คำที่ขจัดความมืด


        พระธรรมเป็นแสงสว่างที่ส่องขจัดความมืดคือความไม่รู้ในจิต เพราะทำให้ เกิดความเข้าใจในสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้


        ท่านอาจารย์ ไม่เคยได้ฟังคำ จากคนอื่นที่เหมือนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคำ ไม่ว่าชาติไหน จะเกิดมากี่ครั้งก็ตาม ก็จะเห็นได้ ว่าแม้แต่คำๆ เดียวของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นแสงสว่างอย่างยิ่ง ที่ทำให้สามารถที่จะเข้าใจได้ ว่าที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดในชีวิต ไม่ได้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แต่ว่าคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ทำให้สามารถเข้าใจความจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปิดเผย ด้วยแสงใดๆ ทั้งสิ้น ก็ตกอยู่ในความมืดมานาน ไม่รู้อะไรเลยทุกชาติไปในสังสารวัฎ จนกว่ามีโอกาสจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งแต่ละคำก็เป็นแสงที่ส่องให้เห็นความจริง ของสิ่งที่กำลังมีทุกขณะ

        อ.วิชัย ข้อความหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน ในอรรถกถา วิภังคปกรณ์ กล่าวว่า "จริงอยู่ความมืดในหทัยของเวไนยสัตว์ จะถึงความย่อยยับไปโดยพลัน อันขจัดได้ด้วยเดชแห่งพระสัทธรรมของพระองค์ ได้โดยประการใดๆ พระองค์ก็ทรงประกาศธรรมนั้น โดยนัยอันย่อ และพิศดาร" ดังนั้นความที่กล่าวว่า เป็นความมืดในหทัย คือในจิตของเวไนยสัตว์ อย่างไร

        ท่านอาจารย์ ค่ะ เดี๋ยวนี้ก็มืด ถ้าไม่รู้ว่าขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริง ซึ่งเปิดเผยสิ่ง ซึ่งซ่อนเร้นปิดบัง มานานแสนนานในสังสารวัฎ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมปรากฏเสมือนว่า ไม่เกิด และไม่ดับเลย สืบเนื่องติดต่อกัน จนกระทั่งปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ ให้จำ ให้คิด ไม่เห็นยังจำ สิ่งที่เคยเห็น ไม่ใช่แค่จำ ยังคิดถึงสิ่งที่เคยเห็น ยาวด้วย เป็นเดือน เป็นปี เป็นชาติ ทั้งชาติก็ได้ เพื่อแสดงให้เห็นความจริงว่า ไม่มีการที่สามารถจะรู้ได้เลยว่า แท้ที่จริงสิ่งที่ปรากฏ มีชั่วขณะที่ปรากฏ ซึ่งคำของพระองค์สำหรับที่จะฟัง ไตร่ตรอง เป็นความจริง ซึ่งลึกซึ้งแต่รู้ได้ แต่ว่าไม่ใช่โดยรวดเร็ว แต่ด้วยความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ตรงตามความเป็นจริง ให้ค่อยๆ คิดว่า ก่อนเห็นไม่มีเห็นเลย เห็นไม่ได้เกิดขึ้น และขณะใดก็ตามที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นกำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นแน่นอน และทันทีที่ผ่านพ้นสิ่งนั้นไป สิ่งนั้นหามีไม่ แต่สัญญา สภาพจำ จำไว้มั่นคงตั้งแต่เกิดจนตาย เป็นเราเกิด ทุกวันก็เราเห็น เราสุข เราทุกข์ทั้งหมด จากโลกนี้ไปแล้ว เราที่เห็นมาแล้ว ที่สุขมาแล้ว ที่ทุกข์มาแล้ว ที่เคยเป็นเรา อยู่ไหน ไม่มีอีกเลยในสังสารวัฎ เป็นคนนี้ได้ชาตินี้ชาติเดียว และที่เป็นคนนี้ ถ้าไม่มีการเห็น ไม่มีการได้ยิน ไม่มีสภาพธรรมที่ปรากฏ ตั้งแต่เกิดจนตาย ก็จะไม่มีเรา แต่ว่าเป็นธรรมซึ่งมีปัจจัยเกิดก็ไม่รู้ ทุกขณะความมืด มืดสนิท แม้ว่าได้ฟังธรรม กว่าแสงสว่างจะสว่างพอ ก็ต้องมาจากแสงสว่างที่ค่อยๆ สว่างขึ้น จากความมืดมิด ก็เป็นการได้ยิน ได้ฟังคำ ซึ่งใครก็ไม่สามารถที่จะอธิบายความหมายของคำนั้น ให้ลึกซึ้งได้ จนกว่าจะเห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเห็นพระมหากรุณาคุณ ซึ่งเกิดจากพระบริสุทธิคุณ ซึ่งเกิดจากพระปัญญาคุณ ว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้เลย เพราะว่าใครก็ไม่สามารถจะรู้ความจริงนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเทพหรือพรหมชั้นใดก็ตาม ก็ยังต้องมาเฝ้า เพื่อกราบทูลถาม

        ด้วยเหตุนี้แต่ละคำมีค่ามหาศาล นับคุณค่าประเมินประมาณไม่ได้เลย เพราะว่าทำให้ความไม่รู้ค่อยๆ รู้ขึ้น จนกระทั่งหมดสิ้นไปได้ คิดถึงบุคคลในครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวันเป็นต้น คนเหล่านั้นมาเฝ้า ไม่ได้ฟังคำของพระองค์ มืดไหม แต่ว่า แต่ละคำที่เขาได้ฟังเหมือนเรา คำเดียวกันเลย ทุกคำเป็นคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว แต่ว่าคนที่มา มาต่างชาติ ต่างกันสะสม แต่ละชาติ แต่ละชาติไป อัธยาศัยก็ต่างกัน คนที่ได้ฟัง และไตร่ตรอง รู้ว่าสิ่งนี้จริงแท้แน่นอน แต่ไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ทันทีที่ได้ฟัง แต่เป็นความจริงแน่ ก็มีความอดทน มีความเพียร มีการเห็นประโยชน์ ฟังต่อไป ขณะนั้นความเข้าใจเกิดขึ้น ค่อยๆ รู้ว่าไม่ใช่เรา เพราะก่อนนี้ไม่เข้าใจ แต่ แต่ละคำมีคำให้เกิดความเข้าใจขึ้นได้ ไม่ใช่ใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชาได้ แต่เตชะ อานุภาพของคำ ที่กล่าวถึงสัจจะ ความจริงเดี๋ยวนี้ ทำให้ผู้ที่ได้ยินแล้ว ที่ไตร่ตรองแล้วมีความเข้าใจที่มั่นคง ว่าพระองค์ทรงตรัสรู้ สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย คือรู้ว่าเห็นขณะนี้ เกิดแล้วดับ สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เกิดแล้วดับ

        ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา ไม่ใช่คำของคนอื่นเลย แต่ว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทุกชาติไปที่จะได้ฟัง ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ อบรมมั่นคงขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ คลายความติดข้อง ในสิ่งซึ่งยึดถือว่าเป็นเราหรือของเรา นานแสนนาน ไม่ใช่เฉพาะชาติเดียว กว่าจะหมดความไม่รู้ และความเป็นเรา ก็เพราะธรรมเตชะ คำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว ทำให้สามารถที่จะให้ปัญญาค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้

        อ.วิชัย การที่จะค่อยๆ เปิดเผยในสิ่งที่มีจริง ซึ่งก็ต้องเป็นกาลที่ยาวนานครับท่านอาจารย์ กว่าที่ความมืดจะค่อยๆ หมดไป

        ท่านอาจารย์ นานแค่ไหนคะ คุณอรรณพ

        อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม แม้ใจนั้นน่ะ จะเป็นใจที่มืดมนแค่ไหนก็ไม่รู้ แล้วก็คิดว่าก็ไม่เห็นจะมืดอะไร ตอนนี้ก็เห็นได้ยิน สว่างดี กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ใจที่มืดมนด้วยความไม่รู้ เป็นอย่างไรบ้าง

        ท่านอาจารย์ ไม่รู้ทุกคำที่ได้ฟัง เช่นธรรมคืออะไร ถ้าไม่มีจริงๆ จะพูดถึงทำไม และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ถ้าสิ่งนั้นไม่มี แม้แต่คำว่าธรรมคำเดียว ก็หมายความถึงสิ่งที่มีจริง แค่นี้เขาก็ไม่รู้ล่ะ ฟังสัก ๑๐ ปี ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นทีละน้อย น้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับความลึกซึ้ง ซึ่งกว่าจะรู้จริงๆ อย่างที่ได้ฟังทุกคำ ก็จะเป็นผู้ที่รู้ได้ว่า ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส มาจากการตรัสรู้ ซึ่งอนุเคราะห์ให้คนอื่นได้เข้าใจขึ้น จนรู้ตามได้ ความยาวนานไม่ต้องนับ นับไม่ได้เลยแต่พิสูจน์ได้ ว่าฟังมานานเท่าไหร่แล้ว เห็นเดี๋ยวนี้เกิดดับหรือเปล่า ถ้าไม่เกิดจะมีเห็นไหม และก็ไม่ใช่มีแต่เห็น ขณะได้ยิน ต้องไม่มีเห็น คนละอย่างกันเลย ธาตุรู้ทางตา เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ ธาตุรู้ทางหู เกิดขึ้นได้ยินเสียง จะเป็นอันเดียวกันไม่ได้ สิ่งเดียวกันไม่ได้ เกิดจากปัจจัยเดียวกันไม่ได้ด้วย

        ทุกอย่างมีความละเอียดมากที่จะแสดงให้เห็นว่า การฟังพระธรรมด้วยความเคารพ ก็คือฟังเพื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ในความหมายของแต่ละคำซึ่งลึกซึ้ง ไม่ประมาทเลย เพราะเหตุว่าความจริงสามารถที่จะเข้าใจได้ เพราะจริง แต่ว่าต้องไม่ใช่เพราะเรา แต่ต้องเป็นปัญญาความเห็นที่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น แต่ละคนก็รู้เอง ค่อยๆ เข้าใจขึ้นแค่ไหน ก็ไม่ต้องคิดถึง เพราะเหตุว่าเราจะรู้ได้ยังไง ว่าเราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ พรุ่งนี้ก็ได้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ก็ติดตามไปสำหรับชาติต่อๆ ไป ถ้าอีก ๑๐ ปีต่อจากนี้ไปฟังแล้ว ค่อยๆ เข้าใจขึ้นอีก จากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่เพิ่มขึ้นจากวันนี้อีก ๑๐ ปี ก็สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น และก็สืบต่อในชาติต่อๆ ไป

        อ.อรรณพ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะขจัดความมืดในใจได้อย่างไร

        ท่านอาจารย์ คุณอรรณพเป็นคุณอรรณพหรือเปล่า

        อ.อรรณพ ก็ตอนที่ไม่ได้ไตร่ตรองในความเป็นธรรม ก็มีแต่ความเป็นเรา

        ท่านอาจารย์ นี่ละคะ ค่อยๆ สว่างแล้วใช่ไหม

        อ.อรรณพ ค่อยๆ สว่าง ขณะที่มีความเข้าใจ ตั้งแต่ขั้นฟัง ขั้นพิจารณาว่า จริงๆ แล้วไม่ใช่เรา

        ท่านอาจารย์ แต่สว่างอย่างนี้ ยังไม่ใช่แสงอาทิตย์ และพระปัญญาของพระองค์ก็ยิ่งกว่าแสงสว่างใดๆ ทั้งสิ้น ก็ไม่ต้องพูดถึงเลย ว่าความไม่รู้มากแค่ไหน ถ้าไม่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังเลย ในสังสารวัฎก็จะต้องเป็นอย่างนี้ไป ออกไม่ได้ เปลี่ยนจากคนนี้ ก็เป็นคนอื่น แล้วก็เป็นคนอื่น เกิดมาสุขทุกข์จำได้หมดไหม

        อ.อรรณพ ลืมไปหมด

        ท่านอาจารย์ ลืมไปหมดใช่ไหม ยังไม่ทันจากโลกนี้เลย ก็ไม่มีใครจริงๆ แต่ว่าสภาพจำ ซึ่งเป็นธาตุรู้ เกิดขึ้นจำ เวลานี้ก็กำลังจำ ไม่จำไม่ได้ ถ้าไม่จำจะรู้ไหม ว่าเป็นคุณอรรณพ แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วว่า ไม่ใช่เราที่รู้ว่าเป็นคุณอรรณพ แต่สภาพธรรมที่จำ ทันทีที่เห็น ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าเป็นใคร และไม่ใช่มีคุณอรรณพคนเดียว ในห้องนี้ทั้งหมด จำได้หมด เหมือนพร้อมกันเลย ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำไป แต่จำผิด วิปลาส แล้วแต่ว่าจะมากน้อยแค่ไหน กาลใดที่ได้มีการฟังพระธรรม ไม่มีโอกาสหรือเวลาไหน ที่จะประเสริฐเท่า ที่ได้มีการได้ยิน ได้ฟังคำ ซึ่งแสนยากที่จะได้ฟัง เพราะเหตุว่าการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ นานมากกว่าจะได้ตรัสรู้ และถ้าพระธรรมอันตรธาน ก็ต้องอีกนานมาก กว่าจะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อไป


    หมายเลข 11545
    25 ก.พ. 2567