อวิชชาคืออะไร


        อวิชชาคือ ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้ เช่น เห็น ได้ยิน ว่าเกิดตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย ส่วนวิชชา คือการเริ่มรู้ความจริงตั้งแต่ขั้นการฟังพระธรรม


        อวิชชาหรือความไม่รู้ทางพระพุทธศาสนาหมายถึงอะไร มีความแตกต่างไปจากความไม่รู้ทางโลกอย่างไรค่ะ

        ท่านอาจารย์ ก็เป็นคำที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสทุกคำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งมาก แม้แต่คำว่าอวิชชา ถ้าหมายความตรงๆ ก็คือ วิชชาคือความรู้ อะไม่ เพราะฉะนั้นอวิชชาคือความไม่รู้ เพียงเท่านี้ ก็เป็นสิ่งที่เราจะไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลยว่าเราไม่รู้อะไร เพราะว่าเหมือนกับว่าเกิดมาเนี่ยรู้ทุกอย่าง แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า อวิชชา ความไม่รู้ก็ต้องไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นความลึกซึ้งของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ว่าอวิชชามีแน่นอน แล้วก็ไม่รู้จริงๆ ด้วย ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่กำลังมีขณะนี้ ใครรู้ความจริงของสิ่งที่มีขณะนี้บ้าง ในพระไตรปิฎกก็กล่าวถึงคำว่าเห็น แต่ว่าพระปัญญาที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงของเห็น ซึ่งคนอื่นไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร เพราะฉะนั้นเห็นมีเดี๋ยวนี้ ใครรู้ ว่าถ้าเห็นไม่เกิดขึ้นจะมีเห็นไหม แค่นี้ค่ะ เป็นสิ่งซึ่ง ไม่ใช่ให้ใครเชื่อ แต่ว่าผู้ที่ได้ฟังคำของพระองค์จะต้องไตร่ตรอง พิจารณาเริ่มเข้าใจตามความเป็นจริงว่า แต่ละคำของพระองค์หมายความว่าอย่างไร ขณะนี้มีเห็น ไม่รู้ว่าเห็นเกิดขึ้นโดยไม่มีใครสามารถจะทำให้เห็นเกิดขึ้นได้เลย แต่เห็นก็เกิดแล้ว และขณะนี้ที่ได้ยิน ต้องไม่มีเห็น เพราะฉะนั้นสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา หมายความว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีตาก็ไม่เห็น ถ้าไม่มีหูก็ไม่ได้ยิน เพราะฉะนั้น นี่เป็นแต่เพียงปัจจัยที่พระองค์ทรงแสดงเพียงในเบื้องต้น แต่ว่าทรงแสดงละเอียดจนกระทั่งว่า เห็นหนึ่งขณะที่เกิดขึ้นประกอบด้วยสภาพธรรมคือสิ่งที่มีจริง ที่อาศัยกัน และกันเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าเห็นอะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น ถ้าไม่มีสิ่งที่ถูกเห็น เห็นก็เกิดไม่ได้ ได้ยิน ได้ยินอะไร ได้ยินเสียง ถ้าไม่มีเสียง ได้ยินเกิดไม่ได้ นี่เป็นชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ได้รู้ความจริงว่าอวิชชา ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ว่าเกิดขึ้น และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

        เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งสิ่งใด มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ใครจะหยุดยั้งไม่ให้ดับไป เป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นธรรมดา คำว่าธรรมดา ธรรมหมายความถึงสิ่งที่มีจริง ตาความเป็นไปของธรรม เพราะฉะนั้นธรรมเป็นธรรมดาก็คือว่า เมื่อเกิดแล้วดับ ใครก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้นตลอดชีวิตไม่รู้อะไร ขณะเห็นก็ไม่รู้ ขณะได้ยินก็ไม่รู้ ขณะคิดนึกก็ไม่รู้ ทุกอย่างเต็มไปด้วยความไม่รู้

        เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีก็รู้ความจริงของชีวิตแต่ละหนึ่งขณะว่า ชีวิตก็คือขณะที่มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น จึงมีชีวิต ถ้าไม่มีสภาพรู้ ไม่มีการรู้ ชีวิตก็ไม่มี อย่างโต๊ะเก้าอี้ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น ไม่เห็นอะไร ไม่ชอบอะไร แต่สภาพธรรมที่เห็น แล้วก็รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏเพราะมีธาตุรู้ ซึ่งคนไทยเราชินหูกับคำว่าจิต แต่ก็เพียงแต่พูดว่าจิต แต่เดี๋ยวนี้จิตไหน อวิชชาไม่รู้เลย จิตเกิดขึ้น และดับไป เห็นเป็นจิตหรือเปล่า ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมเลย เขาจะตอบว่ายังไง เขาก็ไม่รู้ใช่ไหมคะ ว่าเห็นเป็นจิต เพราะฉะนั้นจากการที่รู้ว่า แม้แต่คำว่าจิตคืออะไร อวิชชาไม่สามารถจะรู้ได้ แต่พระปัญญาคุณที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีตรัสรู้ความจริงของทุกอย่างโดยละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวงถึงที่สุด

        เพราะฉะนั้นจากการที่ไม่เคยรู้ว่าตั้งแต่เกิดมา เกิดมาต่างๆ กัน เกิดแล้วก็ต่างๆ กันไป ไม่ว่าจะเห็น จะได้ยิน ตลอดชีวิตต่างๆ กันไป แต่ละหนึ่งขณะ จนถึงขณะที่จากโลกนี้ไป ซึ่งก็ไม่มีใครสามารถที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ได้ เพราะเหตุว่าเป็นธรรมดา หมายความว่าเป็นธรรมดาของธรรม ซึ่งเกิดขึ้น ที่จะต้องเป็นไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้นอวิชชา ณ บัดนี้ ก็พอจะรู้ได้ว่าไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงของธรรมคือสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตายทุกขณะ ขณะเห็นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ขณะได้ยิน ไม่มีใครไปทำให้ได้ยินเกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีเสียง และไม่มีหู ได้ยินเกิดไม่ได้เลย และได้ยินเกิดขึ้น ได้ยินเสียงเท่านั้น รู้อย่างอื่นไม่ได้เลย แล้วก็ดับไปทุกๆ ขณะสามารถที่จะพิสูจน์ จนกระทั่งสามารถเข้าใจขึ้น และเริ่มเห็นว่าผู้ที่จะรู้อย่างนี้ก็คือ ผู้ที่ทรงตรัสรู้ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริงให้ทุกคนได้เริ่มเข้าใจว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรม

        เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสรู้ธรรม ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ ๆ ซึ่งสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตาม กำลังปรากฏในขณะนี้ เพราะเกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้เลย ว่าเกิดเพราะอะไรแล้วก็ดับไปแล้วด้วย เร็วสุดที่จะประมาณได้ เพราะฉะนั้นก็เริ่มจะเข้าใจว่าอวิชชาไม่รู้อะไร ไม่รู้ความจริงทุกขณะที่กำลังมีในขณะนี้ ว่าเป็นสิ่งที่เพียงเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วดับไป แล้วไม่เหลือเลย แล้วไม่กลับมาอีกเลยไม่สามารถที่จะไปค้นหาที่ใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาล สิ่งที่ดับแล้วเหมือนไฟดับแล้วใครหาเจอ เพราะฉะนั้นเห็นดับแล้ว ในขณะที่ได้ยินเกิด ดับแล้วในขณะที่คิดนึก ดับแล้วทุกสิ่งทุกอย่างนะคะ เป็นธรรมคือสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นธรรมดาที่เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา วิชาเริ่มเกิด เริ่มเข้าใจว่าธรรมคืออะไร คือสิ่งที่มีจริงทุกขณะ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง ที่จะเป็นของใครได้ ได้ยินเมื่อกี้นี้เกิดแล้ว ดับแล้ว หมดแล้ว เป็นของใคร จะเป็นของใครไม่ได้เลย ได้ยินใหม่ ไม่ใช่ได้ยินเมื่อกี้นี้ เกิดแล้ว ดับอีกแล้ว เป็นของใคร

        เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้นอย่างมั่นคง ก็สามารถที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีทั้งหมดในชีวิตทุกประการโดยที่คนอื่นไม่รู้ เพราะฉะนั้นอวิชชาคือความไม่รู้ความจริง ที่กำลังมีในขณะนี้ และวิชชาคือการเริ่มรู้ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้คืออะไร เดี๋ยวนี้มีอวิชชาไหมคะ ผู้ที่ได้ฟังแล้วตอบได้ ว่ามีหรือไม่มี ต้องเป็นคนที่ตรง ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง จริง เพราะฉะนั้นเห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ดับแล้ว ไม่รู้ เป็นอวิชชา ไม่ใช่ใครทั้งสิ้น ความไม่รู้ก็คือไม่สามารถจะรู้ได้ แต่ความรู้คือวิชชาสามารถเริ่มรู้ความจริงว่า สิ่งที่มีในชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย ชั่วคราวแสนสั้น เกิด และดับไปโดยไม่รู้ จนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้น


    หมายเลข 11679
    17 ก.พ. 2567