อยู่ด้วยอาหาร


        โอชาเป็นอาหารรูปที่จะทำให้เกิดกลุ่มของรูปในกายนี้ แต่เราก็ติดในรส มากกว่าที่จะสนใจโอชา เพราะไม่ได้รู้ชัดในการเกิด และดับของ สภาพธรรมตามความเป็นจริง


        อ.วิชัย ความละเอียดจะเป็นอย่างไร ที่จะละความติดข้องในสิ่งที่เราบริโภคเป็นประจำ คือ อาหาร

        ท่านอาจารย์ เห็นโลภะไหม สมุทัย เวลาที่กล่าวถึงธรรมหนึ่ง ธรรมใด ก็จะเรียกได้ว่าไปถึงธรรมอื่นๆ ทั้งหมดเลย แม้แต่เรื่องของรูปร่างกายที่จะดำรงอยู่ได้ ก็ต้องไปถึงเรื่องของกรรมเป็นปัจจัย กล่าวถึงมโนสัญเจตนาหาร ทุกสิ่งทุกอย่างที่กล่าว ทรงแสดงไว้โดยละเอียด จนถึงคัมภีร์สุดท้ายคือปัฏฐาน ที่ตั้ง ที่เกิด ที่ก่อตั้งให้สภาพธรรมทั้งหลายเกิดขึ้น หรือว่าดำรงอยู่ รักษาอยู่ ให้คงอยู่ ถ้าจะกล่าวถึงอาหารให้เข้าใจอย่างละเอียด ก็ต้องเป็นอาหารปัจจัย เพราะว่าจริงๆ แล้วก็คือว่าเราเพียงแต่ทราบว่า เราบริโภคอาหาร และในอาหารมีรสด้วย แล้วเราติดข้องในอาหาร หรือในรส ทุกคนตอบได้เลย แม้ว่าอาหารต่างหาก ที่เป็นปัจจัย ที่จะให้ร่างกายดำรงอยู่ได้ แต่ไม่เห็นมีใครไปสนใจ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา ที่พอใจที่สุดคือรส ลืมสนิทเลย เพราะเหตุว่าเมื่อรสปรากฏแก่จิต ขณะที่กำลังลิ้มรสที่กระทบลิ้นในขณะนั้น ลองคิดดู เพียงเท่านั้นนำมาซึ่งโลภะเท่าไหร่ บางคนเขาสละสมบัติให้ก็ได้ เงินทองก็ได้ อะไรก็ได้ ขออย่างเดียว อย่าเอาอาหารจานนี้ไป เพราะคงจะปรุงอย่างอร่อยมาก รับประทานแล้วก็ไม่ให้ใครเลยทั้งสิ้น บริโภคคนเดียวยังได้

        นี่แสดงให้เห็นถึงความจริงของความเป็นไปของธรรม ซึ่งมากมายมหาศาล แต่ก็มืดสนิทสำหรับคนที่ไม่ได้เห็นความจริง ความเป็นไปของแต่ละขณะของธรรม คือจิต เจตสิก รูป ซึ่งสำคัญว่าเป็นเรา หรือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งนำมา ซึ่งความพอใจอย่างยิ่ง ทุกอย่างก็แสดงให้เห็นตามความเป็นจริงว่า เราศึกษาธรรมเพื่ออะไร เพื่อเข้าใจถูกตามความเป็นจริงว่า สิ่งที่เคยเป็นเรา และเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งหมด ความจริงก็คือสิ่งที่เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้น และดับไป ไม่เหลือเลยสักอย่าง เร็วสุดที่จะประมาณได้ ฟังไว้ทำไม ฟังเพราะรู้ว่าความจริงเป็นอย่างนี้ จะไม่รู้เลยก็ไม่รู้ตลอดไป จะรู้เล็กๆ น้อยๆ และก็เพิกเฉยก็มีความเข้าใจเพียงเท่านั้น แต่ถ้าเห็นประโยชน์จริงๆ ว่าความไม่รู้มีมากมาย สมควรไหมที่จะรู้ให้ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าเห็นผิดมาตลอดเลย สภาพธรรมแท้ๆ เกิดดับแท้ๆ ก็ยังเข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แล้วก็ยังมีเราด้วย แต่ความความเป็นจริงก็คือ เป็นจิตแต่ละหนึ่งขณะประกอบด้วยเจตสิกหลากหลายมาก เกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน รู้สิ่งที่ปรากฏ และก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย อาหารที่ปรุงแต่งอย่างดี บริโภคแล้วก็หมดแล้ว ลืมแล้วหาอีกไม่ใช่เฉพาะสิ่งนั้นวันนั้นเท่านั้น แต่วันต่อๆ ไปก็ยังแสวงหาไม่จบสิ้น จึงเป็นสังสารวัฏฏ์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา แสดงธรรมโดยละเอียดยิ่งทั้งปวง เพื่อให้ค่อยๆ พิจารณาว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เมื่อไหร่ฟังแล้วซ้ำอีกๆ ๆ จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจขึ้น แล้วแต่ว่าจะโดยนัยยะไหน โดยนัยยะของอาหารก็ได้

        อ.วิชัย ความติดข้องก็ไม่ใช่เหมือนกับพอใจแค่นั้น อย่างเช่นถ้าเป็นอาหารที่ดูแล้วสวยงาม หรือว่าถ้าเป็นมีบรรยากาศเสียงที่ไพเราะ มีกลิ่นที่หอม ก็ดูเหมือนกับว่า ก็เป็นความพอใจที่ยิ่งๆ ขึ้น

        ท่านอาจารย์ แค่รส ไม่พอ ต้องสีสันวรรณะของอาหารด้วย ต้องจัดอย่างสวยด้วย แต่ท่านก็แสดงไว้ อาหารนั้นถึงแม้ว่าจะดูดีสักเท่าไร เพียงแค่ตัด สิ่งนั้นก็เสียรูป หมดสิ่งที่น่าพอใจ จากรูปร่าง ก่อนที่จะตัดอาหารนั้น บางท่านถ้าเคยฟังเทปเก่าๆ ก็อาจจะได้ฟังคำที่มีท่านผู้หนึ่งกล่าวว่า ขนมจีนน้ำยา ก่อนที่จะรับประทานก็ดูดีอร่อย แต่พอคลุกเคล้ากันแล้ว เป็นยังไง ไม่เห็น เพราะกำลังคิดถึงรส ทุกอย่างเต็มไปด้วยความมืดบอด สัตว์โลกเต็มไปด้วยความไม่รู้ นำมาซึ่งความติดข้อง ยากที่จะรู้ความจริง เพราะว่าสะสมหมักหมมความไม่รู้มานานแสนนาน

        อาศัยพระธรรมที่เหมือนกับค่อยๆ พลิกแผ่นดิน จากความไม่รู้มาสู่ความเข้าใจขึ้น ทีละน้อยทีละน้อย จนกระทั่งสามารถที่จะเปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศล และก็เป็นความเข้าใจที่ ในที่สุดรู้แจ้งสภาพธรรมอย่างที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงได้ มากมายหลายท่านถึงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสหมด มากมายหลายท่านที่ถึงความเป็นพระโสดาบัน ไม่ใช่ว่าถึงไม่ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่ไม่รู้ และพยายามที่จะไปละกิเลสด้วยตัวเอง ไม่รู้เลยว่าขณะนั้นทั้งหมด ยิ่งเพิ่มความอยากด้วยความเป็นเรา ก็ไม่ใช่หนทางที่จะสามารถดับกิเลสได้

        อ.วิชัย เพียงข้อความที่ท่านพระสารีบุตรแสดงธรรม ว่าสัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ก็เห็นถึงความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แล้วก็การเป็นไปของเหตุปัจจัย และปัจจัยหนึ่งก็คืออาหารปัจจัย ที่จะให้บุคคลทั้งหลายแม้ทุกท่านในที่นี้ ก็ดำรงอยู่ได้ด้วย มีอาหารที่จะเป็นเหตุให้อัตภาพ และชีวิตเป็นไปได้

        ท่านอาจารย์ ลืมสนิท ยุ่งทั้งวัน พอลืมตามาก็ไม่รู้อะไรเลย ทั้งวันยุ่งหมดด้วยเรื่องของอาหารด้วย และอาหารนี่แหละทำให้ชีวิตดำรงอยู่อย่างนี้แหละ ไปไหนไม่ได้ ที่จะต้องตื่น แล้วก็หลับ แล้วก็ตื่น หลับ ตื่นขึ้นมายุ่งแค่ไหนรู้หรือเปล่า ทั้งวันยุ่งไปหมด ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็ไม่มีอะไร ก็หมดแล้วทั้งหมด ไม่เหลือเลย เพราะความไม่รู้


    หมายเลข 11529
    29 ก.พ. 2567