้วไม่เหลือ ไม่ต้องรอนานเลยค่ะ ไม่ต้องไปถึงเย็นถึงค่ำ แค่เดี๋ยวนี้ที่เห็นรู้ไหม ว่าเห็นมีสิ่งที่ปรากฎให้เห็น แล้วทั้งสองอย่างก็ดับ เร็วสุดที่จะประมาณได้ เหลือแต่สิ่งที่จำไว้สืบต่อ จนกระทั่งเข้าใจมั่นคงมากี่ชาติว่ามีคน มีสัตว์ มีทุกสิ่งทุกอย่าง มีเรา ความจริงก็คือว่า เพียงแค่เห็น ทรงแสดงไว้ละเอียดมากว่า ยังไม่ทันจะรู้เลยว่าสิ่งที่เห็นเป็นอะไร ลองคิด นี่เห็นดอกกุหลาบแล้วใช่ไหมคะ แต่นั่นยังไม่ทันจะรู้เลยว่าเป็นอะไร เห็นก็ดับ สิ่งที่ปรากฎทางตาก็ดับ แล้วไม่เหลือด้วย แล้วก็พอใจในสิ่งที่ไม่มี ถ้าไม่มีสิ่งอื่นเกิดต่อ ไม่มีอะไรปรากฎ แต่เพราะใครก็ไม่สามารถที่จะหยุดยั้งสภาพธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดต่อ โดยไม่รู้อยู่เรื่อยๆ จนปรากฎเหมือนกับว่าเป็นมายากล ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างทุกชาติด้วย ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะหลงต่อไป

        อ.วิชัย ความรู้ที่เกิดขึ้นจากการค่อยๆ เข้าใจเนี่ย เป็นการค่อยๆ คลายจากความติดข้องในเพียงระดับแค่เหมือนกับคิด พิจารณาเท่านั้นเองครับท่านอาจารย์

        ท่านอาจารย์ เพราะได้ฟังตลอด ไม่ใช่ครั้งเดียว ว่าขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ เป็นไงคะ ก็ยังติดข้องโดยไม่รู้ ไม่ว่าเห็นดับ ก็เห็นอีก มีสิ่งที่ปรากฎทางตาให้เห็นต่อไป เพราะฉะนั้นก็ติดข้องต่อไป รู้ได้เลยนะคะ ตราบใดที่ยังไม่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมเดี๋ยวนี้เกิดดับ ไม่มีทางละความติดข้องได้

        อ.วิชัย เพราะว่าความติดข้องก็จะมาคอยแทรกเสมอ แม้แต่ขั้นฟัง การศึกษาเรื่องราวครับ

        ท่านอาจารย์ ฟังเพื่อค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะว่าความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา แต่มีจริงแล้ววันนึงๆ มากหรือน้อย เทียบกับการติดข้อง ก็ต้องน้อยกว่า ใช่มั้ยคะ ความเข้าใจ และความเข้าใจที่น้อย ค่อยๆ สะสมทีละน้อย คิดถึงการสะสมของความติดข้อง กับการสะสมของความเข้าใจ ก็เทียบกันได้ ว่าอีกนานเท่าไหร่ ความเข้าใจจะมีกำลัง ที่สามารถที่จะละความติดข้องได้

        อ.วิชัย ความมั่นคงจากความเข้าใจ โดยความเป็นธรรมเนี่ย จะเข้าใจโดยตลอดทั้งหมดว่า แม้ความติดข้องก็เป็นธรรม หรือว่าการที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้นก็เป็นลักษณะของธรรมอย่างหนึ่งที่กระทำกิจของเขา

        ท่านอาจารย์ ค่ะ โดยตลอดหมายความว่ายังไง

        อ.วิชัย หมายความว่า มีความเข้าใจว่าเป็นธรรมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการที่อบรมความเข้าใจถึงความรู้ขึ้นครับอาจารย์

        ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

        อ.วิชัย เดี๋ยวนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นครับ

        ท่านอาจารย์ ค่ะ ยังไม่เป็นแล้วจะเป็นไหม

        อ.วิชัย ก็ถ้ามีความมั่นคงขึ้น ก็ค่อยๆ รู้ขึ้นครับ

        ท่านอาจารย์ จะมั่นคงมากมั้ย

        อ.วิชัย ก็ต้องอบรมให้เจริญขึ้น

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอีกยาวไกลมั้ย ที่เราพูดเนี่ยสั้นมากเลย

        อ.วิชัย ครับ

        ท่านอาจารย์ แต่ว่ากว่าจะแต่ละขั้น ที่จะทำให้สามารถเข้าใจจริงๆ ว่าปัญญาที่ค่อยๆ สะสมมีหลายระดับ ขั้นนี้ขั้นฟัง ก็พูดได้ใช่มั้ยคะ ว่าสิ่งที่กำลังปรากฎมีจริงๆ ไม่ใช่สภาพรู้ แล้วเดี๋ยวนี้รู้อะไร พูดได้แล้วเดี๋ยวนี้รู้อะไร

        อ.วิชัย สิ่งที่ปรากฎก็ยังไม่รู้

        ท่านอาจารย์ ก็ยังไม่รู้ ทางตายังไม่รู้ ทางหูยังไม่รู้ ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยังไม่รู้เลย แต่อย่างน้อยได้ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจจนกว่าจะมั่นคง เพราะว่าบังคับไม่ได้เป็นอนัตตา จะให้ไปรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดในขณะที่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ ทั้งๆ ที่กำลังมี แข็งก็มี เสียงก็มี เห็นก็มี คิดก็มี แต่จะให้ไปรู้ตรงนั้น ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา แต่ถ้าปัจจัยพร้อม บังคับไม่ให้รู้ก็ไม่ได้ นี่คือมีความเข้าใจอย่างมั่นคง ในความเป็นอนัตตา ซึ่งจะทำให้เบาสบายใช่มั้ยค่ะ ไม่เดือดร้อน เดือดร้อนไปทำไมละคะ เดือดร้อนยังไงก็ไม่รู้ ยังไม่ถึงเวลาที่จะรู้แล้วไปนั่งเดือดร้อน เพราะฉะนั้นผู้มีปัญญาก็ไม่เดือดร้อนที่จะต้องขวนขวายไปทำสิ่ง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าปัญญายังไม่ได้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น


    หมายเลข 11681
    17 ก.พ. 2567