พระรัตนะ


        อ.อรรณพ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นรัตนะอันประเสริฐสูงสุด ซึ่งจะรู้ คุณพระรัตนตรัยได้ ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจธรรม


        ชาวพุทธ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะเคารพนับถืออะไร เพราะที่เคารพมี ๓ ใช่หรือไม่ สูงสุดพระรัตนตรัย พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ ต้องเข้าใจ ๓ คำนี้ด้วย ว่าพระพุทธรัตนะ ทุกคนก็เพียงแต่รู้จักชื่อ กราบไหว้นอบน้อมมานาน แต่ไม่รู้พระคุณมหาศาลว่าเพียงไม่กี่คำที่ได้ฟัง ก็ทำให้เกิดปัญญา ความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งจะนำไปสู่ความเบาใจ ความสบายใจที่คล้ายการที่เราเคยเป็นทุกข์ เดือดร้อนนักหนา ว่ามีสิ่งนั้นสิ่งนี้ แล้วก็ต้องทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องของธรรมทั้งหมด คิดก็ใช่ ก็เป็นธรรม คิดดีก็เป็นธรรม คิดไม่ดีก็เป็นธรรม ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าแค่นั้นเอง แล้วก็จากโลกนี้ไป ฝันค้างร่างจมดิน เพราะว่าคิดอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดก็คือว่าอยู่ที่ไหน จริงๆ แล้วคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประมาณไม่ได้เลย เมื่อมีความเข้าใจยิ่งเข้าใจเท่าไหร่ พระคุณ ใครจะเปรียบปานได้ เพราะว่าเท่าที่ฟังยังเพียงแค่ผิวเผิน ยังอีกมาก

        เพราะว่าการแสดงธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นไปตามลำดับของความเข้าใจ จนถึงการประจักษ์แจ้งแทงตลอด ที่เราใช้คำว่า อริยสัจจธรรม ก็คือคำอย่างนี้ แต่ว่าขณะที่เริ่มเข้าใจอย่างนี้ ทำให้คนนั้นยังไม่ถึงความเป็นพระอริยะ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมนั้นยังไม่ได้ปรากฏต่อปัญญาที่เพียงเริ่มฟัง แต่ถ้าปัญญานั้นฟัง และก็ละคลายความติดข้องมากขึ้น สภาพธรรมทั้งหลายที่เป็นฝ่ายดีก็เจริญมากขึ้น จนสามารถประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ ที่ถูกปิดบังไว้นานแสนนานด้วยความไม่รู้ ขณะนั้นก็เป็นอภิสมัย สมัยที่ประเสริฐยิ่ง คือสามารถประจักษ์แจ้งความจริงของคำที่ได้ฟัง และรู้ว่าจริง ถ้าคำที่ได้ฟังเป็นสิ่งที่จริง ก็สามารถประจักษ์แจ้งจริงอย่างนั้น จึงสามารถที่จะละกิเลส ละคลายความเป็นตัวตนได้ ด้วยเหตุนี้ธรรมรัตนะคือธรรมที่เป็นปัญญา ที่ทำให้เข้าใจสภาพธรรม ธรรมทั้งหมดที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นธรรมรัตนะ

        เพราะเหตุว่าอกุศลก็เป็นธรรม มีจริงทุกอย่าง สิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมดเลย เพราะเหตุว่าคำว่าธรรมหมายความถึง สิ่งที่มีจริง โกรธก็จริง นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้หรือไม่ ไม่ได้ เป็นธรรม แต่ไม่ใช่ธรรมรัตนะ ธรรมรัตนะใช้คำว่าโพธิปักขิยธรรม ธรรมทั้งหลายที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ซึ่งก็ต้องเป็นธรรมฝ่ายดีทั้งหมด แต่ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าดีเท่าไหร่ แต่ไม่รู้ความจริง ไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะรู้แจ้ง สิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้ ด้วยเหตุนี้ก็เริ่มรู้จักพระรัตนตรัย และเห็นคุณของพระรัตนตรัยว่า ผู้ที่ได้ตรงตรัสรู้สูงสุด ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระองค์ เราจะไม่มีโอกาสได้ฟังคำที่เรากำลังเริ่มเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้เลย ไม่มีใครเปรียบปานได้ในสากลจักรวาล ที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม ทรงตรัสรู้ และพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ นำไปสู่การเกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งใครก็ให้ไม่ได้ ซื้อหาได้หรือไม่ คนนั้นเป็นพระอริยบุคคลเอาเงินไปซื้อหน่อย ขายเท่าไรก็จะพยายามซื้อ ไปพยายามหามา ไม่มีทางรัตนะนี้ มีค่าเหนือสิ่งใดทั้งสิ้น เพราะเงินหรืออะไรๆ ก็ไม่สามารถจะซื้อได้ คุณค่ามหาศาล พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และผู้ที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง ดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ตั้งแต่เป็นพระโสดาบัน ซึ่งประจักษ์แจ้งความจริงตามที่ได้ฟังทุกอย่าง ละความเห็นผิดว่าเป็นเรา ไม่เหลืออีกเลย ไม่มีอีกเลย เพราะต้องรู้ความจริงทั้งหมดทุกอย่าง ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง บุคคลเหล่านั้นต่างหากที่เป็นพระสังฆรัตนะ ไม่ใช่ภิกษุที่เราเห็น นั่นไม่ใช่พระสังฆรัตนะ แต่จะเป็นภิกษุหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม ปัญญาที่ได้รู้แจ้งสภาพธรรมนั่นแหล่ะ เป็นสังฆรัตนะ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งความจริงแต่ไม่ถึงความเป็นพุทธรัตนะ

        ก็เป็นสิ่งที่เป็นชีวิตประจำวัน ไม่ได้ฟังธรรมเมื่อไหร่ก็เหมือนนอนหลับในความมืดทุกชาติไป ไม่ได้ตื่นขึ้นมารู้ความจริงเลย อีกคำหนึ่งก็หมายความว่า พุทธะคือผู้ตื่น เพราะรู้ความจริง เวลาหลับฝัน ถ้าไม่ตื่นขึ้น จะรู้ไหมว่าฝัน ฝันทั้งวันทั้งคืนตลอดไป ไม่รู้เลยว่าฝันใช่หรือไม่ ต่อเมื่อไหร่ตื่น เมื่อนั้นรู้ว่านั่นฝัน นี่ตื่นฉันใด ขณะนี้ที่อยู่ในโลกที่ไม่รู้ความจริงก็เหมือนฝัน เพราะเหตุว่าพอตื่นขึ้นมารู้ว่าไม่มีเรา นั่นถึงจะเป็นการถูกต้อง แต่ทั้งหมดก็เป็นธรรมที่เกิดดับสืบต่อ เป็นเหมือนเรื่องราวที่เราได้ยินได้ฟัง แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆ กับเรา ด้วยความไม่รู้ ในความมืดสนิท ถ้าไม่รู้ธรรมก็เหมือนกับคนตาบอด มืดสนิท อยู่ในเหวลึกหรืออะไรก็ทุกอย่างหมดที่จะเปรียบ เพราะว่าไม่มีความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ความรู้กับความไม่รู้ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ความไม่รู้มีหรือไม่เดี๋ยวนี้ที่ไม่รู้ จะกล่าวว่าไม่มีไม่ได้ ใช่หรือไม่ เมื่อไม่มีสิ่งนั้นแหละคืออวิชชาหรือโมหเจตสิก เป็นเจตสิก ซึ่งหลง ไม่รู้ความจริงถูกปิดบัง เป็นสภาพที่ปกปิดความจริงไว้ ส่วนความรู้ก็คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก จะใช้คำว่าปัญญาก็ได้ เป็นเจตสิก ซึ่งโมหเจตสิกเป็นอกุศลเจตสิก ปัญญาเจตสิกเป็นโสภณเจตสิก ก็ไม่มีอะไร พูดถึงอะไรก็คือจิต เจตสิก รูปเท่านั้นเอง แต่ทีนี้ถ้าไม่มีชื่อจะเรียก ก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงไหน เพราะว่ามากมายเหลือเกิน จึงต้องมีชื่อที่หมายรู้ว่า พอพูดถึงเห็นก็หมายความถึงภาวะที่มีสิ่งที่ปรากฏ โดยอาศัยตาที่กระทบกับสิ่งนั้น และธาตุรู้ก็เกิดขึ้นเห็น ใช้คำว่าเห็น พอพูดถึงได้ยินก็เป็นอีกความหมายหนึ่ง จึงจำเป็นต้องมีคำ เพื่อให้รู้ความหมายของคำนั้น

        ด้วยเหตุนี้ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ขณะนั้นไม่มีคำ แต่ว่าเวลาที่จะกล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีให้คนอื่นได้รู้ตาม ก็ต้องใช้คำ แต่ละคำให้รู้ ว่าหมายความถึงความจริงอะไร แต่ละอย่าง ทั้งหมดนี้ก็คือรู้จักพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง แต่ไม่ได้พึ่งอะไรเลย เพราะว่าไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพียงแต่คิดว่าเป็นที่พึ่ง แต่พึ่งจริงๆ คือพึ่งเมื่อเข้าใจ ซึ่งรู้ว่าคนอื่นไม่สามารถที่จะทำให้ปัญญาความเห็นอย่างนี้ เกิดขึ้นได้เลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    หมายเลข 11525
    2 มี.ค. 2567