จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาประเภทไหน ดี หรือ เลวทราม? *
อ.อรรณพ กราบอาจารย์ครับ ก็ได้ประโยชน์มากนะครับ ว่า โดยสมมุติว่าเป็นอุบาสก ก็เอาคำนี้ไปใช้ได้ แต่ถ้าจิตเป็นอกุศล แล้วก็ไม่สนใจศึกษาพระธรรมวินัย แล้วก็ยังมีความเห็นผิด ยกตัวอย่างเช่น เชื่อเรื่องมงคลตื่นข่าว ฤกษ์ยาม เป็นต้น จิตขณะนั้นที่ว่าเป็นอุบาสกต่ำช้าก็คือ จิตนั้นประกอบด้วยอกุศลเจตสิก มีความเห็นผิด มีความไม่รู้ มีความต้องการ แล้วก็ยังนำไปสู่การที่ไปขอฤกษ์ยามจากผู้ที่เป็นพระภิกษุ ซึ่งมีอยู่ในทุกวันครับท่านอาจารย์
เพราะฉะนั้นก็คือตัวสภาพธรรมที่เป็นอภิธรรม จึงเป็นจิตที่ประกอบด้วยความเห็นผิด ส่วนพระภิกษุนั้น ก็เป็นจิตที่ประกอบด้วยความปรารถนาในลาภสักการะ แล้วก็ไม่ละอายอหิริกะ อโนตตัปปะ เป็นอลัชชีจริงๆ แล้วการถือฤกษ์ยามเป็นตัวอย่างหนึ่ง แล้วก็ตัวสภาพธรรม ก็นำไปสู่การทำลายพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยสูงสุดแล้ว แม้กระทั่งประโยชน์ในทางสังคมก็ถูกทำลายด้วยการถือฤกษ์ยาม และทุกวันนี้ ถ้าเป็นพวกเรากันเอง ถ้าเราเชื่อฤกษ์ยาม ทำอะไรไม่ได้เลย วันๆ หนึ่งจะมีแต่ความวุ่นวายว่า วันนี้ไม่ดี วันโน้นดี ไม่ได้มั่นคงในกรรมและผลของกรรมเลย
เพราะฉะนั้นการที่จะทำงาน การที่จะทำประโยชน์แม้ในทางโลกก็เกิดขึ้นไม่ได้ครับท่านอาจารย์ ก็จะกราบเรียนอาจารย์ ในคำกล่าวของท่านพระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ท่านมีความมั่นคงในพระธรรม ท่านกล่าวว่า ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ที่มัวถือฤกษ์ยาม กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า "ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนโง่ที่มัวถือฤกษ์ยาม"
ท่านอาจารย์ ก็ชัดเจนนะคะ เพราะว่าทุกอย่างที่จะเกิดขึ้น มีปัจจัยทำให้เกิดขึ้นทั้งนั้น จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม แล้วฟังเรื่องนี้มีประโยชน์กับคฤหัสถ์อย่างไร จะได้ไม่เป็นอุบาสิกาหรืออุบาสกเลวทราม
อ.อรรณพ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรมวินัย แล้วก็หลงงมงาย ในสิ่งที่เป็นเดรัจฉานวิชาต่างๆ แล้วคิดว่าจะเป็นมงคล ขณะนั้นถ้าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นผู้ที่ล่วงเลยประโยชน์ เพราะไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากพระธรรมวินัยทั้งสิ้น เป็นคนที่โง่ ก็คือมีแต่อวิชชา ความไม่รู้ มัวถือแต่ฤกษ์ยาม แล้วก็สิ่งต่างๆ ที่ไม่มีเหตุผล ที่ไร้สาระทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ศึกษาพระธรรม พระวินัย ให้เข้าใจจริงๆ นั่นแหละจึงจะเป็นอุบาสกที่ค่อยๆ ดำเนินไปสู่เป็นอุบาสกรัตนะ ก็คือเป็นพระอริยบุคคล ที่เป็นผู้ที่มีความมั่นคงจริงๆ ในกรรมและผลของกรรม ด้วยการประจักษ์สภาพธรรมตามความเป็นจริง จากการที่ได้ศึกษาพระธรรม
เพราะถ้าไปเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ มีผลวิเศษอะไรจริง พวกที่คิดอย่างนี้จะไม่มีวันสนใจพระธรรมวินัย ที่แสดงเพื่อเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ เขาจะมีเห็นประโยชน์เหล่านี้เลย เพราะคิดว่ามีสิ่งอื่นที่ดลบันดาลได้ จะไม่มีทางเจริญขึ้นในธรรมวินัย
ภิกษุยิ่งหนักเลย ภิกษุผู้ที่ล่วงพระวินัย ไม่ละอาย ไม่มีโอกาสที่ปัญญาจะเกิดขึ้นรู้ลักษณะสภาพธรรม แล้วเจริญขึ้นในหนทางของอริยมรรคนี้แต่อย่างไรเลย นี้ก็เป็นข้อความที่อยู่ในพระไตรปิฎกด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่ได้เข้าใจพระธรรมแล้ว ก็จะคิดถึงคนอื่น ที่เขาไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็จะทำทุกอย่าง เพื่อให้เขาได้มีโอกาสได้ไตร่ตรองพิจารณาให้ถูกต้อง ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพระวินัย เรื่องของอาบัติเรื่องของพฤติกรรมต่างๆ ก็คงจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าผู้ใดเป็นภิกษุในธรรมวินัย หรือว่าไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย หรือแม้คฤหัสถ์ก็เป็นคฤหัสถ์ที่เป็นอย่างไรคะคุณอรรณพ
อ.อรรณพ เป็นผู้ที่ต่ำช้าหรือว่าจะเป็นผู้ที่ดีงาม
อ.กุลวิไล อาจารย์อรรณพค่ะ อุบาสิการัตนะ เป็นอย่างไร
อ.อรรณพ อุบาสิการัตนะ ก็เป็นผู้ที่มีความศรัทธาในพระรัตนตรัย เป็นผู้มีศีล เป็นผู้เชื่อกรรมและผลของกรรม คือกัมมัสกตาปัญญา แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่แสวงหาทักขิไนยบุคคลนอกศาสนานี้ แต่ถ้าเป็นผู้ตรงข้าม พวกนี้ก็จะไปหาคนที่เขาคิดว่ามีอิทธิฤทธิ์ มีอะไรต่างๆ แล้วก็เป็นผู้ที่เจริญหรือบำเพ็ญกุศลในพระพุทธศาสนา นั้นก็จะเป็นอุบาสก อุบาสิการัตนะจริงๆ นี่คือพระดำรัสของพระองค์ท่าน ไม่ใช่ว่าเรามากล่าวกันเอง ท่านเตือนอุบาสก อุบาสิกาว่าจะเป็นผู้ที่ต่ำช้าหรือว่าจะเป็นผู้ที่ดีงาม ได้ฟังก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ เข้าใจแล้วนะคะ ก็รู้ว่าอุบาสก อุบาสิกาต่ำช้าเป็นอย่างไร ก็จะได้ไม่เป็นอุบาสก อุบาสิกาที่ต่ำช้า เพราะได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นจะมีใครบอกว่า อุบาสก อุบาสิกาต่ำช้า เป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็เป็นกันอยู่ แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็พิจารณา การเข้าใจนั่นแหละจะทำให้ละเว้นจากการที่จะเป็นอุบาสก อุบาสิกาต่ำช้า
อ.อรรณพ อุบาสก อุบาสิกา ผู้ประกอบด้วยธรรม ๕ อย่าง ย่อมเป็นอุบาสก อุบาสิกาจัณฑาล มีมลทิน มีความเศร้าหมอง ต่ำช้า ธรรม ๕ อย่างคือ ไม่มีศรัทธาในพระรัตนตรัย ๑ เป็นคนทุศีล ๑ เป็นคนถือมงคลตื่นข่าว เชื่อมงคลฤกษ์ยาม เป็นต้น ไม่เชื่อกรรม ๑ แสวงหาทักขิไนยบุคคล นอกจากศาสนานี้ ๑ แล้วก็บำเพ็ญสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นกุศล คือบำเพ็ญในศาสนาอื่น ในความเชื่ออื่น ซึ่งไม่ใช่เป็นพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นการทะนุบำรุงหรือว่าประพฤติปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติที่ผิดต่างๆ ในคำสอนที่เขาเชื่อนั้น ก็เป็นผู้ที่ต่ำช้า
ท่านอาจารย์ นี่เป้นคุณ คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงพระมหากรุณาให้เรารู้ว่า เราเป็นใคร จะเป็นอุบาสก อุบาสิกาต่ำทราม ต่ำช้า เลวทราม หรือว่ารู้แล้วก็แก้ไข เพราะได้เข้าใจประโยชน์ของการที่ได้ฟังคำเหล่านี้
อ.อรรณพ พระองค์ท่านก็ทรงใช้คำว่า อุบาสก อุบาสิกา แต่ในเมื่อคิดว่าตัวเองเป็นอุบาสก อุบาสิกาก็ได้ แต่เอาคำไปพูด แต่ว่าคือเป็นผู้ที่ต่ำช้า เพราะคิดว่าตัวเองเป็นอุบาสก อุบาสิกา แต่จริงๆ แล้ว ถ้าจะพูดโดยว่า ไม่ใช่อุบาสก อุบาสิกาก็ได้ แต่ถ้าอยากจะเอาคำไปใช้ ก็คือคิดว่าตัวเองเป็นอุบาสก อุบาสิกา แต่จริงๆ แล้วก็เป็นผู้ที่เศร้าหมอง มลทิน ต่ำช้า
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นฟังแล้ว เข้าใจแล้ว ยังจะเป็นผู้ที่ต่ำช้าต่อไป หรือว่าพอจะต่ำช้าก็ระลึกได้ ว่าสิ่งนี้ต่ำช้า เพราะฉะนั้นจะไม่เป็นผู้ที่ต่ำช้า
อ.อรรณพ ก็ต่ำช้าด้วยอกุศลจิต ที่ประกอบด้วยอกุศลเจตสิก ด้วยความไม่รู้ คืออวิชชาที่มากมาย แล้วก็ความเห็นผิด แล้วก็ความอยากได้ผล อยากรวย เพราะฉะนั้นถ้ามีใครที่คิดว่าเป็นชาวพุทธ เป็นอุบาสก อุบาสิกา แล้วอยากรวย แล้วก็คิดว่าอันนี้จะทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ โดยการอาจจะเอาฆ้อนมาทุบ หรืออะไรที่เราเห็นกันอยู่ เป็นต้น ก็ไม่ได้เป็นหนทางเลย
เพราะฉะนั้นถ้ามีจิตขณะนั้น จิตนั้นต่ำช้าที่สุด เพราะประกอบด้วยความเห็นผิด ความไม่รู้ และความอยากคือโลภะ แล้วก็เป็นการทำลายพระธรรมวินัยด้วย ไม่ฟัง ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ไม่รักษาพระศาสนาเลย ถ้าไม่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอยากรวย เป็นอะไร
อ.กุลวิไล โลภะ
ท่านอาจารย์ เป็นโลภะ เพราะฉะนั้นเอาเงินสักเท่าไร รวยสักเท่าไร ก็แลกความดีไม่ได้ เพราะฉะนั้นความดีประเสริฐกว่า เพราะสามารถที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก แล้วก็ขัดเกลากิเลส จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้ ซึ่งเงินดับกิเลสไม่ได้
