ไม่เร่งที่จะรู้


        การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่เพื่อจะให้รู้โดยเร็ว แต่ค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกใน พระธรรมที่ได้ฟังบ่อยๆ


        อ.วิชัย อะไรที่จะเป็นความเข้าใจ ลักษณะของความคิดจริงๆ

        ท่านอาจารย์ ก็ฟัง แล้วก็มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจ ฟังแล้วเหมือนอยากเข้าใจให้มากกว่าที่จะเข้าใจได้ โดยเร็วด้วย เท่านี้ไม่พอ ใช่ไหม แต่ว่าตามความเป็นจริง ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แต่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง และก็ถูกทับถมไว้ด้วยความไม่รู้ กับความติดข้องหนาแน่นมาก จะสามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่ลุ่มลึก ลึกซึ้งจริงๆ ได้อย่างไร นอกจากเข้าใจผิด คิดว่าเราอ่านอย่างนี้ เราฟังอย่างนั้นมากๆ ขึ้น มีหนทางที่จะทำให้รู้ได้ แต่ความจริงคิดถึงกิเลส ความไม่รู้ที่สะสมมา นานแสนนาน กับความติดข้อง ซึ่งปิดบังสิ่งที่กำลังเกิดดับขณะนี้ ไม่ปรากฏเลย ว่าเกิดแล้วดับ

        จากการฟัง เข้าใจเราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า เมื่อไหร่การฟังทีละเล็กทีละน้อย จะค่อยๆ เป็นความเข้าใจที่มั่นคง แล้วก็สามารถที่จะเป็นปัจจัยให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้นตามลำดับขั้น เราไม่เคยคิดอย่างนี้เลย คิดแต่ว่าจะฟังธรรมให้เข้าใจมากๆ ให้เข้าใจหมด พูดเยอะๆ อธิบายให้ละเอียด แล้วก็คิดว่าจะเข้าใจได้ แต่ความจริงความเข้าใจอยู่ที่ไหน ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น แต่อยู่ที่คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มี ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาเลย ว่าขณะนี้เห็นเกิด และเห็นดับ สืบต่อเร็วมาก จนปรากฏเป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐานต่างๆ ทุกอย่างก็กำลังปรากฏอย่างนี้เลย

        การฟังก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้อง นี่แหละความจริงซึ่งเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่มีธรรม คือธาตุรู้ จิต และเจตสิกเกิดขึ้น อะไรๆ ก็ไม่ปรากฏ ค่อยๆ เก็บเล็กผสมน้อย ที่จะค่อยๆ คลายความยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ไม่ใช่มีความอยาก ที่จะรู้มากๆ และคิดว่าจะรู้ได้ เห็นมี ได้ยินมี ได้กลิ่นมี ลิ้มรสมี รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสมี เดี๋ยวนี้ใช่ไหม เมื่อไม่ใช่เห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่ได้กลิ่น ไม่ใช่ลิ้มรส ไม่ได้รู้สิ่งที่ปรากฏ ก็คิด และยังถามต่อไปอีกว่า ถ้าไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก มีไหม เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่ฟังแล้วได้ยินแล้วบ่อยๆ แต่เดี๋ยวนี้กำลังเป็นอย่างนี้ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยเลย จนกว่าสิ่งนี้จะเปิดเผย แต่ไม่ใช่ว่าเพราะเราพยายามไปขวนขวาย รีบร้อน เร่งรัดที่จะให้เข้าใจมากๆ แต่แค่นี้ เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ถ้าไม่ใช่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ก็คิดนึก แล้วถ้าไม่มีเห็น ไม่มีได้ยิน ไม่มีได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ก็ยังมีอีก แต่ไม่ปรากฏ เพราะว่าไม่ได้อาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

        ทุกอย่างแสดงความเป็นธรรม ซึ่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น ไม่ต้องไปทำอะไรเลย ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ตามลำดับ หมดหวังใช่ไหม ที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เมื่อไหร่จะรู้เห็น ที่กำลังเกิดดับ จะหาวิธีไหน ตัวตนทั้งนั้น ยิ่งพอกพูนเข้าไปอีก หนทางผิดด้วย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หันหลังให้พระสัทธรรม ไม่มีทางออกจากสังสารวัฏ ถึงแม้ว่าเป็นทางไกล แต่ไปได้ ถึงได้ ไม่ใช่ผู้ทุศีล ไม่ใช่ผู้ไม่มีการฟังธรรม ไม่ใช่ผู้ไม่เข้าใจอะไรเลย ใช่ไหม ก็สามารถที่จะค่อยๆ สะสมไป จนกระทั่งสามารถที่จะสภาพธรรมปรากฏ ได้ยินคำว่า มีชีวิตอยู่เพื่อธรรมปรากฏ คนนั้นก็สามารถเข้าใจได้


    หมายเลข 11534
    27 ก.พ. 2567