พุทธานุสสติ


        ที่ได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมแต่ละคำ ที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ก็เพราะพระมหากรุณาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ ทรงแสดงธรรม จึงควรฟังพระธรรมอบรมปัญญา จนกว่าจะประจักษ์ แจ้งสภาพธรรมตามที่ทรงแสดง


        ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา กราบไหว้บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยไม่เข้าใจพระธรรม ก็ไม่รู้ว่ากราบไหว้พระคุณใด แต่ว่าขณะใดก็ตาม ที่ได้มีความเข้าใจ ขณะนั้นรำลึกทันที ความเข้าใจนี้จะเกิดมีได้ไหม ถ้าไม่มีการได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำทำให้คิดถึงพระคุณ ซึ่งเป็นพุทธานุสติ ไม่ใช่ไปท่อง และก็คิดว่าขณะนั้นระลึกถึงคุณ ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะระลึกถึงคุณอะไร ได้อย่างไร ก็ไม่มีคุณปรากฏ แต่ว่าเมื่อมีความเข้าใจธรรมยิ่งขึ้น พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ปรากฏกับผู้ที่ได้เข้าใจ ๔๕ พรรษา ที่พระองค์ทรงแสดงธรรม มากยิ่งกว่าใคร ตั้งแต่เช้า สาย บ่าย ค่ำ ดึก ใครได้กระทำอย่างนี้บ้าง เป็นสิ่งซึ่งพระองค์ได้มุ่งมั่นด้วยพระบารมี ที่จะกระทำกิจนี้ เพื่อสัตว์โลกแม้ว่าเขาจะอยู่ไกลแสนไกลสักเท่าไหร่ ทางเดินก็ลำบาก ไปถึงแล้วที่อยู่ก็ไม่สะดวกสบาย แต่พระองค์ก็เสด็จไปโปรดบุคคล ซึ่งมีโอกาสจะได้ฟังสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ที่สุดในสังสารวัฎ

        เพราะถ้าเขาไม่ได้ฟัง เมื่อไหร่จะได้ฟัง เหมือนเราทุกคน ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินี้ ในชาตินี้คือไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามแต่ ที่ไม่มีโอกาสได้ฟัง แล้วเมื่อไหร่จะได้ฟัง เพราะว่าเราคิดถึงคนที่จากไป ที่ว่าไม่เที่ยง เกิดแล้วก็ต้องตาย แต่ลืมว่าตายแล้วไปไหน ตายแน่ เกิดก็แน่ แต่ว่าเกิดที่ไหนเมื่อตายแล้ว

        พระธรรมทั้งหมดที่ทรงแสดง ทรงแสดงความจริงทุกขณะ ไม่ว่าจะเกิด หรือตาย หรือว่าระหว่างที่เกิดแล้วยังไม่ตาย ความจริงเป็นอย่างไรก็ทรงแสดง ซึ่งบุคคลอื่นไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยทั้งสิ้น เช่นเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีจริงๆ ทำไมพูดซ้ำแล้วซ้ำอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงจะพูดซ้ำอย่างไร ปัญญาที่ยังไม่ได้อบรมพอ ก็ยังไม่สามารถที่จะถึงการเข้าใจสภาพธรรมเพียงหนึ่งที่กำลังปรากฏ คิดดูเพียงหนึ่ง ยากไหม

        เดี๋ยวนี้ทั้งเห็น ได้ยิน แล้วก็คิด แล้วก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหูก็มีเสียงปรากฏ ทางกายก็มีอ่อนหรือแข็งกำลังปรากฏ แล้วก็ขณะนั้นถ้าเราไม่ได้ยิน ไม่ได้ฟังความจริงของสิ่งต่างๆ เหล่านี้เลย จะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งนั้นปรากฏเพียงชั่วขณะที่แสนสั้น และก็ดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย ทุกสิ่งในชีวิตแม้ในพระชาติทุกพระชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ไม่ได้กลับมาเลยแต่ละชาติ บางพระชาติก็เป็นคนยากจนเข็ญใจ บางพระชาติก็เป็นกษัตริย์มหาศาล บางพระชาติก็เป็นมหาอำมาตย์ บางพระชาติก็เป็นปุโรหิต ไม่กลับมาอีกเลย

        ขณะนี้ไม่มีขณะใดที่สามารถจะกลับมาได้เลย การฟังพระธรรมก็เพื่อให้เข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนเลย มีแต่สิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วดับไป จนกว่าจะรู้ว่าขณะนี้เป็นอย่างนี้ เมื่อนั้นก็จะเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการประจักษ์แจ้งธรรมที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวคำ ตามที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว นอกจากผู้ที่ได้ฟัง และมีความเข้าใจ

        เป็นประโยชน์ไหม แต่ละขณะ แต่ละคำ แต่ละนาที ไม่ได้ผ่านไปด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจเหมือนเดิม แต่ว่าแต่ละคำลึกซึ้งมาก แต่ก็ค่อยๆ มั่นคง เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น และก็ดับไป แค่นี้ถ้าระลึกได้บ่อยๆ ฟังบ่อยๆ คิดบ่อยๆ เข้าใจบ่อยๆ ค่อยๆ มั่นคงขึ้น สภาพธรรมก็จะปรากฏ ตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรมทั้ง ๔ แต่ต้องตามลำดับ ขณะนี้มีจริงไหม เป็นจริงไหม แค่นี้ รู้แค่นี้หรือว่ารู้มากกว่านี้ แต่ละหนึ่งๆ ๆ ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อละความยึดถือว่าเป็นเรา เพราะความจริงคือไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิด และก็ดับ แค่คำว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ จนกว่าจะมั่นคงเป็นสัจจญาน ก่อนที่จะถึงกิจจญาณ ซึ่งเป็นปฏิบัติ

        เพราะว่าขณะนี้เป็นขั้นฟังปริยัติ จะนำไปสู่ปฏิปัตติ การถึงเฉพาะด้วยสติ และปัญญา ที่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏโดยความเป็นอนัตตา จะละเลยคำว่าอนัตตาไม่ได้เลย เพราะว่าจุดประสงค์ของการฟังทั้งหมด เพื่อเข้าใจให้ถูกต้องว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีจริง ไม่ใช่ไม่มี แต่ต้องเกิดจึงจะมี และก็เกิดแล้วก็ดับไปด้วย โดยที่ไม่มีใครรู้การเกิดดับ จนกว่าปัญญาค่อยๆ ละความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น สภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนี้ จึงปรากฏได้


    หมายเลข 11547
    25 ก.พ. 2567