013 พระพุทธศาสนา เถรวาท


    สนทนาพิเศษ

    เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑๓


    อ.จริยา ถ้าลองนึกถึงภาพว่า จะมีใครเห็นด้วยสักกี่คน ในกรณีที่ว่าพุทธศาสนาในขณะนี้กำลังเสื่อมโทรม แต่มีทาง เมื่อไม่มีใครคิดจะแก้ไข ถ้าเราได้สนทนากันแล้ว เราเห็นว่าตรงนี้มีส่วนที่เราจะต้องช่วยเหลือทางภาครัฐ ก็ทำหน้าที่ของเรา คือรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เราเห็นว่าควรที่จะแก้ไขทั้งกฎหมายคณะสงฆ์ ทั้งกรมมวลกฎหมายแพ่ง ที่ทางมูลนิธิเคยนำเรียนไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นถ้าได้ร่วมมือร่วมใจกันทำ ดิฉันคิดว่าในขณะนี้ ทางมูลนิธิก็พยายามให้ความรู้ประชาชน เพื่อให้เข้าใจว่า ประชาชนเข้าใจพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไรแล้ว ดิฉันคิดว่า หนทางพอมีอยู่ แล้วถ้าภาครัฐท่านเข้าใจในบทบาทของท่าน เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาแบบเถรวาทแล้ว ก็น่าจะต้องรีบดำเนินการแก้ไข การแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายในเรื่องของการดูแลปกครองสงฆ์ ปกติถ้าตามประวัติศาสตร์แก้ไขยากมาก แต่ละครั้งๆ ซึ่งจะเห็นว่าถ้าไม่ได้แก้โดย ๓ วาระรวดจากสภา แทบจะไม่เคยแก้ได้เลย แม้ทำร่างแล้วก็มีอันไม่ได้ แต่ดิฉันเรียนอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งรู้สึกว่าแก้ไขไม่ได้ แก้ได้เพราะว่ากฎหมายแก้ไขได้เสมอ โดยเฉพาะแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

    อ.อรรณพ นั่นก็เป็นความรู้ และข้อมูลที่ท่านอาจารย์จริยา ที่ท่านร่างกฎหมายมามาก ก็ได้ให้ความรู้ถ่ายทอดให้กับเรา ในเรื่องของข้อกฎหมาย อาจารย์จักรกฤษณ์มีอะไรจะเสริมหรือไม่ ที่จะเป็นการช่วยรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทเอาไว้ ด้วยกฎหมายส่วนหนึ่ง

    อ.จักรกฤษณ์ ที่อาจารย์จริยาได้กล่าวไว้ ก็ค่อนข้างครอบคลุมหมด ก็คือเมื่อรัฐเข้าใจ ก็ต้องปรับกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สิ่งนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ว่าในความเป็นจริงแล้ว เป็นเรื่องยาก เพราะว่าที่รัฐธรรมนูญเขียนว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน แต่นับถือมาช้านาน โดยยังไม่เกิดความเข้าใจ ใช่ครับ เพราะว่าตอนนี้ ๙๐% ไม่ใช่พุทธศาสนาแบบเถรวาท สิ่งนี้เราต้องเริ่มทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน แล้วเราจะเริ่มแก้ไขได้

    หนทางที่เราจะทำได้ โดยไม่ต้องรอแก้กฎหมายตอนนี้คือ ให้ความรู้กับประชาชน ให้ความรู้กับหน่วยงานของเรา เริ่มที่หน่วยงานของรัฐก่อน ตอนนี้มีสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่รับผิดชอบในเรื่องของการศาสนาโดยตรง แล้วก็ภาระหน้าที่ตอนนี้ก็เยอะ แต่ว่าข่าวของพระพุทธศาสนาตอนนี้ เริ่มเป็นที่สนใจของประชาชนมาก เพราะมีปัญหาหลายๆ จุด ตอนนี้ถ้าเขาให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน ให้รู้ชัดเจนว่า เถรวาทนั้นคืออย่างไร ตอนนี้สามารถที่จะทำได้ ทำได้เลย เพราะในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ว่า ให้ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาและเผยแพร่พระธรรม ของพระพุทธศาสนาเถรวาท ตอนนี้เราทำตามรัฐธรรมนูญได้ทันที คือให้ความรู้ที่ถูกต้องไปให้ครบถ้วน ให้สมบูรณ์

    อ.อรรณพ อาจารย์จักรกฤษณ์ครับ กล่าวได้หรือไม่ว่า การที่เราศึกษาพระธรรมวินัยตรงตามเถรวาท แล้วก็มีการเผยแพร่พระธรรม เป็นการกระทำตามรัฐธรรมนูญ

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ รัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดเจน ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจน และในนี้ก็บอกว่า ส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน แม้เราจะไม่ได้เป็นหน่วยงานราชการหรืออะไรก็ตาม มีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการ หรือกลไกที่จะสนับสนุนพระพุทธศาสนา ส่งเสริม อุปถัมภ์ คุ้มครอง เราก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ด้วย

    ดังนั้น สองด้านคือหน่วยงานของรัฐ ทำความเข้าใจให้ถูกต้อง โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐเองส่วนหนึ่ง และให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน พุทธบริษัทเรื่องนี้ให้ถูกต้อง ส่วนพุทธบริษัทเองก็ต้องเริ่มที่จะหันมาศึกษา สิ่งที่ถูกต้อง ก็คือเถรวาทที่ถูกต้อง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปมากมาย กล่าวได้ว่าเหมือนกับเราถือผ้าดำอยู่ แล้วก็ถูกปิดตา แล้วมีคนมาบอกว่า นี่ผ้าขาวๆ ท่านอาจารย์เหมือนเปิดผ้าออก ให้เห็นว่าที่ถืออยู่นี้คือผ้าดำ ผ้าดำไม่ใช่ผ้าขาว ที่ทำๆ กันอยู่ เข้าวัดเข้าวา ทำทาน ถือศีล ตรงตามคำสอนหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่

    อ.อรรณพ เพียงพอไหม

    อ.จักรกฤษณ์ เพียงพอหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า ถือผ้าดำอยู่ พอเรารู้ว่าเราถือผ้าดำอยู่ เราก็ต้องเริ่ม

    อ.อรรณพ เราไม่ได้บอกว่าทาน ศีลไม่ดี

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่

    อ.อรรณพ แต่เพียงทาน ศีล ที่ไม่มีความเข้าใจความเป็นธรรมเท่านั้น ศาสนาอื่นก็มี

    อ.จักรกฤษณ์ ศาสนาอื่นเยอะ ดีกว่าที่ทำกันอยู่ ตรงนี้เป็นสิ่งที่ต้องตื่นเถิดชาวพุทธ อาจารย์อรรณพเคยยกขึ้นมา ตื่นเถิด ถ้ายังไม่ตื่นก็ยังแก้อะไรไม่ได้จะเขียนกฎหมายสวยหรูอย่างไรก็ตาม ทำอะไรไม่ได้

    อ.อรรณพ ด้วยความไม่รู้

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่มีทาง หมดหนทาง

    อ.อรรณพ ก็ต้องค่อยๆ ปลุกกันไป

    อ.จักรกฤษณ์ ได้ความรู้ที่ถูกต้อง เน้นย้ำตรงนี้ให้นี้เข้าใจได้

    อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่นครับ อาจารย์ก็ศึกษาและเผยแพร่พระธรรม อาจารย์คิดว่าพระพุทธศาสนาเถรวาท มีคุณค่าสูงสุดอย่างไร และจะธำรงรักษาไว้อย่างไรบ้าง

    อ.คำปั่น จริงๆ ทั้งหมดที่ได้ศึกษานะครับ ก็คือเป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งก็เป็นคำจริง แล้วเป็นประโยชน์เกื้อกูลจริงๆ ก็กล่าวได้เลยว่า พระสัมมาส้มพุทธเจ้า พระองค์ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่า ก็คือคำจริงแต่ละคำให้กับพุทธบริษัทไว้ แต่ใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ไม่เข้าใจ ผู้นั้นก็จะไม่ได้รับมรดกที่ล้ำค่านี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่ได้ฟังและศึกษา ก็ย่อมจะเป็นผู้ได้รับมรดกที่สำคัญนี้ และผู้ที่เข้าใจธรรม ด้วยการศึกษาโดยละเอียดในคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็เป็นชาวพุทธที่แท้จริงด้วย ที่ได้เข้าใจธรรม ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็คือทำกิจที่ควรทำ ด้วยการเผยแพร่คำจริง เผยแพร่ก็คือ ประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ซึ่งก็จะเป็นการให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้อื่น ตรงตามพระธรรมคำสอน ก็จะเป็นการช่วยกันดำรงรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงต่อไป ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องของแต่ละบุคคลต่อไป เพราะฉะนั้นก็กลับมาเริ่มเห็นคุณค่าของพระธรรมแต่ละคำจริงๆ

    อ.อรรณพ อาจารย์วิชัย ทำไมมาศึกษาและมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาครับ

    อ.วิชัย เพราะเหตุว่ามีโอกาสได้ฟังพระธรรม แล้วเกิดความรู้ความเข้าใจ ว่าความจริงที่มี ไม่สามารถคิดได้เองแน่นอน แต่ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ แล้วมีพระมหากรุณาแสดงธรรม ถ้าคิดถึงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ ทรงมีความเพียรอันยิ่งใหญ่เหลือเกิน บำเพ็ญบารมีไม่ใช่ปีสองปีสิบปียี่สิบปี แต่ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์

    ดังนั้นถ้าคิดถึงตรงนี้ เห็นถึงความยากลำบากของการที่จะได้ตรัสรู้ธรรม กับการที่พระเถระต่างๆ ที่ตรัสรู้ตามพระองค์ และได้มีการรักษา มีการกระทำสังคายนาอย่างที่เราได้สนทนามาแล้ว แต่ละท่านไม่ละเลย แม้จะถึงความเป็นพระอรหันต์ เสร็จกิจที่ท่านพึงกระทำหมด ดับกิเลสหมดแล้ว แต่ท่านยังช่วยเหลือจะดำรงรักษาพระศาสนาไว้ ก็เพื่อให้แก่คนต่อๆ ไป เพราะท่านตรัสรู้ธรรม ท่านเห็นคุณค่าของพระธรรมอย่างแท้จริง เพราะได้รู้ตามพระองค์ แล้วก็ดับสิ่งที่มีโทษภัยก็คืออกุศลภายในของแต่ละบุคคลได้หมด

    ดังนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรม ที่เป็นสิ่งที่มีค่า ที่จะนำเอาความไม่ดีของแต่ละบุคคลออกไปได้ ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นจากการฟังพระธรรมนี่แหละครับ แต่ละท่านเมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่ถูกต้อง อย่างเช่นท่านยสกากัณฑกบุตรเห็นความไม่ถูกต้อง ถึงแม้ท่านจะถึงความเป็นอรหันต์แล้ว แต่ท่านไม่ละเลยที่จะชี้แจง อธิบายสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้องอย่างไร ให้บุคคลเกิดความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งนั้นจึงจะดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาได้

    อ.อรรณพ ก็คือด้วยความเห็นประโยชน์ในที่สุดของพระธรรมวินัยเถรวาท แล้วก็ระลึกถึงว่า พระเถระในสมัยนั้น สมัยก่อนผู้ทรงคุณ เราไม่เทียบท่านหรอก แต่เป็นแนวทางว่า ท่านก็มีความเพียร มีความอนุเคราะห์ที่จะกล่าวคำจริง ความจริง จนกระทั่งชาวเมืองหรือประชาชนในยุคนั้นเข้าใจ

    อ.วิชัย เกิดความเข้าใจ

    อ.อรรณพ จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ถึงสิ่งที่ใหญ่หลวงยิ่ง ว่าตอนนี้แม้ในข้อกฎหมาย จากที่ท่านอาจารย์นักกฎหมายทั้งสองท่าน ท่านได้ให้ความชัดเจนแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาท ก็มีกล่าวไว้ตั้งแต่กฎหมายหลักของประเทศสูงสุด คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยว่า พระพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นแบบเถรวาท แล้วก็ควรที่จะมีการสนับสนุนค้ำจุน มีการเผยแพร่การศึกษาต่างๆ แล้วก็ป้องกันการบ่อนทำลายทั้งหลาย แต่ว่าเมื่อสักครู่ที่ได้ฟังจากอาจารย์จริยา ถึงกระบวนการของการที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในเรื่องของกฎหมายให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่ใช้เวลา และต้องทำประชาพิจารณ์ ความเห็นของประชาชน ในการที่จะเผยแพร่พระธรรมให้ประชาชนเข้าใจ เป็นเรื่องที่ผมใช้คำว่ายากที่สุด แล้วก็ถ้าได้เข้าใจธรรม ก็รู้ว่าแต่ละคนสะสมต่างกัน ผู้ที่จะสะสมมาที่จะเข้าใจถูกเห็นถูกมีปริมาณน้อยจริงๆ

    เพราะฉะนั้นในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เข้าใจถูกมีน้อยกว่าในการเผยแพร่ จะเป็นไปได้เพียงใด เพราะถ้าประชาชนไม่เข้าใจ เมื่อทำประชาพิจารณ์ เขาก็จะคิดแบบเดิมๆ ของเขา ที่ไม่ใช่เป็นเถรวาท เพราะฉะนั้นอย่างไรดีละครับท่านอาจารย์ เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะมีทางออกอย่างไร

    ท่านอาจารย์ สถานการณ์ของพุทธศาสนาเวลานี้ เหมือนคนป่วยหนัก รุมเร้าด้วยโรคมากมาย แล้วก็การที่จะหายารักษาโรค ยาก อย่างที่ว่าจะให้ทุกคนได้มีความเข้าใจในพระธรรมที่ถูกต้อง ยานั้นคือ ยาที่จะเข้าใจธรรม อยู่แสนไกลเหมือนอยู่ที่ป่าเขาหิมพานต์ กว่าจะได้มา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผู้ที่มีความหวังดีก็ต้องรู้ว่า เราไม่ทอดทิ้งธุระเลย เราไม่สิ้นความหวัง แต่เราต้องรู้ว่า ถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคง มีความจริงใจที่จะธำรงรักษาพระศาสนา เพราะเหตุว่าถ้าเราเพียงคนเดียวทำไม่ได้ แต่ถ้าเราจะช่วยกันทุกองค์กรทุกด้าน แม้แต่รัฐบาลหรือว่าองค์กรต่างๆ ก็ตามแต่ เรื่องความรู้ ความเข้าใจ กว่าจะได้มาแต่ละหนึ่งก็แสนยาก แล้วก็แสนไกล

    เพราะฉะนั้นโรคใดที่ร้าย เป็นพิษ ก็รักษาโรคนั้นเสียก่อน โรคหนึ่งซึ่งคนจะมองเห็นได้ แม้ในยุคนี้คือว่า ภิกษุมีเงินทอง ซึ่งเป็นการทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่าพระศาสนาเริ่มต้นจากการสละขัดเกลากิเลส แต่การมีเงินทอง เป็นการติดข้องมากมายไม่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นก็ทำให้เกิดการผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงมาก เท่าที่เห็นทุกหย่อมหญ้าก็ว่าได้

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ถ้าตระหนักถึงว่า อะไรต้องแก้ก่อน ก็คือต้องเห็นโทษของการที่ภิกษุมีเงินและทอง ซึ่งในพระธรรมวินัย ถ้ายังคงมีเงินทองอยู่ ไม่มีทางที่จะรักษาความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทไว้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ท่านสามารถที่จะช่วยกันคิดถึงภัยอันนี้ แล้วก็เริ่มคิดหนทาง อย่าสิ้นหวัง และอย่าคิดว่าทำไม่ได้ หนทางก็คือว่า ต้องให้เข้าใจให้ถูกต้องอยู่ทุกคนว่า พระภิกษุในธรรมวินัย ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง และก็ลองถามดู ไม่ใช่ว่าเราต้องการมีภิกษุมากๆ บวชเยอะๆ และก็ไม่เข้าใจพระธรรมเลย ว่าบวชทำไม ไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีความหมาย เพียงแค่ต้องการคำว่า ภิกษุที่ต้องการให้บวช รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เป็นความปรารถนาที่สูงสุดว่า ที่จะให้มีการบวช แต่ลืมว่าบวช ไม่ใช่ว่าใครให้ใครบวช แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระศาสนาอย่างมั่นคง แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัย ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ผู้ที่บวชโดยที่ว่าไม่เข้าใจพระธรรม แล้วไม่ประพฤติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ทำลายพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะเมื่อมีเงินและทอง ภิกษุรับเงินและทอง ถ้าตราบใดยังเป็นอย่างนี้ ไม่มีการที่จะรักษาโรค และไม่มีการที่จะให้พุทธศาสนาเถรวาทดำรงมั่นคงได้ ด้วยเหตุนี้ถ้าเห็นโทษภัยอย่างนี้ ต้องหาทางแก้ไขที่จะไม่ให้ภิกษุมีเงินและทอง เป็นการที่อนุเคราะห์พระธรรมวินัย เพื่อที่จะให้เถรวาทมั่นคงยั่งยืนได้ สิ่งนี้เป็นประการที่สำคัญที่สุด

    ถ้าไม่พิจารณาเรื่องนี้ ไม่ทำเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ ก็เป็นแต่เพียงความคิด ความหวัง เหมือนคนที่หวังจะให้โรคหาย แต่ไม่รู้จะรักษาโรคนั้นได้อย่างไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าจะมีกฎหมายที่อนุเคราะห์ให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย ก็คือว่าให้ภิกษุทุกรูป ไม่มีเงินและทองตามพระธรรมวินัย ที่มีอยู่แล้ว รัฐก็สามารถที่อนุเคราะห์ โดยอนุเคราะห์พระธรรมวินัยข้อนี้ว่า ทำตามพระธรรมวินัยคือริบเงินทองของพระภิกษุทุกรูป แล้วก็ค่อยๆ คิดหาทางที่ว่าจะทำอย่างไร ไม่ต้องห่วงว่าภิกษุจะอยู่อย่างไร เพราะว่าศรัทธาของชาวบ้านมีเสมอ แต่ว่าทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพระภิกษุคือผู้ที่จะต้องศึกษาธรรม เพียงแค่เห็นผ้าเหลือง ก็เข้าใจว่าเป็นพระพุทธศาสนาทำนุบำรุง ซึ่งทำให้พระศาสนาเสื่อม เพราะไม่ได้ทำนุบำรุงผู้ที่เข้าใจพระธรรม แต่กลับไปทำนุบำรุงผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็ยังยินดีในเงินและทองเหมือนคฤหัสถ์ แล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีการปรึกษาหารือเรื่องที่จะทำอย่างไร ที่จะให้ภิกษุไม่มีเงินทอง เพราะเหตุว่าตามพระธรรมวินัย ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ หมายความว่าอะไร ปาจิตตีย์ก็โทษที่มีกิเลส ที่ออกมาทางกาย ทางวาจา และก็มีกิเลสมาก ถึงกับยินดีที่จะรับในเงินและทอง ถึงแม้ว่าไม่รับ ยินดีก็ยังเป็นอาบัติ เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยขัดเกลาทั้งกาย วาจาและใจ ไม่ใช่ว่าไม่รับจริง แต่อยากได้ และก็พยายามหาทางที่จะได้ อย่างนั้นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

    ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็คือว่า ให้มีภิกษุจริงๆ ที่ไม่รับและไม่ยินดีในเงินทอง เพราะฉะนั้นถ้าตามพระธรรมวินัย ต้องสละเงินและทองทุกรูป จึงจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย จึงจะรักษาพุทธศาสนาเถรวาทให้ดำรงมั่นคงอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าตราบใดภิกษุยังมีเงินและทอง ไม่มีทางเลย ไม่ได้มีการรักษาโรคที่กำลังป่วยหนัก และมีหลายโรค แต่โรคที่สำคัญคือโรคนี้ เพราะเหตุว่าถ้ารักษาโรคนี้ได้ ก็รักษาโรคอื่นๆ ได้ มีการเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง รู้ว่าพุทธบริษัทซึ่งไม่ใช่ภิกษุ ก็ยังสามารถที่จะรู้ว่า ภิกษุรับเงินทองไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะให้ภิกษุสละเป็นการถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่รับกันมาตั้งนาน รับกันมาเยอะมาก ร่ำรวยมหาศาล ต้องใช้คำนี้ แล้วจะสละอย่างไร มีหนทางใช่ไหม คือต้องสละตามพระวินัย คือไม่ใช่ไปให้ญาติพี่น้อง ไม่ใช่เพื่อนฝูง ไม่ใช่ทำอย่างอื่น สละคือไม่ยินดีในเงินและทอง พร้อมที่จะทิ้งหรือสละโดยไม่ใยดีว่าจะไปไหน จะทำอะไร

    เพราะฉะนั้น จะสละทิ้งไป แต่ว่าจะเป็นประโยชน์มาก ถ้ารัฐบาลเป็นผู้รับ เท่ากับว่าแทนประชาชนทั้งหมด ว่าสละไปตรงไหน คนที่เก็บเงินเก็บทองก็สามารถที่จะใช้เงินใช้ทองนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ เพื่อประโยชน์ในการที่ทำนุประเทศ ไม่ใช่เป็นสมบัติส่วนตัวของใคร เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ ที่จะมีกฎหมาย ที่จะทำให้ริบเงินทองของพระภิกษุ และก็ความละเอียดต่างๆ ต้องเป็นไปตามธรรมวินัย ก็จะทำให้พระพุทธศาสนามีผู้ที่ศึกษา เพื่อที่จะเข้าใจธรรม

    ด้วยเหตุนี้เราช่วยกันได้ ช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร นักกฎหมายก็ปรึกษาผู้ที่รู้พระวินัย ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่า จะเริ่มต้นทำอย่างไร แล้วต้องทำจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่าจะรักษาพุทธศาสนาเถรวาท แต่ไม่รู้วิธี แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย พอจะเป็นไปได้ไหม คุณจักรกฤษณ์

    คุณจักรกฤษณ์ เป็นไปได้ครับท่านอาจารย์ ถ้าทุกฝ่ายช่วยกัน ผู้ที่เกี่ยวข้องและก็ได้รับความรู้ ก็ช่วยกันแก้ไข เริ่มจากจุดตรงนี้ก่อน ซึ่งเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ดีกว่าปล่อยไว้ ถ้าปล่อยไว้ก็ไม่มีหนทาง รับรองได้ว่าไม่มีหนทาง ที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นอาการหนักรุมเร้าหลายโรค แต่ก็ต้องรักษาโรคสำคัญ

    ท่านอาจารย์ ทีละโรค

    อ.อรรณพ ถ้ารักษาโรคไม่รับเงินรับทองได้ ให้เป็นภิกษุที่ไม่เกี่ยวกับเงินทอง ผมเชื่อว่าคนไข้คงฟื้นขึ้นพอสมควร และพร้อมที่จะรักษาโรคอื่นๆ ต่อไป

    การสนทนาพิเศษในวันนี้ มีคุณค่าอย่างมหาศาลเลย มหาศาลอย่างไร เพื่อความเข้าใจถูกในพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งได้รับการกล่าวในกฎหมายสูงสุดของประเทศชาติ ก็คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วก็มีหนทางแนวทางกฎหมายอีกมากมาย ที่จะทำให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย แต่ทุกวันนี้เนื่องจากเราไม่ได้เข้าใจความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างแท้จริง จึงมีการทำลาย ด้วยความไม่รู้ด้วยความติดข้อง และด้วยความเข้าใจผิดต่างๆ ซึ่งเป็นที่ปรากฏกันมากมาย โดยเฉพาะเอาเรื่องเดียว ถึงขนาดมีการฆาตกรรมกัน สามเณรก็ถูกฆาตกรรม ก็ไม่พ้นเรื่องเงินเรื่องทอง ในเรื่องของเงินทอน เรื่องอะไรก็เพราะว่ามีการรับเงินทองต่างๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าชาวพุทธได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย แล้วได้เข้าใจความเป็นพุทธศาสนาเถรวาท และประกอบกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และก็จะสามารถที่จะเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยได้อีก ก็มีโอกาสที่จะฟื้นฟู พระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาเถรวาทต่อไปได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจเรื่อง ภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เป็นประการสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาท ให้พอมีโอกาสที่จะสืบต่อไปได้

    ในวันนี้ก็ขอกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ท่านคณะวิทยากร ที่ได้ให้ความเข้าใจที่เป็นประโยชน์มากที่สุด แล้วก็คงจะได้มีโอกาสมาสนทนาพิเศษอีกในโอกาสต่อไปครับ สวัสดีครับ


    หมายเลข 10976
    28 เม.ย. 2568