กิจของปัญญา


        ปัญญาทำกิจรู้ความจริงในสิ่งที่กำลังปรากฏ จึงจะคลายความไม่รู้ที่มืดมน ในสิ่งที่ปรากฏ


        ก็มีบางท่าน ท่านไม่รับประทานอาหารเย็น อาหารกลางวัน รับประทานแต่อาหารเช้า เพราะได้ยินว่า รักษาศีลอย่างนี้ดี เหมือนฤาษีชีไพรไหม จะมีประโยชน์อะไรการทำสิ่งที่เป็นไปด้วยความต้องการ ด้วยความไม่รู้ ไม่เป็นเหตุเป็นผล ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ต้องไม่ลืมคำสอนทุกคำ ที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วต้องสอดคล้องกันทั้งหมด ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เป็นเราทำหรือเปล่า แต่กิจที่ควรทำ กิจของอะไร ต้องสอดคล้องกันด้วย ไม่ใช่ให้เราทำกิจนี้ ไปร่ำไปเรียน ไปพยายาม ไปขวนขวายด้วยความเป็นเรา กิจที่ควรทำ กิจของธรรมอะไร ก็ต้องเป็นธรรมที่เป็นปัญญา กิจที่ควรทำ ไม่ใช่ไปทำให้ไม่รู้ แต่ว่ากิจที่ควรทำก็คือว่า มีความไม่รู้อยู่แล้ว แล้วยังคงไม่รู้ต่อไป ถ้าไม่รู้ว่าอะไรขณะนั้นทำกิจ อกุศลก็ทำกิจของอกุศล กุศลก็ทำกิจของกุศล แลกกันไม่ได้เลย ปรองดองกันก็ไม่ได้ ใช่ไหม เวลาอกุศลเกิดจะให้มีกุศลมาร่วมด้วย ทำกิจการงานในขณะนั้นด้วย ก็เป็นไปไม่ได้ ให้เข้าใจคำแรกอย่างมั่นคง ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตราบใดที่ยังไม่เป็นธรรม ปัญญายังไม่สามารถรู้ความจริงของสิ่งที่มี

        เมื่อกี้พูดถึงอวิชชา เดี๋ยวนี้มีไหม เยอะไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าอวิชชาคือขณะที่ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ และก็ไม่รู้ทั้งวัน ไม่รู้มานานแสนนาน ปัญญาต่างกับอวิชชา เพราะเหตุว่าปัญญาเข้าใจถูกตามความเป็นจริง แต่ปัญญาเกิดเองไม่ได้แน่นอน กิจที่ควรทำ ไม่ใช่ไปทำอย่างอื่น นอกจากทำปัญญา ปัญญาทำ ไม่ใช่เราทำ ให้รู้ว่าทำคือเข้าใจจากการฟัง แล้วกิจของปัญญาก็คือสามารถเข้าถึงคำแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ดีแล้ว เช่นอวิชชา ขณะนี้ไม่เห็นจิตเกิดดับเลย อะไรก็ไม่เกิดดับสักอย่าง เหมือนเดิมทุกอย่าง

        แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เข้าใจไหม นั่นคือปัญญา ไม่ใช่เรา ฟังต่อไป เข้าใจขึ้นอีก ว่าอวิชชามืดมากแค่ไหนวันนี้ ตั้งแต่ลืมตาก็มืดละ ใช่ไหม แล้วก็มืดมาเรื่อยๆ จนกว่าเมื่อไหร่ที่เข้าใจธรรม เมื่อนั้น ขณะนั้นก็ไม่มืด แต่ขณะนั้นจะมากหรือจะน้อย และจะมาจากไหน กิจของปัญญาก็คือว่า เข้าใจถูกต้องจากการที่ไตร่ตรอง และเข้าใจถูกตามความเป็นจริง จนกระทั่งเรากล่าวว่า ปัญญาเป็นแสงสว่าง ถ้าไม่มีความเข้าใจเกิดขึ้นเลย พูดอย่างนี้ได้ไหม ว่าปัญญาคือแสงสว่าง ก็ยังมืดๆ อยู่อย่างนี้ แล้วจะบอกว่าปัญญาคือแสงสว่าง แต่เมื่อมีความเข้าใจเกิดขึ้น ขณะนั้นก็คือว่ามีแสงสว่าง จะมาก จะน้อย จะสลัวสักเท่าไหร่ ก็ยังต่างกับอวิชชา เวลาที่ปัญญาสะสมเพิ่มพูนขึ้น ทำกิจของปัญญา จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ คิดดู เห็นขณะนี้เกิดดับ อวิชชารู้ไม่ได้ ฟังไปเท่าไหร่ ก็เพียงแค่เริ่มเข้าใจเริ่มเข้าใจ เริ่มเข้าใจ เริ่มเข้าใจขั้นปริยัติ จนกว่าสามารถที่จะถึงขณะที่ปัญญา คือแสงสว่าง ซึ่งนำมาสู่การประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมเดี๋ยวนี้ที่เกิดดับ ถ้าไม่สว่างระดับนั้น ไม่สามารถที่จะประจักษ์ได้ ว่าขณะนี้สภาพธรรมหนึ่ง เกิดแล้วดับ ทีละหนึ่ง ปัญญาคือแสงสว่าง นำทางจากขั้นฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มาสู่การถึงการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏที่กำลังเกิดดับ อริยสัจจธรรม


    หมายเลข 11536
    27 ก.พ. 2567