พร้อมหรือยังที่จะรับมรดกที่ล้ำค่า *


    มรดกของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คนรับต้องสามารถรับได้ บางท่านไม่สามารถที่จะรับได้ ก็แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกคนจะรับได้ เพราะอะไร เพราะมรดกเป็นรัตนะที่ประเสริฐ ยิ่งกว่ารัตนะใดๆ ทั้งสิ้น มีค่ามหาศาล แต่ว่าจะรู้ต่อเมื่อได้ฟังพระธรรม

    เพราะเหตุว่ามรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถที่จะมีได้ แม้ว่าจะเป็นคำของพระองค์ แต่คนอื่นกล่าวไม่ได้ ไม่มีทางเลยที่จะพูดคำของพระองค์ได้ เพราะความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นแต่ละคำไหนมีความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง พร้อมจะรับไหม เห็นหรือไม่มรดกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่าย แต่ถ้าได้รับแล้ว จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับในชาตินี้และในชาติต่อๆ ไปในสังสารวัฎฏ์ เพราะฉะนั้นล้ำค่าจริงๆ เพราะเหตุว่าบางคนไม่มีโอกาสที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ฟังคำของคนอื่น ฟังมากตั้งแต่เด็ก ก็ฟังคำของครู แล้วก็โตขึ้นเข้ามหาวิทยาลัย ฟังคำครูบาอาจารย์ หลังจากนั้นก็ยังแสวงหาคำอื่นๆ จากหนังสืออื่นๆ และคนอื่นๆ ทั้งหมด ซึ่งไม่ใช่คำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นทุกคนต้องคิดไตร่ตรอง พร้อมที่จะรับมรดกไหม ถ้ารับต้องเป็นคนที่อดทน เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ง่ายสักคำเดียว คำเดียวก็ไม่ง่าย และเราก็พูดคำที่เราไม่รู้จักตั้งแต่เกิดจนตายทุกชาติ ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม มรดกล้ำค่าแต่ยากและลึกซึ้ง แต่รับได้จากการที่ไม่เคยคิดว่า จะมีใครสามารถที่จะทำให้สิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้เกิดได้ นั่นคือปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีตั้งแต่เกิดจนตาย ในครั้งโน้นผู้ที่เกิด มีชีวิตอยู่ในพระนครสาวัตถีหรือที่ไหนก็ตาม คนที่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มี คนที่ไม่ไปก็มี ก็แสดงให้เห็นความหลากหลายว่า ไม่ใช่ทุกคนจะไป ที่จะได้รับมรดกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นคนเหล่านั้นได้ทราบว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับที่ไหน เขาไปหา ไม่ได้เมินเฉยเลย ไปหาเพื่ออะไร ได้ฟังคำ

    เพราะฉะนั้นการเข้าไปใกล้ ไม่ใช่เพียงแต่ไปเห็น เพราะเหตุว่าคนที่พระนครสาวัตถีเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อเสด็จบิณฑบาต แต่ไม่เข้าใจ เพียงผ่าน เพียงพบ แต่เขาไปใกล้เพื่อได้ยินได้ฟังคำ ซึ่งไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิต เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เป็นคำที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจ ไม่ไตร่ตรอง จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย พิสูจน์ได้เลย เคยได้ยินได้ฟังคำว่า ธรรม ใช่ไหม พระรัตนตรัยมี ๓ พระพุทธรัตนะ ๑ พระธรรมรัตนะ ๑ พระสังฆรัตนะ ๑ สำหรับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงได้ฟังว่า เป็นผู้ที่ประเสริฐที่สุดเหนือบุคคลใด ไม่มีใครเปรียบได้เลยในสากลจักรวาล ฟังแล้วเหมือนเหลือเชื่อ แม้เทวดา และพรหม ก็ยังต้องมาเฝ้า นมัสการ กราบทูลถามปัญหา แสดงให้เห็นว่าใครจะมีปัญญามากมายสักเท่าไรก็ตาม แต่พอรู้ว่ามีผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่คิดว่าตนเองรู้ ก็ยังรู้สึกตัวว่าไม่รู้ จึงได้มาเฝ้าและก็ทูลถามปัญหาต่างๆ

    เพราะฉะนั้นเราได้ยินเพียงแค่นี้ ยังไม่รู้เลยว่า ตรัสรู้อะไร สอนว่าอะไร แต่ก็กราบไหว้บูชา ชาวพุทธทุกคนก็คงจะเคยได้กราบไหว้พระพุทธรูป แต่ว่ายังไม่ได้ฟังคำของพระองค์ เพียงแต่ว่าผู้นี้แหละเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งความจริง รูปใดๆ ไม่ว่าพระพุทธรูป จะกี่รูปก็ตามในสากลจักรวาล ไม่ใช่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ เพราะเหตุว่าพระพุทธรูปไหน จะมีพระปุริสลักษณะ ซึ่งเสมอเหมือนกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่พระเนตรของพระองค์ ก็ไม่มีใครที่จะเปรียบได้เลย ทุกอย่างหมดเลย นี้แสดงให้เห็นถึงแม้แต่ในรูปร่างกาย ก็ต่างกับบุคคลอื่นทั่วไป แล้วคำของพระองค์ซึ่งเกิดจากการที่ได้ตรัสรู้ จะประเสริฐกว่านั้นสักแค่ไหน

    เพราะฉะนั้นสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่รู้ แล้วก็ทรงแสดงพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว เพื่อที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เป็นพระมหากรุณาอย่างยิ่ง มิฉะนั้นแล้วโลกมืดไปตลอด เพราะเหตุว่าไม่มีแสงสว่างที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เคารพในการศึกษา เพราะรู้ว่าเราเป็นใคร พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ห่างกันเปรียบไม่ได้เลย ถ้าเราอยู่ที่พื้น เป็นฝุ่นละออง พระองค์ก็เหนือฟ้า สุดที่จะประมาณได้

    เพราะฉะนั้นคำแต่ละคำ คิดว่าจะเข้าใจได้ง่ายๆ หรือ ถ้าเป็นคำที่เราเคยได้ฟังแล้วธรรมดา เข้าใจได้ ถึงแม้ชาวโลกจะศึกษาวิชาการสักเท่าไรก็ตาม คนอื่นก็ยังศึกษาตามได้ มีความเข้าใจเพียงเท่านั้น แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละคำต้องไตร่ตรอง และเป็นผู้ตรงต่อความจริง เป็นผู้ที่มีเหตุผล เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริง เราคิดว่าเรารู้ เราเข้าใจสักเท่าไร วิชาการอื่นๆ ใดๆ ทั้งสิ้น ความรู้นั้นเปรียบไม่ได้กับความเข้าใจทุกสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำ เป็นคำที่ควรเคารพในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะต้องศึกษา และไม่ใช่เชื่อ ไตร่ตรอง จากการไม่รู้เป็นความรู้ของตัวเองขึ้น นี่คือมรดก จะรับไหม ถ้ารับก็คือเริ่มฟังพระธรรม ไม่ใช่คำของคนอื่น เพราะคำของคนอื่นตอบอะไรไม่ได้ ตอบไปไม่กี่ประโยคก็ไม่รู้แล้ว ไม่รู้แล้ว แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ จะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผู้นั้นสามารถที่จะค่อยๆ เห็นความลึกซึ้งของพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่สามารถที่จะประมาณได้หรือคิดได้เลย

    เพราะฉะนั้นแม้แต่คำแรกที่ได้ฟัง คือธรรม พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแล้วธรรมคืออะไร เผินหรือไม่ ตอบได้ไหม ธรรมคืออะไร ธรรมคือสิ่งที่มีจริง เห็นไหม เริ่มมีปัญญาเกิดขึ้นแล้วว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีธรรม หรือธรรมไม่มีจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร ก็ไม่มีที่จะตรัสรู้ แต่สิ่งที่มีจริงนี่แหละ ทุกอย่างที่จริง เป็นสิ่งที่พระสัมมาส้มพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ โดยที่คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำของพระองค์

    เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มีไหม เริ่มรับมรดก ๔๕ พรรษา นี่เพียงคำเดียว เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มีไหม ต้องมี สิ่งที่มีจริงก็ต้องมีจริงๆ ตลอด ถ้าอะไรที่มีเดี่ยวนี้ จะบอกว่าไม่จริงได้ไหม ก็ไม่ได้ ก็มี แต่ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มี ด้วยเหตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง

    เพราะฉะนั้นธรรมก็เป็นภาษามคธี ซึ่งพระผู้มีพระภาคทรงแสดงกับชาวมคธ เหมือนกับเราคนไทย ก็พูดภาษาไทยกัน เราไม่พูดภาษาอื่นเพื่อที่จะได้เข้าใจแต่ละคำ ชาวมคธไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม คนไทยฟังคำเดิมคือภาษาไทย แต่ต้องฟังให้เข้าใจด้วยว่า แต่ละคำ หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นคำว่า ธรรม ไม่ใช่ภาษาไทย แต่เป็นภาษามคธี ซึ่งดำรงพระศาสนามาตลอด จึงใช้คำว่า ปาละ หรือคนไทยก็เรียกสั้นๆ ว่าบาลี

    เพราะฉะนั้นธรรมคือสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ก็มี แต่ว่าต้องค่อยๆ เริ่มคิด พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกสิ่ง ไม่เว้น คำว่า ทุกสิ่งคือไม่เว้นอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงทุกกาลสมัย ก็เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว และเป็นสิ่งที่มีจริง ที่ผู้ฟังสามารถที่จะไตร่ตรอง ฟัง แล้วก็เริ่มเข้าใจให้ถูกต้องโดยไม่ประมาทตั้งแต่ต้น


    หมายเลข 10979
    23 เม.ย. 2568