010 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๐
อ.จริยา วัดไม่ใช่สวนสนุก เมื่อไรที่เราพูดถึงคำว่า วัด ก็ต้องกลับไปว่า วัดตามพระธรรมวินัยคืออย่างไร วัด อารามะ ที่ท่านอาจารย์คำปั่น อ.วิชัยกล่าวบ่อยๆ เป็นที่มายินดี ใช่ไหม ยินดีในอะไร ยินดีในกุศล และผู้ที่อยู่ที่นั่นก็คือภิกษุ ก็ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมตามพระธรรมวินัย เมื่อไร สถานที่ไหน มีที่รื่นรมย์ เป็นต้น ที่อาจารย์อรรณพบอกว่า มีสิ่งล่อให้กับเด็ก สวนสนุกต่างๆ ดิฉันคิดว่ามันไม่ใช่วัด เป็นที่อาศัยคำว่า วัดในพระพุทธศาสนาเถรวาทมาทำลายพุทธศาสนา ซึ่งความจริงแล้วสิ่งเหล่านี้เราได้เห็นกันมากมายเจนตา จนกระทั่งคนทั้งหลายที่ไม่ได้ใส่ใจ สนใจ กับพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ เป็นความเคยชิน
อ.จริยา เห็นเป็นเรื่องธรรมดาว่า วัดไหนที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชน ประชาชนอาจจะไปยืมรถตัดหญ้าที่วัดมาใช้ได้ ก็ชื่นชมยินดี
อ.อรรณพ บางวัดมีที่พักดียิ่งกว่าโรงแรม
อ.จริยา นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมาก เพราะเหตุว่าถ้าต้องกลับไปตั้งต้นว่า พุทธศาสนิกชนต้องศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจพระธรรมวินัยแล้ว ก็จะทราบว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด สิ่งใดที่ผิดก็ควรที่จะละเสีย แล้วเมื่อไรที่พบวัด พบภิกษุ คนที่ห่มผ้าเหลือง ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็สามารถที่จะเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาได้ ดิฉันคิดว่าก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็บอกว่าฝันไปเถอะ คงไม่พบแน่ ดิฉันว่าจะพบหรือไม่พบก็ตาม ถ้าแต่ละหนึ่งๆ ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจคนนั้นก็ปฏิบัติตาม ศาสนาก็คงจะยั่งยืนไปได้อีกนิดก็ยังดี
อ.อรรณพ บางวัดมีสิ่งที่เรียกว่า สลดใจมาก มีตู้เอทีเอ็ม ไม่ทราบว่าใครจะกดเงินที่ตู้นี้ ยกตัวอย่างวัดใหญ่วัดหนึ่งที่อยุธยา มีตู้เอทีเอ็ม แล้วถามว่าใครจะกดเงินจากตู้เอทีเอ็มนี้
อ.จริยา เพราะเหตุว่า เราให้วัดกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว ซึ่งตรงนี้ก็ต้องกลับไปหาทางราชการ ก็คือมหาเถรสมาคม รวมทั้งกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงวัฒนธรรม ที่เราเคยเห็นภาพโฆษณา
อ.อรรณพ วัดเป็นศูนย์กลาง
อ.จริยา วัดเป็นศูนย์กลาง แล้วในมหาเถรสมาคมอะไรทำนองนี้ ก็พูดถึงเรื่องการที่พยายามที่จะให้วัดเป็นศูนย์กลางของชุมชน ซึ่งการเป็นศูนย์กลางของชุมชนเพื่ออะไร เมื่อไรที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน ก็จะไม่มีความสงบเกิดขึ้นแน่ๆ พระมีหน้าที่ศึกษาพระธรรมวินัย ให้ความรู้กับประชาชน เด็ก เยาวชน แต่ถ้าเรามองไปในวัดเดี๋ยวนี้ เราเกือบที่จะไม่เห็นแล้ว วัดที่ไม่มีสิ่งที่เราเห็น เราจะมองว่าเป็นสิ่งที่รกหูรกตา เป็นต้นว่า มีเจ้าแม่กวนอิม มีเทวรูป มีพระพุทธรูป ซึ่งหน้าตาประหลาดๆ ศีรษะเป็นช้าง ซึ่งเขาก็บอกว่าเป็นพระพุทธรูปอะไรต่างๆ
ตรงนี้ดิฉันคิดว่าการพูดของเรา เราพูดอย่างนี้ คนทั้งหลายก็อาจจะมองว่า เราน่าที่จะสุดโต่งไปแล้วหรือไม่ เพราะว่าสังคมเดี๋ยวนี้เขามองสิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เพื่อที่จะมีสิ่งที่จะกล่อมเกลาจิตใจของคน ดิฉันเคยได้ยินคนที่เข้าไป ก็บอกว่าอย่างน้อยก็เข้าไปกราบไหว้ เขาก็เกิดความสบายใจ ไปไหว้ทำไม เขาบอกว่าขอพร เหตุที่พวกเขาไม่รู้จักคำว่าขอพร ทั้งนี้ทั้งนั้นก็คือการที่ไม่ได้ศึกษาธรรมให้เข้าใจ
อ.อรรณพ คงไม่ใช่กล่อมเกลา ทำให้มัวเมา
อ.จริยา เขาคิดว่ากล่อมเกลา
อ.อรรณพ มีคำถามสำคัญ ต้องเรียนถามท่านผู้พิพากษา ถ้าเราเข้าใจสองส่วน คือส่วนที่หนึ่ง ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ที่อาจารย์ได้กล่าวถึงทั้งสองท่าน ได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาในประเทศไทย เป็นแบบเถรวาท ถูกต้องนะครับ แล้วที่จะต้องมีการสนับสนุน มีการดูแล โดยเฉพาะข้อว่า ป้องกันการบ่อนทำลาย ส่วนหนึ่งนี้แน่นอน ที่อาจารย์นักกฎหมายทั้งสองท่านได้กล่าวมา และอีกส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญ ที่เราสนทนามาทั้งหมด ก็ได้เข้าใจว่า พุทธศาสนาเถรวาทตามพระธรรมวินัยจริงๆ คืออย่างไร
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจผนวกสองส่วนเข้าด้วยกัน การกระทำเหล่านี้ ถ้าเราเห็นวัดต่างๆ มีสิ่งต่างๆ ที่ไม่ควรที่จะมีในวัด มีเทวรูป มีอะไรต่างๆ ซึ่งประกาศความไม่เป็นเถรวาทอย่างชัดเจน มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกินฐานะต่อพระภิกษุ หรือมีของเล่นของเด็กบ้าง อะไรบ้าง แทบจะเป็นสวนสนุก อย่างที่ท่านอาจารย์จริยากล่าว หรือว่ามีเรื่องเงินเรื่องทอง มีตลาดนัดอะไรทั้งหลายอย่าง อย่างนี้เป็นการผิดกฎหมายหรือไม่ ถ้าเราเข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไร และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นเถรวาท แต่บอกว่าเป็นเถรวาท อย่างนี้ผิดกฎหมายหรือไม่
อ.จักรกฤษณ์ ขณะนี้เรามีรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้เห็นได้ชัดเจนว่า พุทธศาสนาเถรวาทเป็นเรื่องที่รัฐต้องส่งเสริม และสนับสนุนการศึกษา และเผยแพร่พระธรรมให้ถูกต้อง นี้เป็นประการแรกที่รัฐควรจะต้องดำเนินการให้ถูกต้อง และตรงตามหลักธรรมจริงๆ ที่เราได้สนทนาว่า พุทธศาสนาแบบเถรวาทนี่คืออย่างไร เป็นเรื่องแรกที่จะต้องทำ ส่วนในประการต่อมาก็คือว่า เมื่อเราให้การศึกษาแล้ว มีส่วนที่ทำผิดจากคำสอน ผิดจากพระธรรมวินัยในพุทธศาสนาแบบเถรวาท ก็ต้องไม่สนับสนุนประกาศแรก ไม่ไปส่งเสริม อย่างเช่นวัด ราชการต้องมีบทบาทสำคัญว่า ไม่ไปสนับสนุนให้วัด มีกิจกรรมหรือพิธีกรรมอะไรที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท อย่างเช่นมีรูปปั้น มีพิธีสะเดาะเคราะห์ มีทั้งแบบมหายาน แบบพราหมณ์ปนกันไปหมดทุกอย่าง
อ.อรรณพ ตอบโจทย์คนที่ต้องการแบบนั้นได้หมด แต่ว่าเป็นการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างชัดเจน
อ.จักรกฤษณ์ ในเมื่อเขาประกาศตัวว่าเป็นวัดของพระพุทธศาสนาเถรวาท นั้นก็เป็นการบ่อนทำลาย ดังนั้นในหน่วยงานของรัฐ ก็จะต้องไม่ไปสนับสนุน และก็ต้องชี้แจงให้เกิดความเข้าใจให้ถูกต้อง ให้ชัดเจน ตรงนี้สำคัญ สำหรับกฎหมายที่จะมาบังคับใช้ ตอนนี้เรามีกฎหมายพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่มีการกำหนดไว้ว่า สงฆ์ต้องอยู่ภายใต้พระธรรมวินัย และมีมหาเถรสมาคมตามกฎหมายที่คอยดูแลอยู่ ตรงนี้ก็ต้องทำหน้าที่ให้ชัดเจน แล้วก็ต้องให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญด้วย ให้ตรงกัน เพราะว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด กฎหมายอื่นก็จะต้องประพฤติปฏิบัติ หรือว่าจะต้องสอดคล้องไม่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ เป็นประเด็นสำคัญที่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง จะต้องจัดการตรงนี้ สิ่งใดที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็ต้องทำให้ถูกต้อง
ซึ่งเรื่องกฎหมายนี้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งจะมีมาไม่กี่ปี เพราะว่ากฎหมายในสมัยก่อน ตั้งแต่ถ้าจะย้อนไป สมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ท่านเคยออกกฎ ตอนนั้นก็เรียกว่าเป็นพระราชกำหนด มาบังคับใช้สำหรับภิกษุเลย อาจารย์อรรณพทราบหรือไหม ว่าท่านออกพระราชกำหนดอะไร ท่านเอาศีล ๒๒๗ ข้อมาเป็นพระราชกำหนด บังคับกับภิกษุ เพราะตอนนั้นบ้านเมืองก็กำลังฟื้นฟู เพราะว่าถูกพม่ามาทำลาย เสียหายเยอะ สงฆ์ต่างๆ ท่านก็ระส่ำระสาย ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยเลย สมเด็จพระเจ้าตาก ท่านก็เอาสิกขาบท ๒๒๗ ข้อ มาเป็นพระราชกำหนดสำหรับภิกษุ
อ.อรรณพ สอดคล้องมาก เป็นการกำหนดกฎหมายให้สอดคล้องตรงกับพระวินัย
อ.จักรกฤษณ์ เป็นเถรวาทหรือไม่
อ.อรรณพ เป็นกฎหมายของเถรวาท เป็นกฎหมายบ้านเมืองที่เป็นเถรวาท
อ.จักรกฤษณ์ นี้ชัดเจนว่า สมัยก่อนท่านบังคับอย่างนี้เลย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่หนึ่ง ท่านก็ออกกฎพระสงฆ์มา ก็ตามพระธรรมวินัยเลย ท่านบรรยายไว้ชัดเจนว่า พระสงฆ์ละเมิดพระธรรมวินัยอะไรบ้าง แล้วก็มีบทบังคับบทลงโทษด้วย แล้วท่านระบุไว้ชัดเจนว่า ภิกษุมีหน้าที่อยู่สองอย่าง คันถธุระกับวิปัสสนาธุระ ท่านออกกฎหมายอธิบายตามพระธรรมวินัยให้เห็นชัดเจนในสมัยก่อน ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ จะทำให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาว่า เราก็ควรที่จะต้องยึดกฎหมายให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย ที่มีการใช้กันมาแล้วในอดีต ปัจจุบันได้มีการออกกฎหมายมา ๒-๓ ฉบับ จนสุดท้ายก็เป็นพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ที่ใช้กันอยู่ กฎหมายตรงนี้ก็ต้องแก้ให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญที่มีการประกาศเรื่องของพุทธศาสนาเถรวาทที่รัฐจะต้องส่งเสริมสนับสนุน และเผยแพร่ให้ถูกต้อง ถ้ามีสิ่งใดที่ไม่ตรง ต้องมีการปรับแก้
อ.อรรณพ แต่ก็ชัดเจน ข้อความตรงนี้ชัดมาก
อ.จักรกฤษณ์ ท่านใส่ข้อความตรงนี้ และที่ท่านใช้คำว่า พุทธศาสนาเถรวาท ยังมีเพิ่ม เพิ่มว่าเพื่อการพัฒนาจิตใจและปัญญาต่อท้าย แสดงให้เห็นว่า จริงๆ แล้ว สุดท้ายก็คือการกล่อมเกลาจิตใจ ให้เกิดกุศล แล้วก็เป็นการเจริญปัญญา ก็มีแต่พระธรรมวินัยเท่านั้น ที่จะทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้ ใช่ไหม ถ้าเข้าใจตรงนี้ กฎหมายทุกฉบับต้องโน้มตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด
อ.อรรณพ จะเอาตัวอย่างชัดๆ อย่างวัดที่มีเจ้าแม่กวนอิม หรือเทวรูปต่างศาสนาเข้ามา ก็ประกาศอยู่แล้วว่าไม่ได้เป็นเถรวาท แล้วทางการจัดการอย่างไรได้บ้าง
อ.จักรกฤษณ์ ประกาศว่าเป็นเถรวาทหรือไม่ได้เป็น
อ.อรรณพ เขาก็บอกว่าเขาเป็นวัดเถรวาท แต่ว่ามีพวกนี้อยู่
อ.จักรกฤษณ์ ก็ต้องจัดการไม่ให้มีเลย ต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ต้องรื้อ กฎหมายก็จะต้องเข้ามาดูแลด้วย เพราะจะปล่อยให้ท่านภิกษุสงฆ์รับผิดชอบก็อาจจะเป็นภาระ เพราะตั้งแต่สมัยโบราณมา ฝ่ายอาณาจักร พุทธบริษัทที่เข้าใจพระธรรมก็เข้าไปเกื้อกูลด้วย เมื่อในฝ่ายศาสนจักร ท่านไม่อาจที่จะคงความถูกต้องตามพระธรรมวินัยไว้ได้ ฝ่ายอาณาจักรตั้งแต่สมัยก่อนๆ ท่านก็ต้องช่วย ออกกฎหมายมาช่วย หรือว่าทำความเข้าใจกับประชาชนให้ถูกต้อง ไม่ไปสนับสนุนสิ่งเหล่านี้ ตรงนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ก็คิดว่ากฎหมายจะต้องมีการปรับแก้ให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ มีเหมือนสองส่วนใช่หรือไม่ ที่อาจารย์กล่าวถึง คือปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น
อ.จักรกฤษณ์ ใช่
อ.อรรณพ และอีกส่วนหนึ่งก็คือบังคับใช้กฎหมาย ที่เป็นไปตามพระธรรมวินัยแล้ว โดยเฉพาะกฎหมายหลักๆ ที่เกี่ยวกับพระศาสนาเถรวาท จะต้องมีการทำนุบำรุงอย่างไร แล้วก็ป้องกันการบ่อนทำลายอย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ สิ่งแรกที่น่าจะทำก็คือ เรื่องเงินและทอง กฎหมายมีอยู่ ประมวลกฎหมายแพ่งมีอยู่ ต้องปรับแก้ตรงนี้ เพราะว่าประมวลกฎหมายแพ่งเดิม ก็อนุญาตให้พระภิกษุรับวินัยกรรมได้ รับมรดก หรือว่าพระภิกษุทำพินัยกรรมทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างที่เป็นภิกษุ ทำพินัยกรรมให้บุคคลอื่น หรือว่าแจกทรัพย์สมบัติให้บุคคลอื่น ตรงนี้กฎหมายไม่สอดคล้องกับพระธรรมวินัยเลย
อ.อรรณพ ก็เหมือนให้สิทธิ์ความเป็นประชาชน
อ.จักรกฤษณ์ ก็เหมือนชาวบ้าน
อ.อรรณพ ที่เป็นนักบวช เดี๋ยวก็เป็นบรรชิต เดี๋ยวก็เป็นคนธรรมดา กลับไปกลับมา
อ.จักรกฤษณ์ กลับไปกลับมา อย่างที่เราสนทนาว่า ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ ไม่ได้เป็นการสละ
อ.จักรกฤษณ์ ซึ่งกฎหมายก็ต้องทำให้สอดคล้อง ต้องแก้ตรงนี้ ภิกษุมีทรัพย์สมบัติได้ตามพระธรรมวินัย มีได้แค่ ๘ อย่างเท่านั้น ทรัพย์สินที่มีค่า เงินทองอะไรต่างๆ รับไม่ได้ ผิดพระธรรมวินัย ตรงนี้ต้องมีการอธิบาย และการกำหนดให้ชัดเจน
อ.อรรณพ เมื่อวันก่อนพูดถึงเรื่องเงินเรื่องทองเป็นเรื่องใหญ่ และเป็นเรื่องที่เราคุยกันมาตั้งแต่สังคายนาครั้งที่สองก็มีแล้วเรื่องรับเงินรับทอง เมื่อเร็วๆ นี้ผมก็ได้ยินว่ามี มีพระภิกษุที่มีชื่อเสียง บอกว่าถ้าไม่มีเงินไม่มีทอง แล้วจะช่วยคนได้อย่างไร บางทีก็มีคนมาขอความช่วยเหลือจากท่าน ท่านก็บอกว่าคนเขามาขอความช่วยเหลือจากพระ คงไม่ต้องการเงินนิดหน่อย เพราะฉะนั้นก็ต้องมีเงิน แล้วท่านเองเอาเงินจำนวนไม่น้อยช่วยเหลือคนที่เขาลำบากไป เขาบอกอย่างนี้แล้วจะไม่รับเงินทองมาเพื่อประโยชน์ผู้อื่นหรือ
อ.จักรกฤษณ์ ท่านก็ไปอยู่มหายานได้ แต่เถรวาทต้องตามพระธรรมวินัย คือรับไม่ได้เลย
อ.อรรณพ จะอ้างว่า เพราะมีคนมาขอความช่วยเหลือ จึงต้องช่วยเหลืออนุเคราะห์ให้เงินเขาไป ไม่ได้เลย
อ.จักรกฤษณ์ มีพุทธบัญญัติไว้ว่า ยกเว้นไม่มี
อ.อรรณพ มีแต่อะไรนะอาจารย์คำปั่น ท่านเน้นว่าไม่สามารถคือไม่พึงที่จะรับเงินรับทองโดยประการใดๆ เลย อะไรก็มาอ้างไม่ได้ อาจารย์คำปั่นจะช่วยกล่าวคำในพระไตรปิฎกให้ถูกต้อง
อ.คำปั่น มีข้อความในส่วนของพระวินัยที่แสดงว่า ถ้าคฤหัสถ์ผู้ฉลาด ท่านมอบเงินไว้ให้กับไวยาวัจกร และไวยาวัจกรก็สามารถที่จะจัดหาสิ่งที่เหมาะควรถวายแก่พระภิกษุได้ พระภิกษุสามารถยินดีในสิ่งที่เหมาะควร ที่คฤหัสถ์นำมาถวาย ที่สำเร็จมาจากเงินและทองนั้น คือยินดีในสิ่งที่เหมาะควรที่ได้จากเงินและทองนั้น แต่ไม่ใช่ยินดีในเงินและทอง เพราะมีพระพุทธพจน์ว่า พระองค์ไม่เคยตรัสเลยว่า ให้ภิกษุยินดีหรือแสวงหาเงินและทองโดยปริยายใดๆ เลยไม่มีข้อยกเว้นเลย
อ.อรรณพ สิ่งนี้ชัดเจน เพราะฉะนั้นเราได้คุยกันมาในเรื่องของ วัดเถรวาทเป็นอย่างไร ภิกษุเถรวาทเป็นอย่างไร ที่นี่กิจกรรมในวัด ซึ่งเป็นความละเอียดหน่อย กราบเรียนอาจารย์ว่า ถ้ามีพุทธบริษัทไปวัดก็ดี หรือว่าในวัดอะไร มีการให้ทาน รักษาศีล การให้ทาน รักษาศีลเป็นเถรวาทอย่างไร ทาน ศีลอย่างไรจึงจะเป็นเถรวาท พูดถึงกิจกรรมที่ชาวพุทธทำกัน
ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้อง ก็ต้องเข้าใจถูกทุกคำ จึงจะเป็นคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งผู้ที่เข้าใจจึงจะเป็นเถรวาทได้ หมายความว่ารักษาความถูกต้องตามพระธรรมวินัย เพราะว่าทุกคำของพระองค์ เป็นเรื่องที่ทำให้คนมีความเห็นถูกต้อง ไม่ใช่คนมีศีลจะเป็นเถรวาท หรือเป็นมหายาน หรือจะเป็นลัทธิอื่น ศาสนาอื่นได้หรือไม่ ถ้าเขารู้ว่าศีลคืออะไร
เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่ามีเพียงศีล แล้วจะบอกว่าเป็นเถรวาท เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วก็คือว่าต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า เพื่อขัดเกลากิเลสด้วยปัญญา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม เพื่อประโยชน์ให้คนได้เข้าใจถูกต้องตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้นถ้าใครยังไม่เข้าใจคำนั้นถูกต้อง ตามที่พระองค์ตรัสรู้ จะเป็นเถรวาทได้หรือไม่
อ.อรรณพ พูดยาก แล้วเรากำลังพูดถึงสิ่งที่เป็นประเด็นใหญ่มาก เป็นประเด็นใหญ่จริงๆ สมมติว่า เราเป็นชาวบ้าน เป็นชาวพุทธ เราก็ไปที่วัด เราก็ไปถวายทาน และนอกจากนั้นอาจจะกระทำทานกับผู้อื่นด้วย ตั้งแต่คนที่ยากไร้ หรือว่าสัตว์เดรัจฉาน ช่วยเหลือเลี้ยงนก เลี้ยงปลาอะไรต่างๆ แล้วก็สมาทานศีล แล้วจะบอกว่า อย่างไรจะไม่เป็นเถรวาทอย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็พูดคำที่ไม่รู้จัก ลองบอกมาสักคำ
อ.อรรณพ แต่เขาทำกุศล
ท่านอาจารย์ กุศลคืออะไร
อ.อรรณพ มีการช่วยเหลือแบ่งปัน
ท่านอาจารย์ แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร กุศลคืออะไร
อ.อรรณพ กุศลก็คือคุณความดี
ท่านอาจารย์ เป็นสัตว์ บุคคลต่างๆ หรือว่าเป็นธรรม
อ.อรรณพ เป็นธรรม
ท่านอาจารย์ แล้วอย่างไร ไม่เข้าใจอย่างนี้ ใครๆ ก็รักษาศีลทำบุญทำทาน แล้วทั้งหมดเป็นเถรวาทหรือ เพราะฉะนั้นเหมือนกับพลิกแผ่นดิน
อ.อรรณพ ใช่
ท่านอาจารย์ จากการที่เต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์เลย เพราะว่าเข้าใจผิด มีแต่เรื่องที่ไร้สาระ ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น แต่ก็เข้าใจว่านั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าจะเป็นการเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระองค์เป็นที่พึ่งจริงๆ ก็คือว่าเคารพในแต่ละคำ ซึ่งมีโอกาสที่จะได้เข้าใจสิ่งซึ่งมี แต่ไม่เคยเข้าใจเลย ได้เข้าใจขึ้นทุกคำ ศีลคืออะไร ทานคืออะไร เเล้วก็ทั้งหมด ไม่ปรากฏว่ามีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะเป็นเถรวาทได้อย่างไร
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ เมื่อสักครู่เรากล่าวถึง วัด กล่าวถึงภิกษุว่า วัดและภิกษุอย่างไรจึงจะเป็นเถรวาท อย่างไรไม่ใช่เถรวาท อีกส่วนหนึ่งก็คือการประพฤติการกระทำ หรือกิจกรรมที่ชาวพุทธ ทั้งพระภิกษุและอุบาสก อุบาสิกา ขอเรียนถามท่านอาจารย์ว่า กุศลที่เป็นระดับทาน ระดับศีล ที่เป็นเถรวาทหรือไม่เป็นเถรวาทต่างกันอย่างไร ทาน ศีล ที่เป็นและไม่เป็นเถรวาท
ท่านอาจารย์ จะรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นเถรวาทหรือไม่ใช่เถรวาท ถ้าเป็นเถระก็ต้องเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ทุกอย่างเป็นธรรม เพราะฉะนั้นถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็ไม่เป็นเถรวาทไม่ใช่กล่าวเฉพาะเจาะจง เฉพาะทานหรือศีล การกระทำใดๆ ทั้งหมด ซึ่งเป็นไปด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ แต่ก็เป็นส่วนที่เป็นกุศล
ท่านอาจารย์ แล้วรู้หรือไม่
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ คิดภาพนี้ว่า พวกชาวบ้าน ชาวพุทธเราก็ไปวัด
ท่านอาจารย์ แล้วรู้ไหม
อ.อรรณพ ไปวัดเพื่อที่จะถวายทานกับพระภิกษุบ้าง หรือให้ทานกับคนยากไร้
ท่านอาจารย์ ทั้งหมด แล้วรู้ไหม
อ.อรรณพ รู้ว่าอะไร
ท่านอาจารย์ รู้ว่าเป็นธรรม เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง มิฉะนั้นจะรู้จักความเป็นพุทธะได้อย่างไร เพราะฉะนั้นเถรวาทคือคำที่แสดงความเป็นพุทธะ
อ.อรรณพ แล้วกุศลอีกขั้นหนึ่ง ขั้นศีล ก็มีการสมาทานศีล
ท่านอาจารย์ รู้ไหม
อ.อรรณพ รู้ว่าสมาทานศีลหรือ
ท่านอาจารย์ รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้ว่าอย่างไร รู้ไหม
