ยังไม่รู้โทษภัย


        ถ้ายังไม่รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็ไม่สามารถจะถึงการเห็นโทษเห็นภัย ของสิ่งที่เกิดดับได้เลย


        อ.วิชัย การที่จะเห็นโทษภัยของสิ่งที่เกิดดับอย่างนี้ เห็นขณะนี้ก็รู้ว่าเกิดดับ แต่ก็ไม่ได้เห็นว่ามีโทษภัยอะไรเลย

        ท่านอาจารย์ ก็เป็นอย่างนี้ตลอดไป เป็นภัยหรือเปล่า ไม่มีใครหยุดยั้งได้ จะต้องเป็นอย่างนี้ไม่สิ้นสุด ในสังสารวัฏ ไม่สามารถที่จะหยุดการเกิดได้เลย ไม่สามารถที่จะหยุดการที่เป็นภัยจากการที่ว่า จากไม่มีอะไรเลย แล้วก็มีเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็หามีไม่ ดับไปเลย สั้นมาก แค่นี้ โทษหรือเปล่า ภัยหรือเปล่า หรือเป็นอย่างนี้ก็ไม่เห็นเดือดร้อน ไม่เห็นเดือดร้อนคือยังไม่เห็นว่าเป็นโทษเป็นภัย เพราะเหตุว่าไม่มีเเล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ จากไม่มีก็เกิดมีขึ้น เกิดมีขึ้นแล้วก็ดับไปไม่สิ้นสุด ถ้าหนึ่งขณะ สองขณะก็ยังพอไหว ใช่ไหม พอฟัง อันนี้ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏ จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยๆ ภัยหรือเปล่า

        อ.วิชัย แสดงว่าขณะที่เป็นไปด้วยความพอใจ หรือว่าไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฏ ก็คือไม่เห็นสิ่งนั้นว่าเป็นภัยอะไรสักอย่าง

        ท่านอาจารย์ แน่นอน เห็นเดี๋ยวนี้ เห็นโทษ เห็นภัยหรือเปล่า

        อ.วิชัย ก็ไม่เห็น

        ท่านอาจารย์ ได้ยินเดี๋ยวนี้ เห็นโทษ เห็นภัยหรือเปล่า

        อ.วิชัย ก็ไม่เห็น

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเห็นพระปัญญาคุณของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ฟังธรรมของพระองค์ กว่าจะเห็น กว่าสัตว์โลกจะเห็นตามความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่เกิด และดับไป ยังไม่พอ ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏ ติดข้องในความสุขไหม เคยสุขอย่างนั้น ตอนนั้น สมัยนั้นขณะนั้น คิดถึงด้วยความสุข ไม่ลืมเลย แต่ไม่มี ไม่มีความสุขนั้นเลย เกิดแล้วดับไป แล้วไม่กลับมาอีก ความลึกซึ้งของโลภะ สภาพธรรมที่เกิดเพราะความไม่รู้คือ โลภะเป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นต้องทำกิจติดข้อง ห้ามไม่ให้ติดข้องไม่ได้เลย ห้ามธรรมแต่ละหนึ่งไม่ให้เป็นไปตามความเป็นจริงของธรรมนั้นๆ ไม่ได้ ธรรมอย่างใดเป็นอย่างไร เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น ใครก็ห้ามไม่ได้ แม้ปัญญาก็เป็นธรรมหนึ่ง ซึ่งสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏตามระดับขั้นของปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการฟังเป็นเบื้องต้น เห็นโทษภัยของสังสารวัฏหรือยัง นี่เบื้องต้น ถ้ายังไม่เห็น ก็ไม่มีทางที่จะมีความมั่นคงขึ้นว่า ทำไมจึงต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถจะให้ความจริงได้ว่าเกิดแล้วดับ สิ่งที่หมดไปแล้ว ไม่สามารถที่จะย้อนกลับมาปรากฏอีกได้เลย สิ่งที่ยังไม่เกิด ก็ยังไม่เกิด ปัจจัยยังไม่พร้อมที่จะให้เกิดก็เกิดไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เอง เกิดแล้วแสดงว่า จากแต่ก่อนซึ่งไม่มี ก็มี เกิดแล้วก็ดับไป แล้วเป็นอย่างนี้ ไม่มีใครสักคน เป็นแต่ธรรม แต่ละชนิดหลากหลายมาก มีปัจจัยแล้วก็เกิดดับไปตามเรื่องในสังสารวัฏไม่รู้จบ ปิดกั้นปัญญาไหม ความไม่รู้ ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนี้ก็ไม่เห็น อวิชชามากแค่ไหน ความไม่รู้มากแค่ไหน แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังครั้งเดียวพอไหม ที่จะรู้ว่าพระองค์ได้ทรงดับกิเลสหมด ทั้งๆ ที่คนทั้งโลกก็ยังเป็นผู้ที่เต็มไปด้วยกิเลสเพิ่มขึ้นด้วย แต่พระองค์สามารถที่จะตรัสรู้ความจริง จากการที่ได้ทรงพระบารมี แล้วก็เห็นประโยชน์ในการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย ด้วยพระมหากรุณา เราจึงมีโอกาสได้ฟังแต่ละคำ ซึ่งเป็นความจริง ฟังไป เห็นขณะนี้เกิดแล้วดับ ได้ยินขณะนี้เกิดแล้วดับ สุขเกิดขึ้นแล้วดับ ทุกข์เกิดขึ้นแล้วดับ รวมความว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้น มีความดับไปเป็นธรรมดา ถ้าตราบใดที่ยังไม่เห็นว่าเป็นธรรมที่เกิดแล้วดับ ไม่สามารถที่จะละความยินดีติดข้องในความเป็นเรา ในความเป็นตัวตนได้ แล้วจะไปละกิเลสอะไรได้ ตราบใดที่ยังเป็นเราเห็น เราได้ยิน


    หมายเลข 11542
    26 ก.พ. 2567