สะสมคุ้นเคยในธัมมะ


        พระธรรมเป็นประโยชน์สูงสุด เพื่อการฟัง พิจารณา และไตร่ตรอง จนเป็นการสะสมคุ้นเคยในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะน้อมไปสู่ความเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง


        อ.วิชัย การที่จะเข้าใจโดยความเป็นธรรม แน่นอนไม่ใช่เพียงแต่ เพียงคิดว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นก็เป็นธรรม แต่ว่าการที่จะมีปัญญาเกิดขึ้นน้อมเข้าใจสภาพหรือลักษณะนั้นโดยความเป็นธรรม

        ท่านอาจารย์ กว่าจะถึงเวลานั้นก็ต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ปรุงแต่ง มีความแยบคายที่จะรู้ว่า ฟัง ไม่ใช่เพื่อไปติดคำ แต่เพื่อรู้ว่าขณะนี้เป็นธรรมซึ่งยังไม่ได้เข้าใจว่าเป็นธรรม

        อ.วิชัย เพียงฟังนิดๆ หน่อยๆ ความรู้ไม่เพียงพอต่อการที่จะเห็นหรือว่ารู้ด้วยความเป็นธรรมแน่นอน

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอุปนิสสยโคจร เราคุ้นเคยกับคำที่เราได้ฟัง ฟังใหม่ๆ ภาษาบาลีคำนี้ยาว อุปนิสสยโคจร แต่ถ้าเห็นคุณค่า จิตเกิดขึ้นต้องรู้อารมณ์ และอารมณ์อะไรหล่ะ ที่สมควรที่จิตจะรู้บ่อยๆ จนกระทั่งเป็นนิสัยที่จะไม่ละเลยอารมณ์นั้นไป เราเกิดมาเนี่ยเราคุ้นเคยกับสิ่งที่ปรากฏทางตา คุ้นเคยกับเสียง คุ้นเคยกับกลิ่น คุ้นเคยกับรส คุ้นเคยกับเรื่องราวต่างๆ นะคะ แต่ว่าไม่ได้คุ้นเคยกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะทำให้เข้าใจสิ่งซึ่งเราไม่สามารถจะรู้ด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นเพียงแค่ว่าจะรู้อะไร จิตเกิดขึ้นควรรู้อะไร ก็ควรรู้คำ ที่ทำให้เข้าใจสิ่งที่มี จนกระทั่งเป็นอุปนิสัยนะคะ ไม่สนใจคำอื่นเท่า ไม่สนใจเรื่องอื่นเท่า เพราะฉะนั้นพอได้ยินคำว่าธรรม การที่เคยสะสมมาแล้วคิดดู กับคนที่ไม่ได้สะสมมาเลย ต่างกันมั้ยคะ เพียงแค่ได้ยินคำว่าธรรม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นความลึกซึ้งของธรรมประการใดที่เคยได้ยินมาแล้วในสังสารวัฎ ความคุ้นเคยจนเป็นอุปนิสัย ทำให้สามารถที่จะเห็นประโยชน์ แล้วก็ไม่ต้องการอารมณ์อื่น นอกจากการที่จะได้เข้าใจธรรม

        เพราะฉะนั้นเราถึงต้องฟังไงค่ะ มาฟังกันทั้งเสาร์ทั้งอาทิตย์เนี่ย เพื่อว่าถ้าเราไม่มาฟัง เราก็มีอารมณ์อื่น แต่เพื่อที่จะคุ้นเคยกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุปนิสสยโคจร ไม่สนใจอย่างอื่น เพราะอย่างอื่น หาง่าย แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหายาก

        อ.วิชัย ดังนั้นการสะสมที่จะมีปัญญาเกิดขึ้น รู้ตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เราเนี่ย ก็ต้องมีการอบรมมากเพียงพอต่อการที่จะเห็นอย่างนั้นตามปกติ

        ท่านอาจารย์ อย่างน้อยเสาร์อาทิตย์ก็คุ้นเคยต่อการที่จะฟังธรรม ไม่ไปที่อื่นใช่ไหมค่ะ นี่เรียกว่าคุ้นเคยแล้ว อุปนิสสัยโคจร บางคนก็บอกเสาร์นี้อาทิตย์นี้ต้องไปที่อื่น ใช่ไหมคะ ก็แสดงให้เห็นว่ากำลังของอุปนิสสยโคจร ถึงแม้จะไปแต่ก็ยังรู้ประโยชน์ กำลังไปก็ฟังธรรมก็ได้

        เพราะฉะนั้นแต่ละขณะนี้จะออกมาในรูปแบบต่างๆ กัน ไม่ใช่กฎเกณฑ์ว่าเราจะต้องทำอย่างนี้ ต้องทำอย่างนั้น ไม่ว่าจะสนทนากันหรือทำอะไรก็ตาม อุปนิสสยโคจรที่สะสมมาแล้ว ก็สามารถที่จะทำให้เข้าใจขึ้นในขณะนั้นได้ เช่นเดี๋ยวนี้จากการฟังมากี่ปีที่มูลนิธิ เริ่มเปิดสอนสนทนา จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ ลองคิดถึงว่าสะสมความคุ้นเคยต่อการได้ยินได้ฟัง แล้วก็เห็นประโยชน์ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปในสังสารวัฎ

        อ.วิชัย พระองค์ไม่ได้เพียงแสดง อุปนิสสยโคจร ที่แสดงถึงอารักขหมายความว่า ความเข้าใจที่เกิดขึ้นแล้วจากความรู้พุทธพจน์ สามารถที่จะนำไปในการที่จะอารักขา คือป้องกันที่จะไม่ให้อกุศลเกิดขึ้นอย่างไรครับ

        ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย ก็เป็นไปตามอกุศลนี่แน่นอนไม่มีอะไรจะอารักขา ให้พ้นจากอกุศลในขณะนั้น แต่เพราะเหตุว่าได้ฟังได้เข้าใจ จนกระทั่งสภาพธรรมเป็นอนัตตา ไม่มีการบังคับเลย แต่การปรุงแต่งของการเข้าใจ ก็ทำให้อารักขาไม่ตกไปในทางอกุศล ในทางความเห็นผิด เพราะฉะนั้นจริงๆ ฟังธรรมเพื่ออะไร

        อ.วิชัย ก็ต้องละตามลำดับขั้น เพื่อเข้าใจ

        ท่านอาจารย์ ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจจะละได้หรือ

        อ.วิชัย ก็ละไม่ได้

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเข้าใจที่สะสมไว้ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปที่จะอารักขาไม่ให้ไปสู่หนทางที่ผิด เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่า คนที่ไม่ได้ฟังธรรมเลย คิดแต่จะละโลภะ ไม่ใส่รองเท้าบ้าง ทำอะไรบ้างก็แล้วแต่ คิดไม่เป็นธรรมดา เพราะเหตุว่าเป็นตัวตนที่คิดจะละโลภะ แต่ถ้าฟังพระธรรมไม่มีทางเลย ที่ใครจะละความติดข้อง ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะได้ ตราบใดที่ยังคงยึดถือว่าสภาพนั้นเป็นสิ่งหนึ่ง และมีเรา

        เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเห็นกำลังของปัญญา ว่าปัญญาระดับนี่ จะละอะไร ไม่ไช่ไปละโลภะความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส ไม่ใช่ไปละความสนุกสนานรื่นเริง แต่ปัญญาขั้นต้นที่สุดก็คือ ละความเห็นผิด เข้าใจผิดที่ยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเป็นตัวตน ต้องมั่นคง มิฉะนั้นแล้วจะมีตัวตนที่พยายามไประงับ ไม่อารักขาเลย ตัวตนจะมีอะไรไปอารักขา เพราะเหตุว่าเป็นความเห็นผิดว่าเป็นตัวตน แต่ความเข้าใจธรรมว่าไม่ใช่เรา จะทำให้เข้าใจว่าโลภะขณะนั้นเป็นธรรม แทนที่จะไปพยายามไม่ให้มีโลภะ ซึ่งผิด เพราะฉะนั้นก่อนการตรัสรู้ของสัมมาสัมพุทธเจ้า สัตว์โลกก็เป็นไปตามสังสารวัฎ ไม่สามารถที่จะออกจากสังสารวัฎได้เลย


    หมายเลข 11678
    21 ก.พ. 2567