ธรรมไม่ใช่สำหรับทุกคน


        พระธรรมเป็นประโยชน์ สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่า เพราะมีเหตุปัจจัยที่ได้สะสม ความเข้าใจในพระธรรมมาแล้ว ไม่ใช่บังเอิญ ดังนั้นเมื่อได้อนุเคราะห์แนะนำ ผู้อื่นให้ฟังธรรมแล้ว ก็ไม่ต้องเดือดร้อนใจถ้าเขาไม่สนใจจะฟัง แต่ผู้ที่เห็น ประโยชน์ก็ควรฟังพระธรรมต่อไป เพื่อความเข้าใจในความเป็นธรรมที่ไม่ใช่เรา


        ท่านอาจารย์ ทุกคนต้องเป็นคนที่ละเอียดขึ้นๆ ใครก็ตามที่เขาไม่สนใจธรรม เราจะไปฝืน ไปให้เขาเข้าใจ เขาไม่สนใจ กลับทำความเดือดร้อนใจให้เขา แล้วก็อาจจะเดือดร้อนใจไปบ่อยๆ ถ้าเราพูดถึงบ่อยๆ ใช่ไหม แค่ถามว่าสนใจจะฟังมั้ย ถ้าสนใจก็มีอะไรที่จะให้ฟัง ให้อ่าน แต่ถ้าไม่สนใจก็เอาไปให้เขา เขาก็ไม่ฟัง เขาก็ไม่อ่าน แล้วเราก็มานั่งเสียดายว่า เราเอาไปให้แล้วก็ไม่สนใจ เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่สำหรับทุกคน แต่ต้องสำหรับคนที่เห็นคุณค่า มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง เพราะว่าทุกคนที่ได้ฟังวันนี้ไม่ใช่บังเอิญ ไม่มีการที่จะบังเอิญได้ฟัง แม้แต่คนกลางถนน ในรถ หรือที่ไหนก็ตามแต่ มีโอกาสได้ฟังธรรม ไม่ใช่บังเอิญ แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่จะให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น

        เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรมต้องมั่นคงจริงๆ ว่าธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใคร และเกิดเมื่อมีเหตุปัจจัยเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย เกิดไม่ได้ ใครลองทำให้ไฟเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ได้ไหม ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งหมด เราไม่เคยรู้เลยว่า ไม่มีใครทำอะไรได้เลย แต่มีปัจจัยที่จะให้สิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นจึงเกิดได้แค่นี้เอง ทุกคำที่ได้ฟังต้องมั่นคง ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงที่กำลังมี ให้รู้ว่าสิ่งที่มี เกิดเพราะอะไร เพื่อที่จะได้ละคลายความเป็นเรา เขาก็เป็นเขา เราก็เป็นเรา โน่นก็เป็นโน่น นี่ก็เป็นนั้น ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ไม่อย่างนั้นเราก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นเดือดร้อนไปหมดไม่ว่าใครจะทำอะไร แต่ถ้ามีความเข้าใจธรรมไม่เดือดร้อนเลย ใครจะคิดยังไงใครจะว่ายังไง เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยทั้งหมด สำหรับเราซึ่งมีโอกาสได้สะสมการได้เข้าใจธรรมมาแล้ว จึงมีโอกาสได้ฟัง แล้วรู้ด้วยว่าฟังแค่นี้ไม่พอ ใครคิดว่าพอแล้ว ไม่พอ แล้วจะฟังต่อไปอีกไหม เห็นไหม บังคับได้ไหม เพราะว่าบางคนตอนเด็กได้ฟัง แต่ว่าพอโตขึ้นหายไปสักพักหนึ่ง ก็กลับมา แล้วหายไปอีกก็ได้ ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ มีการเกิดขึ้นเป็นไปสืบต่อมานานแสนนานกว่าจะถึงวันนี้ และเดี๋ยวนี้

        เพราะฉะนั้นวันนี้ และเดี๋ยวนี้ก็หมดไปอีก หมดไปอีก หมดไปอีก จนข้างหน้าก็แสนโกฏกัปป์ ก็ยังคงเป็นอย่างนี้ จนกว่าจะมีการได้ยิน ได้ฟังคำที่สามารถจะทำให้เข้าใจว่าธรรมในภาษาบาลี คือสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นใครจะไปสำนักไหน จะไปปฏิบัติอะไรก็ตามแต่ เขาเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจะเข้าใจอะไร เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น น้อยมากสั้นมาก สุดที่จะประมาณได้ แค่เห็นจะเป็นคนหลายคนนั่งอยู่เต็มห้องนี้ได้ไหม ไม่ได้ เห็นขณะเดียว เพราะฉะนั้นกว่าจะเป็นแต่ละหนึ่งคน แต่ละหนึ่งอย่าง ต่างกันไปเป็นดอกไม้ เป็นโต๊ะ เป็นเสา เป็นอะไร จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน เพราะว่าธาตุรู้มี ถ้าธาตุรู้ไม่มีเดี๋ยวนี้ จะไม่มีใครในห้องนี้เลย มีโต๊ะมีเก้าอี้ มีดอกไม้ มีกระดาน มีไฟฟ้า มีอะไรก็แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ไม่มีคน

        เพราะฉะนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต เป็นนามธรรม เป็นนามธาตุ ซึ่งใครก็ไปบันดาลให้เกิดไม่ได้เลย และขณะเดียวกันก็ห้ามไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ นี่คือความหมายของธรรม กว่าจิตของคนที่ฟังธรรมจะค่อยๆ น้อมไปเข้าใจว่าธรรมไม่ใช่อื่นไกลเลย เดี๋ยวนี้ แต่ว่าถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้แสนนานประมาณไม่ได้เลย จนแม้แต่พูดคำว่าเดี๋ยวนี้ ก็ไม่รู้ว่าอะไร จนกว่าจะได้ฟังธรรม จึงจะเข้าใจว่า ที่เราฟังทั้งหมดคือฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปทำอะไรเลย มีแล้วเดี๋ยวนี้ แต่ไม่เคยเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ฟังเพื่อที่จะให้เข้าใจสิ่งที่มีแล้วเดี๋ยวนี้ ยากนะคะ เพราะเหตุว่าดับแล้ว ที่มีแล้วเดี๋ยวนี้แสนสั้น หมดแล้วมีใหม่อีกแล้ว ได้ยินดับไปแล้ว เมื่อกี้ได้ยินไม่รู้ ดับแล้ว เดี๋ยวนี้ได้ยินไม่รู้ ดับแล้ว เห็นเมื่อกี้นี้เห็นแล้ว ดับแล้ว ไม่รู้คิดเมื่อกี้นี้คิดแล้ว ดับแล้วไม่รู้ เพราะฉะนั้นเป็นอย่างนี้มานาน จนกระทั่งเข้าใจความเป็นธรรมว่า ไม่ใช่เรา ถูกต้องไหม คือทุกคำไม่ใช่เชื่อเลย ใครจะไปสำนักปฏิบัติ ใครจะไม่ฟังธรรม ก็เป็นสิ่งซึ่งเป็นอย่างนั้นเพราะเหตุปัจจัยที่เกิดแล้ว เพราะฉะนั้นการสะสมของแต่ละคน ก็หลากหลายมากแม้แต่กำลังฟังเดี๋ยวนี้ เข้าใจแค่ไหน คิดอะไร ก็กว่าจะมาได้ยินได้ฟังอีกคำหนึ่ง อ้าวเมื่อกี้นี้คิดเรื่องอื่นไปแล้ว นี่ก็คือความจริงทั้งหมด เพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรมคำเดียว ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดคือเป็นพระอรหันต์ เพราะรู้ว่าเป็นธรรมทุกอย่าง

        เพราะฉะนั้นการฟังไม่ต้องไปห่วงกังวล ตราบใดที่แหมตั้ง ๒๐ ปีแล้วไม่เห็นรู้อะไร ๕๐ ปีก็ไม่รู้อะไร ใครละไม่รู้ มัวแต่จิตคิดถึงความเป็นเราด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ถ้าจะสนทนาก็คือว่า บูชาคุณว่าแต่ละคำ ถ้าไม่มีโอกาสจะได้ยิน ได้ฟังเลย ในสังสารวัฎฎ์จะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น กำลังนั่งอยู่อย่างนี้ก็ไม่รู้ อะไรเกิดขึ้นก็ไม่รู้ เป็นเรา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งถือยึดมั่นมานานแสนนานด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมด้วยความเคารพ คือแต่ละคำ ฟังเพื่อเข้าใจไม่ต้องกังวล ใครจะได้ฟัง ไม่ฟังยังไงก็ตามแต่ ถ้าเขาสนใจ เราพร้อม เพราะฉะนั้นแม้แต่เวลานี้ ประเทศไทยเองก็มีทั้งฝ่ายที่ฟังธรรม และไม่ฟังธรรม ฟังคนอื่นไม่ใช่ฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นความคิดต่างก็มีมากก็เป็นเรื่องที่เป็นธรรมทั้งหมด

        เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องสนใจที่เราจะไปแก้ไขอะไร เพราะเหตุว่าขอให้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นทุกคำที่เรามีความหวังดีกับใคร เราก็จะพูดเพื่อให้เขาเข้าใจธรรม เพราะว่าจริงๆ แล้วเนี่ย เขาไม่ได้รู้จักธรรมเลย แค่ได้ยินธรรมก็ไปหาธรรม ทำไมไม่ฟังละ ว่าคำนี้คืออะไร แต่ไปหาอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นก็สำหรับผู้ที่ได้ฟังธรรมแล้ว เคารพอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย ไม่มีกิจอื่นที่จะต้องไปสนใจคำของคนที่เขาไม่เข้าใจธรรม เขาไม่สนใจที่จะเข้าใจธรรมด้วย เพราะเหตุว่าถ้าสนใจที่จะเข้าใจก็พุทธบริษัท ร่วมแรงร่วมใจกันดำรงรักษาคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยวิธีเดียว เข้าใจธรรม ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะมีความอดทนที่จะให้คนอื่นเนี่ยเขาได้สามารถได้เข้าใจพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะว่าแต่ละชาติที่เกิดมาจะสั้นจะยาวแค่ไหนไม่มีใครรู้ได้ แต่ประโยชน์สูงสุดของการเกิดมาก็คือว่าได้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี


    หมายเลข 11674
    23 ก.พ. 2567