012 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๒
ท่านอาจารย์ ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่รู้ ไปไหนก็ต้องไม่รู้
อ.อรรณพ เขาก็ย้อนว่ามัวแต่มาศึกษากันอย่างนี้ แล้วรู้อะไรกันบ้าง
ท่านอาจารย์ มัวแต่ศึกษาอะไรไม่ทราบ
อ.อรรณพ ศึกษาปริยัติ เรื่องราว
ท่านอาจารย์ ควรศึกษาไหม
อ.อรรณพ เขาบอกเขาก็ศึกษาปริยัติเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ เขาศึกษาปริยัติ เขารู้หรือไม่ว่า ปริยัติคืออะไร
อ.อรรณพ ปริยัติก็คือ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เรื่องอะไร
อ.อรรณพ เรื่องที่จะทำให้เข้าใจความจริง อริยสัจ ๔
ท่านอาจารย์ ความจริงอะไร
อ.อรรณพ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ท่านอาจารย์ อยู่ที่ไหน อยู่ที่ไหน
อ.อรรณพ ถ้าไม่ปฏิบัติเองก็ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ปฏิบัติเองได้อย่างไร ใครปฏิบัติ
อ.อรรณพ เราปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ เราปฏิบัติ แล้วเรารู้หรือ โดยไม่ต้องอาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างนั้นหรือ
อ.อรรณพ ต้องอาศัยความตั้งมั่น อาศัยสมาธิ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ อาศัยคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้เข้าใจถูกต้องว่า สมาธิคืออะไร ปัญญาคืออะไร ทุกอย่างไม่รู้ว่าคืออะไร แล้วไปทำอะไร ให้รู้อะไร ไร้สาระ
อ.อรรณพ เขาก็บอกพระพุทธเจ้ามีนั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าสอนให้ใครนั่งสมาธิ ยกมาสักคน
อ.อรรณพ สอนให้มีสมาธิ
ท่านอาจารย์ สอนให้มีสมาธิ หรือให้เข้าใจถูกต้องว่า สมาธิคืออะไร
อ.อรรณพ เขาบอกว่า สมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิ
ท่านอาจารย์ สัมมาสมาธิคืออะไร
อ.อรรณพ สัมมาสมาธิก็เป็นองค์ของมรรคมีองค์ ๘
ท่านอาจารย์ ไปไหน มรรคคือหนทาง ใช่หรือไม่ ไปไหน
อ.อรรณพ ไปสู่การรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ ใช่หรือไม่
อ.อรรณพ เดี๋ยวนี้ก็ต้องมี
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้เป็นความจริงๆ อย่างอื่นดับไปหมดแล้ว ไม่มีแล้ว
อ.อรรณพ เขาก็ย้อนว่า อะไร เดี๋ยวนี้ผมรู้แล้วหรือ
ท่านอาจารย์ ใคร
อ.อรรณพ ผมเพิ่งเคยคุยกับเขา
ท่านอาจารย์ ไม่เกี่ยวว่าใครรู้หรือไม่รู้ แต่กำลังฟังพระธรรม เพื่อที่จะได้เข้าใจถูก ไม่ใช่ฟังคนโน้นคิด ฟังคนนี้คิด ว่าปฏิบัติคืออย่างนี้ ธรรมต้องรู้อย่างนี้ ไม่ใช่ แต่ฟังว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องความจริงอย่างไร ความรู้ต้องเกิดขึ้นตามลำดับขั้น ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมเลย จะรู้อะไร นี่ไม่รู้อะไรเลยที่เกี่ยวกับคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปปฏิบัติ นี่หรือเถรวาท
อ.อรรณพ ถ้าเขาพูดอย่างนี้ เขาบอกว่าเอาเรื่องทางโลก เราจะเตรียมอ่านหนังสือสอบหรือเอาไปทำอะไร เราก็จะต้องไปอยู่เงียบๆ เพื่อที่จะมีสมาธิในการอ่านหนังสือ อยู่บ้านคนโน้นเรียก คนนี้เรียก ก็ไม่มีสมาธิตั้งมั่นในเรื่องนั้น นี่ขนาดเรื่องทางโลก แล้วก็เรื่องธรรม มาอยู่อย่างนี้จะรู้ได้อย่างไร ขนาดไปสำนักปฏิบัติยังไม่ค่อยจะรู้ได้ง่ายๆ
ท่านอาจารย์ ใครคิดอย่างนี้
อ.อรรณพ คนที่เขาอยากจะไปปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่คนที่ฟังธรรม ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ ถ้าเป็นคนที่ฟังคนที่ฟังธรรม เป็นเถรวาท เขาจะเข้าใจว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ คนที่ฟังธรรม รู้ว่าปัญญาเท่านั้นที่สามารถจะรู้ความจริงได้ไม่ใช่ว่าฉันจะไปเงียบๆ ฉันจะละทิ้งการงาน และฉันจะไปรู้อะไร แต่ว่าผู้นั้นต้องมีความเข้าใจถูกต้องว่า ปัญญารู้อะไร และปัญญาเกิดจากอะไร อยู่ดีๆ จะให้ไม่รู้จักปัญญา แล้วบอกว่าไปทำปัญญา ไปทำสติ ไปทำสมาธิ ทำได้อย่างไร สติยังไม่รู้เลยต่างกับสมาธิอย่างไร ต่างกับปัญญาอย่างไร
เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้ ก็คือว่าไม่เห็นความสำคัญของแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรู้ว่าสัตว์โลกมืดบอด ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นกว่าจะลืมตาขึ้นมา เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ก็ต้องอาศัยพระธรรมที่ทรงแสดงความจริง ๔๕ พรรษา มีใครปฏิเสธไม่ต้องฟัง ไม่ต้องศึกษาธรรม แล้วก็จะเข้าใจธรรมได้ มีหรือไม่
อ.อรรณพ มีเหมือนกัน
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นก็คือ ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ มีทั้งแบบปฏิเสธ มีทั้งเอาพระไตรปิฎกมาพูดกัน แล้วก็เอาไปประกอบกัน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นต้องสนทนาธรรมกัน จึงจะเข้าใจว่า เถรวาทคืออะไร ไม่ใช่คิดเอง ไม่ใช่เอามาจากพระไตรปิฎก แต่ง ต่อ เติม คิดเองหมด ไม่ใช่ นั่นคือผิด ปัญญาของใครสามารถที่จะเข้าใจความลึกซึ้งของคำของผู้ที่ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เข้าใจก็เข้าใจเดี๋ยวนี้แหละ ประจักษ์แจ้งความจริง ก็ประจักษ์แจ้งความจริงที่กำลังมีตามปกตินี่แหละ ถึงจะเป็นปัญญา ไม่ใช่เขา ไปรู้ความจริงได้ โดยไม่มีความเข้าใจอะไรเลย
อ.อรรณพ อีกประเด็นใกล้เคียงกันว่า การที่ผู้นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม เถรวาทต้องฟังพระธรรมเข้าใจ
อ.อรรณพ ดังนั้นการที่จะฟังพระธรรมเข้าใจ ทำได้อย่างไร อ่านในพระไตรปิฎกก็ไม่รู้เรื่อง หรืออ่านแล้วเข้าใจผิดก็มี
ท่านอาจารย์ อย่างนั้นไม่มีทางปฏิบัติธรรม เพราะไม่มีปัญญาที่สามารถจะถึงเฉพาะความเข้าใจถูกต้องในสภาพธรรม
อ.อรรณพ สมมติว่ายอมรับแล้วว่า ไม่ต้องไปปฏิบัติที่ไหน ใช่หรือไม่ และเห็นประโยชน์ว่าจะต้องศึกษาธรรมให้เข้าใจ จึงจะเป็นเถรวาท
ท่านอาจารย์ ทีละคำ เข้าใจทีละคำ
อ.อรรณพ เปิดพระไตรปิฎกก็มึนเหมือนกัน มีแต่ภาษาบาลี ยาก แล้วก็ไม่รู้จะอ่านส่วนไหน ไม่รู้จะอย่างไร เราจะตอบอย่างไร หรือจะบอกว่าฟังมศพ. ก็กระดากใจ
ท่านอาจารย์ เหมือนยื่นหนังสือให้คนตาบอดหรือไม่
อ.อรรณพ เหมือนยื่นหนังสือให้คนตาบอด เพราะว่าแม้จะมีตา อ่านก.ไก่ ข.ไข่ได้ รู้ว่าสิ่งนี้ท่านพูดถึงคำว่าธรรม พูดถึงอริยสัจจ์ แต่ว่าก็ไม่ได้เข้าใจในความหมายนั้น ก็บอดด้วยความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจถูกต้อง ต้องไม่ลืม มีความเข้าใจถูกต้อง คำนั้นไม่เปลี่ยน ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนในพระไตรปิฎก เริ่มต้นจากการรู้ว่าพระสัมมาส้มพุทธเจ้าตรัสเรื่องอะไร ตอบหน่อย
อ.วิชัย ความจริง
ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ เรื่องความจริง เดี๋ยวนี้มีไหม
อ.วิชัย มี
ท่านอาจารย์ เขารู้หรือไม่ หรือไปบอกว่าอริยสัจจะมี ๔ โพธิปักขิยธรรม ธาตุเท่าไร อายตนะเท่าไร
อ.อรรณพ มีสองแบบ
ท่านอาจารย์ โดยไม่รู้เลยว่า ทั้งหมดของพระองค์ คือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด ทั้งเป็นธาตุด้วย เป็นอายตนะด้วย เป็นขันธ์ด้วย เป็นปฏิจจสมุปปาทะ ทุกอย่างเดี๋ยวนี้ ถ้าเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เขาไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงแสดงความจริงให้คนที่ตาบอด ไม่รู้เลยนานแสนนาน ได้เข้าใจความจริงทีละคำ ถ้าไม่รู้จักคำว่าธรรม จะเข้าใจคำอื่นหรือไม่ อายตนะคืออะไร ก็ไม่เข้าใจ
อ.อรรณพ แต่การที่ สักคนหนึ่งเริ่มเห็นว่า ยังไม่เข้าใจเถรวาท ยังไม่เข้าใจพระธรรม แล้วมีศรัทธาที่จะศึกษาพระธรรม จุดเริ่มของเขาคนนั้นคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ รู้ว่าพระอรหันตจะสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร เพราะฉะนั้นทุกคำของพระองค์เป็นสัจจะ ความจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มี จากการที่ไม่เคยรู้ความจริงของสิ่งที่มี จนกระทั่งค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ว่าสิ่งที่มีนั้น มีจริงๆ ขณะที่ปรากฏเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด ปรากฏว่ามีไม่ได้ เข้าใจไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่กำลังปรากฏขณะนี้ สิ่งนั้นต้องเกิด บังคับให้เกิดได้หรือไม่ ทำให้เกิดได้ไหม หรือว่าต้องมีปัจจัยเฉพาะที่จะทำให้ธรรมประเภทนั้นเกิดขึ้นเป็นธรรมนั้น ไม่เป็นอย่างนี้ แค่นี้ค่อยๆ ฟังไปทีละคำ นี่ไม่ใช่ปฏิปัตติ แต่ถ้าไม่มีปัญญาระดับนี้ ปัญญาระดับที่เกิดจากความเข้าใจถูก สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตรงตามที่ได้ฟัง ก็มีไม่ได้
เพราะฉะนั้นต้องมีทั้งปริยัติ เริ่มต้นรอบรู้ในพระพุทธพจน์ ซึ่งจะนำไปสู่ปฏิปัตติ ไม่ใช่ไปสำนักปฏิบัติ แต่ปฏิปัตติเป็นปัญญาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความเข้าใจ สามารถจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีตรงตามที่ได้ฟัง ซึ่งธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ถ้าไม่เข้าใจคำนี้ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ จริงๆ คำตอบก็อยู่ตรงนี้ อยู่เฉพาะหน้าอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว เป็นจุดเริ่มของผู้ที่มีศรัทธา ที่จะศึกษาเพื่อให้เข้าใจพระธรรมคำสอน ซึ่งสืบต่อมาโดยตรงจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือเพื่อเข้าใจความจริง ก็คือที่ท่านแสดงด้วยคำแต่ละคำๆ คำว่าธรรม คำว่ากุศล อกุศล อะไรต่างๆ ก็เป็นสิ่งที่ค่อยๆ ศึกษาไป
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ เป็นเถรวาทได้หรือเปล่า
อ.อรรณพ เป็นไม่ได้แน่ เมื่อธรรมก็ไม่รู้จัก แล้วจะเป็นเถรวาทได้อย่างไร แต่การที่จะเข้าใจต่อไป ก็เป็นเรื่องของบุคคลนั้นว่า เขาจะมีความใส่ใจ สนใจที่จะศึกษาหรือเปล่า แล้วการศึกษา ไปศึกษาสิ่งที่ไม่ได้เป็นธรรม เพราะเดี๋ยวนี้ก็มีหนังสือธรรมมากจริงๆ ตามแผงหนังสือก็ดี หรือเดี๋ยวนี้ก็เวิร์ลไวร์เว็บ (www.) ไกลมาก แล้วไปเจอหลากหลาย จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งนี้เป็นธรรมหรือไม่ใช่ธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าตราบใดที่ยังไม่รู้ว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กล่าวให้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่ใช่อย่างนั้น ก็ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ นี่เป็นคำกล่าวให้ความรู้เป็นเบื้องต้น ว่าถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อเข้าใจความจริงในขณะนี้ นั่นต้องไม่ใช่เถรวาท
ท่านอาจารย์ และเป็นไปเพื่อละกิเลส คือความไม่รู้ด้วยความเห็นผิด ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน จนกว่าจะได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ถ้าเป็นไปในทางกิเลส เป็นไปในหนทางความอยาก เช่นอยากบรรลุเร็วๆ ไปสามวันเจ็ดวัน ปฏิบัติกัน เป็นโสดาบัน
ท่านอาจารย์ แล้วยังอ้างว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสให้มีความเพียร แต่เพียรที่นี่ เพียรฟังให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะว่าชีวิตดำรงอยู่ชั่วหนึ่งขณะจิต แต่ละหนึ่งขณะ
อ.อรรณพ ส่วนใหญ่จะคิดและสอนกันว่า เป็นตัวเป็นตนให้เพียร ให้ทำ ไม่มีคำสอนว่า ความเพียรเป็นความเพียร เป็นธรรม ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ ทุกคนได้ยินคำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหลาย ไม่เว้นเลย ไม่ใช่เรา ใช่หรือไม่ จึงใช้คำว่า อนัตตา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดของใครทั้งสิ้น เป็นแต่เพียงสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ ซึ่งพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงความจริงโดยละเอียดของทุกอย่างทีละหนึ่ง ในหนึ่งขณะอย่างรวดเร็วที่เกิดดับ
อ.อรรณพ นี่คือคำสอนที่เป็นหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท ที่เป็นไปเพื่อการเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นธรรมที่ไม่ใช่เราในแต่ละอย่างๆ
ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นจะเห็นพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร คนอื่นก็สอนธรรมดา เหมือนกันหมด
อ.อรรณพ ก็ทำดี มีการให้การช่วยเหลืออะไรกันไป ซึ่งเป็นกุศลก็ดี แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นกุศล แล้วไม่รู้ว่ากุศลนั้นเป็นธรรมอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น อกุศลก็ไม่ใช่เถรวาทแน่นอน ถ้าอะไรที่ทำด้วยความเข้าใจผิดทั้งหลาย และแม้จะมีส่วนที่เป็นกุศล แต่ว่าไม่ได้ประกอบด้วยปัญญาที่จะรู้ว่าเป็นธรรมขณะนี้ เป็นความจริงอย่างไรๆ ก็ไม่ใช่เถรวาท
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ไม่เว้นเลย ไม่ใช่เรา อกุศลมีหรือไม่
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ เป็นอะไร
อ.อรรณพ เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ เป็นอกุศล
อ.อรรณพ เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ ถ้าคิดว่าเป็นเราก็ผิด ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นเรา ก็ผิดหมด จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
อ.อรรณพ อย่างเช่นเวลาโกรธ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมคือพูดง่ายๆ ไม่ได้เป็นพุทธศาสนาเถรวาท ก็คิดว่าเราโกรธ แล้วก็คิดว่าจะเอาอะไรมาแก้ความโกรธของตัวเรา ใช่หรือไม่ อย่างทั่วๆ ไปก็ไปหาสิ่งที่สนุกสนานให้สนุกสนาน กลบความโกรธไป
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ว่าอยากไม่โกรธ
อ.อรรณพ อยากไม่โกรธ
ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจว่า ความอยากมีอยู่ตลอดเวลา
อ.อรรณพ นี้เป็นตัวอย่างที่เป็นความต่างกัน ระหว่างลัทธิอื่น อย่างใครก็ไม่ชอบโกรธ แต่เขาไม่เข้าใจอะไรเลย เขาคิดด้วยความเป็นตัวตนว่า จะขจัด จะข่ม จะให้ความโกรธออกไปอย่างไร เขาก็ไปสนุกสนานบ้าง หรือบางทีก็ถึงขั้นดีมากๆ เลย ก็มีอัธยาศัยที่จะขัดเกลาความโกรธ เจริญกุศลด้วยความเป็นเรา แต่ถ้าเป็นเถรวาทจริงๆ สำหรับความโกรธ จะเข้าใจอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความโกรธเกิด ไม่เข้าใจ แต่พอได้ฟังพระธรรมเริ่มเข้าใจว่า โกรธมี แต่ไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ โกรธมี แต่ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ โกรธเกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครไปทำให้โกรธเกิดขึ้นได้
อ.อรรณพ โกรธเกิดเพราะมีเหตุปัจจัย และไม่ใช่เรา นี้คือเถรวาท
ท่านอาจารย์ และโกรธก็ไม่เที่ยง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา กรธก็ต้องดับ ทุกอย่างเกิดดับ
อ.อรรณพ นี่คือเถรวาทที่ลึกซึ้งมาก แต่ถ้าไม่ใช่เถรวาท ก็เป็นเราที่โกรธ เป็นเขาที่โกรธ แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้โกรธ โดยที่ไม่เข้าใจเหตุเข้าใจผล ก็มีกรรมวิธีต่างๆ ทีจะไม่ให้โกรธ
ท่านอาจารย์ เพลินไปกับความเป็นเราที่ไม่ต้องการให้โกรธ และก็แสวงหาหนทางที่จะไม่โกรธ แต่ไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ แต่สิ่งที่จะเตือนใจชาวพุทธทั้งหมดก็คือ พระพุทธศาสนาเถรวาทยังมีอยู่ ยังครบถ้วน แต่ถ้าไม่ศึกษา ไม่สนใจ แล้วก็ไปหาวิธีการเอาเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับเกิดมาในยุคที่ว่างพระศาสนา เพราะว่าเขาไม่ได้ศึกษา ถึงมีก็เหมือนไม่มีประโยชน์กับเขาเลย แม้พระพุทธศาสนายังมีอยู่ แต่ใครไม่ศึกษาก็ไม่มีประโยชน์กับคนนั้น ไม่ต่างอะไรกับเกิดในยุคที่ไม่มีศาสนา
ในประเด็นสุดท้ายที่เราจะได้สนทนากัน ก็คือ อยากให้ท่านอาจารย์และท่านวิทยากร ได้ร่วมกันสนทนาว่า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราก็พอจะฟัง แล้วพอจะเข้าใจแล้วว่า เถรวาทคืออย่างไร จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทได้อย่างไรบ้าง ทั้งในเรื่องของทางกฎหมาย จากท่านอาจารย์นักกฎหมายทั้งสองท่าน แล้วก็ในเรื่องของพระธรรมวินัย จากท่านอาจารย์และท่านวิทยากร ในข้อกฎหมายอาจารย์จริยา ท่านก็เป็นกฤษฎีการ่างกฎหมายมาเยอะ วันนี้อาจารย์จะสรุปให้พวกเราได้เข้าใจกันว่า ตอนนี้ในทางกฎหมาย ควรที่จะดำเนินการอะไรต่อไป ถ้าได้เข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไร ทางบ้านเมืองควรที่จะปรับกฎหมายหรือร่างกฎหมายอย่างไร
อ.จริยา เราทราบว่าพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไร แล้วรัฐธรรมนูญได้กำหนดเรื่องว่า พุทธศาสนาเป็นแบบเถรวาท หน้าที่ของเราก็คือ ให้พิจารณาว่า บัดนี้มีกฎหมายอะไรบ้างที่ขัดกับศาสนาแบบเถรวาท จะต้องเรียนทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า กฎหมาย เมื่อไรที่สภาพของข้อเท็จจริง หรือสภาพบ้านเมือง หรือว่าสภาพของสังคมเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายแก้ไขได้เสมอ เมื่อกฎหมายแก้ไขได้เสมอ หน้าที่ของผู้ที่จะแก้ไขกฎหมายคือใคร ก็คือผู้รับผิดชอบบ้านเมือง
อยากจะเรียนนิดหนึ่ง อย่างที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ได้พูดถึงว่า ถ้าเป็นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ง่าย เมื่อพระมหากษัตริย์ท่านทรงเข้าใจ ก็สามารถที่จะแก้กฎหมายได้ทันที แต่บัดอยู่ในสมัยประชาธิปไตย การแก้ไขกฏหมายก็ริเริ่มได้ทั้งทางสภา ใช้คำว่าสภา เพราะในแต่ละสมัยก็เรียกไปต่างๆ แล้วก็ทางฝ่ายรัฐบาล แล้วรัฐธรรมนูญก็อาจจะให้สิทธิ์ประชาชนด้วย
ถ้าทุกฝ่ายตระหนักว่า บัดนี้สถานการณ์ของพุทธศาสนา ไม่ตรงตามหลักธรรมในพระธรรมวินัยของพุทธศาสนาเถรวาท หน้าที่ของรัฐบาลก็ควรที่จะรีบดำเนินการให้มีการแก้ไขกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลไม่สนใจที่จะแก้ เพราะเหตุว่ามีกฎหมายที่จะต้องแก้ไขอยู่ในขณะนี้มากมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ถูกบังคับตามรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของทุกๆ ภาคส่วน โดยเฉพาะเราภาคเอกชนเอง ก็สามารถที่จะริเริ่มในการที่จะเสนอด้วย เพราะเหตุที่ว่าในรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๗ ก็ได้พูดชัดว่า เป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะต้องธำรงรักษาไว้ซึ่งพุทธศาสนาแบบเถรวาท ด้วยการที่เผยแพร่ความถูกต้อง ความเข้าใจในพุทธศาสนาแบบเถรวาท
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าภาครัฐเข้าใจ แล้วคิดว่าเป็นปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ก็ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะในกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ท่านก็เขียนไว้รอบคอบมากเลย ในเรื่องแนวนโยบายของรัฐ ว่าเมื่อไรที่มีบทบัญญัติของกฎหมาย ที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญก็ให้ดำเนินการ รีบดำเนินการแก้ไขเสีย แต่รีบถ้าท่านทราบถึงการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับใช้เวลานานมาก เพราะว่าในกระบวนการแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญนี้ มีกระบวนการมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำประชาพิจารณ์ กว่าที่จะให้ทุกภาคส่วนเห็นด้วย แล้วท่านลองนึกถึงภาพดูเถอะว่า จะมีใครเห็นด้วยสักกี่คน ในกรณีที่ว่าพุทธศาสนาในขณะนี้กำลังเสื่อมโทรม แต่ว่ามีทาง เมื่อไม่มีใครคิดจะแก้ไข ถ้าเราได้สนทนากันแล้วเราเห็นว่าตรงนี้มีส่วนที่เราจะต้องช่วยเหลือทางภาครัฐ ก็ทำหน้าที่ของเรา ก็คือรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เราเห็นว่าควรที่จะแก้ไขทั้งกฎหมายคณะสงฆ์ ทั้งประมวลกฎหมายแพ่ง ที่ทางมูลนิธิเคยนำเรียนไปแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าได้ร่วมมือร่วมใจกันทำ ดิฉันคิดว่าในขณะนี้ ทางมูลนิธิก็พยายามให้ความรู้ประชาชน เพื่อให้เข้าใจว่า ประชาชนเข้าใจพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไรแล้ว ดิฉันคิดว่า หนทางพอมีอยู่ แล้วถ้าภาครัฐท่านเข้าใจในบทบาทของท่าน เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาแบบเถรวาทแล้ว ก็น่าจะต้องรีบดำเนินการแก้ไข การแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายในเรื่องของการดูแลปกครองสงฆ์ ปกติถ้าตามประวัติศาสตร์แก้ไขยากมาก แต่ละครั้งๆ ซึ่งจะเห็นว่าถ้าไม่ได้แก้โดย ๓ วาระรวดจากสภา แทบจะไม่เคยแก้ได้เลย แม้ทำร่างแล้วก็มีอันไม่ได้ แต่ดิฉันเรียนอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งรู้สึกว่าแก้ไขไม่ได้ แก้ได้เพราะว่ากฎหมายแก้ไขได้เสมอ โดยเฉพาะแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ
อ.อรรณพ นั่นก็เป็นความรู้ และข้อมูลที่ท่านอาจารย์จริยา ที่ท่านร่างกฎหมายมามาก ก็ได้ให้ความรู้ถ่ายทอดให้กับเรา ในเรื่องของข้อกฎหมาย อาจารย์จักรกฤษณ์มีอะไรจะเสริมหรือไม่ ที่จะเป็นการช่วยรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทเอาไว้ ด้วยกฎหมายส่วนหนึ่ง
