ไม่ใช่เราที่จะดี


        ฟังธรรมะจนกว่าจะเข้าใจว่าเป็นสภาพธรรมที่ปรากฏตามความจริง เพราะ ไม่ใช่เราที่จะรู้ ที่จะไปทำอะไรให้เกิดปัญญา


        อ.คำปั่น ที่จะเข้าใจในความเป็นเหตุเป็นผล และความมั่นคงในความเป็นจริงของธรรม คืออย่างไร

        ท่านอาจารย์ ปัญญาแค่นี้พอไหม ตรง ต้องเป็นผู้ตรง ฟังอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ กิเลสก็ยังเกิด นี่คือความจริง แสดงให้เห็นว่าดับกิเลสไม่ใช่ง่าย และไม่ใช่ใครจะไปดับกิเลส แต่ต้องเป็นการเข้าใจพระธรรม แล้วก็ปัญญาที่มีความเข้าใจขึ้นต่างหาก ที่สามารถที่จะถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมด้วยความเข้าใจ มั่นคงขึ้นไหม จากการที่ได้ฟังว่าขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ฟังมานานเท่าไหร่แล้ว ความมั่นคงก็คือว่า เข้าใจแค่ไหน ในความที่ไม่มีใครเลย แต่มีสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น นั่นคือความจริง กว่าจะละความเป็นตัวตน ดอกไม้ ต้นไม้ จากสิ่งที่ปรากฏทางตา

        คำจริงก็คือว่า ทันทีที่ลืมตา เพราะไม่รู้ ว่าจิตเกิดดับเท่าไหร่แล้ว กว่าจะมีสิ่งที่ปรากฏเป็นแต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง สังเกตได้หนึ่งใดที่ไม่ใส่ใจ ไม่ปรากฏว่ามีหนึ่งนั้นเลย ต่อให้มีเข็มหรือมีปากกาอยู่ตรงหน้า ก็ไม่เห็น ใช่ไหม เพราะเหตุว่าไม่ใส่ใจ แต่ก็เป็นสิ่งที่ปรากฏแล้ว ปรากฏแล้วยังไม่ได้ใส่ใจว่าเป็นเข็ม ต่างกันแล้วใช่ไหม กับรู้ว่าเป็นเข็ม ก็ต้องมีการที่ขณะต่อไปไม่ใช่ขณะที่เห็น จะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ ก็ต่อเมื่อการคิดถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งนั้น และสิ่งที่ปรากฏมีลักษณะหลากหลายมาก เหมือนเห็นแล้วจำได้ รู้ได้ทันทีว่าเป็นอะไร

        เพราะฉะนั้นจิตเกิดดับเท่าไหร่ ไม่ต้องคำนึงถึงเลย ผ่านแล้ว หมดแล้ว ถ้ากังวลก็เป็นเราอีก กว่าจะเป็นสภาพความเข้าใจจริงๆ ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่เรา จะกังวลทำไม ในเมื่อสิ่งนั้นเป็นกุศลก็ดับแล้ว เป็นอกุศลก็ดับแล้ว เป็นวิบากก็ดับแล้ว เป็นกิริยาก็ดับไปหมดแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือ เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏตรงตามที่ได้ฟังแค่ไหน ขณะนั้นก็ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมปฏิปัตติ ที่สามารถที่จะถึงเฉพาะด้วยความเข้าใจถูกต้อง ทีละเล็กทีละน้อยจนลักษณะนั้นปรากฏ ประจักษ์แจ้งอย่างที่ได้ฟังตั้งแต่ต้นว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา เป็นเรื่องของปัญญา เป็นเรื่องของเหตุผล เป็นเรื่องของปัจจัยทั้งหมด ไม่ใช่เป็นเรื่องของอัตตาตัวตนที่จะคิดว่า ไม่ดี เราก็ต้องทำดี แต่ว่าความจริงแล้วก็ยังเป็นคนนั้นแหล่ะ ซึ่งจะดีได้อย่างไร ดีขึ้นได้มากอย่างไร ในเมื่อไม่เข้าใจธรรม ซึ่งละเอียดมาก ซึ่งจะค่อยๆ ขัดเกลาความไม่ดี เป็นปกติในชีวิตประจำวัน

        อ.วิชัย ซึ่งก็ยากมากเลย เพราะว่าความเป็นเราที่ว่า กระทำสิ่งต่างๆ ก็โดยมากหวังผลของการกระทำนั้นๆ

        ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีเรา แต่เป็นธรรม มีแต่ความเป็นเราที่จะทำ เพื่อที่จะให้สิ่งที่ต้องการกับเรา แม้แต่การฟังธรรม ต้องรู้เลย ฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อเข้าใจ แต่ถ้าฟังเพราะเราจะได้มีผลของกรรมดีที่ได้เข้าใจธรรม นั่นก็ด้วยความเป็นตัวตน เดี๋ยวนี้ก็มีธรรม ก็ไม่รู้ว่าธรรม ฟังมาตั้งนาน ใช่ไหม ก็ยังคงเป็นเราฟัง เพราะฉะนั้นกว่าจะละความเป็นเราได้ ก็ต้องรู้เลยว่า ถ้าไม่เป็นความเข้าใจจริงๆ ในความไม่ใช่เรา ยังคงเป็นไปเพื่อเรา ก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงลักษณะที่เป็นธรรมได้ ไม่รู้จักสติสัมปชัญญะ

        อ.วิชัย อย่างเช่นแข็ง ก็เป็นแข็ง

        ท่านอาจารย์ เป็นแข็ง แต่ใคร

        อ.วิชัย ก็ยังเป็นเรา ที่รู้แข็ง

        ท่านอาจารย์ แล้วรู้อะไร

        อ.วิชัย ยังไม่รู้

        ท่านอาจารย์ จะบอกเลยว่าโต๊ะ ไม่ได้บอกว่าแข็ง เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง แต่ว่าผู้ใดได้เข้าใจแล้ว ผู้นั้นเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เห็นแต่พระพุทธรูป ไม่มีทางจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เลย แม้ว่าจะเป็นพระพุทธรูปที่กล่าวกันว่างามที่สุด รูปนั้นไม่ได้เกิดจากกรรม ซึ่งถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นรูปนั้นไม่มีทางเลย ที่จะเปรียบได้กับความงามของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และถ้าเราไม่ได้ฟังธรรมเลย เราเชื่อ ใครบอกก็เชื่อ สำนักปฏิบัติคืออะไร เชื่อ จึงไป แต่ถ้าถามว่าปฏิบัติคืออะไร ตอบได้ไหม ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไปทำสิ่งที่ไม่รู้ด้วยว่าอะไร ก็ด้วยความไม่รู้ก็ไป แล้วก็ทำด้วยความไม่รู้ ออกมาก็ด้วยความไม่รู้ แล้วเสียเวลาไหม ยิ่งกว่านั้นโทษคือหลงผิดว่า นั้นเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    หมายเลข 11530
    29 ก.พ. 2567