008 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๘
ท่านอาจารย์ เงินทอง ทำอันตรายแก่ตัวภิกษุเอง เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไม่ตรง หลอกหลวงตั้งแต่บวช การบวชเพื่อศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระวินัย แต่ถ้าภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมเลย แล้วก็จะเป็นภิกษุได้อย่างไร มีความไม่รู้ทั้งหมด จนกระทั่งแม้ถึงการรับเงินรับทอง ก็ยังคิดว่าตนเองเป็นเถรวาทโดยไม่เข้าใจธรรม แล้วจะเป็นเถรวาทได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นยิ่งเป็นนิกายต่างๆ เขาศึกษา แต่เพราะเข้าใจผิด ไม่เห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของคำสอนที่ว่า ทั้งหมดเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง จึงสามารถที่จะขัดเกลากิเลสได้ กิเลสไม่มีใครที่จะไปขัดเกลาได้เลย นอกจากปัญญา ปัญญามาจากไหน ถ้าไม่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง รวมทั้งพระวินัย ทั้งหมดดูละเอียดยิบเลย ทั้งหมดเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสของผู้ที่แม้บวชแล้ว กิเลสก็ยังคงมีกำลังที่จะเกิดขึ้นได้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีความเคารพและเห็นคุณอย่างยิ่งของพระรัตนตรัยของพระธรรม ผู้นั้นเคารพวินัยและพระธรรมอย่างยิ่ง ประพฤติปฏิบัติตาม จะไม่มีคำว่า นิกายใดๆ เลยทั้งสิ้น เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อมีความเห็นต่างเมื่อไร สำคัญผิดเมื่อไร เมื่อนั้นคิดว่าตนเองนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดเอง แต่ถ้านับถือเราก็ต้องศึกษาอย่างมั่นคง แล้วก็รักษาพระธรรมวินัยไว้ โดยที่ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ถ้าคิดที่จะเปลี่ยนแปลง หมายความว่าไม่เคารพ ชัดเจนในการกระทำ
เพราะฉะนั้นหลงเข้าใจว่าตัวเองนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่การกระทำไม่ใช่การนับถือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็แยกเป็นนิกายต่างๆ ซึ่งเขาคิดว่าเขานับถือพระพุทธสาสนา แต่ถ้านับถือจริงๆ ต้องศึกษาพระธรรมวินัย และประพฤติปฏิบัติตามทุกข้อ
อ.อรรณพ ก็คงได้คำตอบเหมือนอาจารย์จริยาว่า พระพุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นหนึ่งไม่มีทางเป็นสอง เพราะเป็นความจริงต้องมีหนึ่งเดียว แต่ผู้ที่เข้าใจผิด แล้วเขาก็คิดว่าเขาเป็นพุทธศาสนา แต่เนื่องจากความเห็นไม่ตรงกัน แล้วไม่อาจที่จะยอมรับในคำสอนที่สืบต่อโดยตรงได้ เขาก็เลยเป็นพุทธศาสนามหายาน ก็คือยานอันใหญ่ที่จะขนสัตว์ไปออกจากสังสารวัฏฏ์ได้เร็ว เขาก็ไปตั้งของเขา คือเป็นสิ่งที่เขาเรียกตัวเขาเอง ว่าเขาเป็นพุทธ แต่เนื่องจากไม่ได้ตรงกับพระพุทธศาสนาจริงๆ แต่เขาก็ยังจะบอกว่าเขาเป็นพุทธ แล้วเขาก็คิดว่าของเขาเป็นทางที่ใหญ่ ที่เร็ว เป็นยานพาหนะที่ใหญ่ที่จะขนสัตว์ไป ก็เป็นความคิดของเขา ใช่ไหม
แต่ด้วยเหตุนี้ เพื่อให้ชัดว่าพระพุทธศาสนาที่ถูกต้องก็สืบต่อคำสอนโดยตรงเป็นแบบเถรวาท เมื่อกล่าวว่าพระพุทธศาสนา และขยายด้วยข้อความว่า แบบเถรวาทนั้น ก็คือยิ่งเน้นว่า นี่คือพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นผู้ที่ประมาทในคำสอนด้วย ทุกคำเอามาจากพระไตรปิฏก สุญญตาก็มี ใช่หรือไม่ แต่คำอธิบายไม่ใช่ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้โดยละเอียด ก็เป็นอีกคำสอนหนึ่ง ซึ่งอ้างอิงเหมือนกันว่า เขามีพระไตรปิฎก มาจากพระไตรปิฎก แต่คำที่กล่าวไม่สามารถที่จะทำให้เข้าใจความจริงถึงที่สุดได้ เพียงแต่เป็นความคิดจากการที่ได้ยินได้ฟังคำนั้น แล้วก็คิดเอง
อ.อรรณพ นิกายอื่นเขาก็มีพระไตรปิฎกเหมือนกัน ใช่หรือไม่
อ.จักรกฤษณ์ มี
อ.อรรณพ หลากหลายมีคำสอน มีพระสูตรอะไรๆ แต่ก่อนที่เราจะไปคุยกับเขา อยากจะสนทนาให้เห็นการลำดับและแบบแผนที่ดี ที่พระเถระทั้งหลายตั้งแต่ในยุคพุทธกาลสมัยหลังๆ ที่ท่านสืบต่อพระธรรม ท่านก็อนุเคราะห์ เพราะพระพุทธพจน์ บางทีคนไม่สามารถจะเข้าใจได้ ท่านก็มีคำอธิบาย แต่เวลาท่านอธิบายเพิ่มเติม เพื่อไม่ให้ปะปนกับพระพุทธพจน์ ท่านมีระบบแบบแผนอย่างไร ที่จะเป็นการอธิบายข้อความในพระไตรปิฎกให้เข้าใจ หรืออธิบายย่อยๆ ๆ ละเอียดมาอีก แล้วก็ไม่ให้ไปเป็นการไปปะปน หรือไปเปลี่ยนพระพุทธพจน์ พระเถระทั้งหลาย ท่านมีการอธิบายธรรมเป็นลำดับๆ ไหม คือเป็นอรรถกถา เป็นฎีกาอะไรอย่างนี้ คืออะไร และเพื่ออะไร
อ.วิชัย ต้องเข้าใจถึงการที่มีการสังคายนาแล้ว สำเร็จที่เป็นพระไตรปิฎกออกมา เป็นลักษณะอย่างไร มีการรวบรวมอย่างไร ก็คือจากครั้งที่หนึ่ง ใช่ไหม แต่มีการถามตอบว่า อย่างเช่นถามท่านอุบาลีเกี่ยวกับเรื่องของพระวินัยว่า สิกขาบทแรกพระองค์ปรารภใคร ที่เมืองอะไรอย่างไร ก็จะแสดงถึงเป็นพระวินัยปิฎกทั้งสิ้น ซึ่งก็จะมีอยู่ทั้งหมดห้าคัมภีร์
อ.อรรณพ เกี่ยวกับสิกขาบท
อ.วิชัย ถูกต้อง ก็จะมีอยู่ห้าคัมภีร์
ท่านอาจารย์ รู้สึกว่าเราจะข้ามไปบางคำ เช่นอรรถกถา เห็นไหม มีพระไตรปิฎก แล้วก็มีอรรถกถาของทุกปิฎก หมายความว่าอย่างไร ต้องให้คนเข้าใจด้วย
อ.คำปั่น พระไตรปิฎกคือพระธรรมคำสอนที่เป็นหมวด ซึ่งปิฎกก็หมายถึงตะกร้า โดยศัพท์ หมายถึงว่าเป็นที่รวบรวมพระธรรมคำสอนให้เป็นหมวดหมู่เดียวกัน ซึ่งก็จำแนกเป็น ๓ คือในส่วนของพระวินัยปิฎก ซึ่งก็แสดงถึงสิกขาบทต่างๆ ของพระภิกษุ ทั้งของภิกษุณี แล้วก็จะมีเหตุการณ์ต่างๆ ด้วย รวมถึงพระสูตรด้วย ก็มีในพระวินัยปิฎกด้วย นี่คือในส่วนแรก อยู่ในพระวินัยปิฎก ส่วนที่สองก็คือ พระสุตตันตปิฎก ก็คือพระธรรมคำสอนที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ รวบรวมประโยชน์ทั้งมวลไว้ เป็นที่รองรับ ซึ่งคุณความดีต่างๆ เพราะแต่ละพระสูตรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นไปเพื่อความเข้าใจธรรม เป็นไปเพื่อประโยชน์จริงๆ นี้คือในส่วนของพระสูตร ก็มีทั้งพระสูตรยาว พระสูตรกลางๆ แล้วก็มีอีกมากมาย เป็นพระธรรมคำสอนที่พระองค์ทรงแสดง ทรงแสดง ณ ที่ต่างๆ ปรารภบุคคลต่างๆ แล้วก็ทรงแสดงธรรมในหมวดต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ฟัง นี้คือในส่วนของพระสุตตันตปิฎก และในส่วนของพระอภิธรรม ก็คือเป็นการกล่าวถึงความเป็นจริงของธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่ปฏิเสธความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ซึ่งทั้งหมดก็มาจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้คือพระไตรปิฎก บางครั้งก็เรียกว่าพระบาลี เพราะว่าเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่มีแบบแผนที่ชัดเจน ที่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นคำอื่นได้ เพราะความจริงเป็นอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น
เวลาที่พระเถระทั้งหลาย ที่ท่านได้ศึกษา ได้ฟังโดยตรงจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็เห็นประโยชน์ถึงความเข้าใจธรรมของชนรุ่นหลังว่า จะมีความเข้าใจได้มากน้อยเพียงใด ก็อาศัยคำอธิบายเพิ่มเติม จากพระเถระทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีการอธิบายในคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นการอธิบายเพื่อให้เข้าใจความจริงชัดเจนยิ่งขึ้น ก็จะมีคำว่า อรรถกถา หมายถึงว่าถ้อยคำหรือข้อความที่อธิบายให้เข้าใจเนื้อความของพระไตรปิฎก
อ.อรรณพ เป็นคำอธิบายรายละเอียด
อ.คำปั่น เป็นคำอธิบายในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ให้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง อย่างเช่นในส่วนของพระวินัย ก็คือ พระวินัยปิฎก แล้วก็จะมีคำอธิบายที่เป็นอรรถกถาพระวินัย ที่เรียกว่าสมันตตาปาสาทิกา ซึ่งแม้แต่คำคำนี้ก็มีความหมายที่ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ทำให้ผู้ฟัง ผู้ศึกษา เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริงแล้ว นำมาซึ่งความเลื่อมใสอย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นไปเพื่อความเข้าใจโดยประการทั้งปวง ในแต่ละสิกขาบท เข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว นำมาซึ่งความเลื่อมใสอย่างยิ่ง สมันตะ แปลว่าโดยรอบ โดยประการทั้งปวง ปาสาทิกะ คือเหมือนว่านำมาซึ่งความเลื่อมใส
อ.อรรณพ เลื่อมใสโดยรอบ เลื่อมใสอย่างเต็มที่ เพราะฉะนั้นนี่เป็นความกรุณาอย่างมากๆ ของพระเถระที่ท่านอธิบายไว้ เพราะรู้ว่าคนรุ่นหลังก็ปัญญาน้อย ได้ยินพระพุทธพจน์ก็คงจะไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด ซึ่งถ้าเราตรงกับตัวเราเอง ก่อนที่จะได้เข้าใจข้อความ ถ้าไม่อ่านอรรถกถา อ่านเฉพาะที่อาจารย์คำปั่นกล่าว ก็คือพระบาลี ก็คือพระพุทธพจน์โดยตรง ความเข้าใจเรายังน้อย เราจะคิดไปแบบความคิดของพวกเรา แต่อรรถกถาท่านอธิบาย จะทำให้เราเข้าใจความลึกซึ้งว่า ไม่ใช่อย่างที่เราคิดด้วยความเป็นตัวเป็นตนเลย แต่เป็นธรรมแต่ละอย่าง และอรรถกถา อยากให้อาจารย์คำปั่นช่วยอธิบายหน่อย บางทีท่านอธิบายเป็นคำๆ เช่นบทว่าอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร บทว่าอย่างนี้ บทก็หมายถึงแต่ละคำ ท่านอธิบายแต่ละคำ ถ้าเป็นพระสูตรที่เข้าใจยาก อรรถกถาก็จะยาวมาก ก็อธิบายอย่างชัดเจน
อ.คำปั่น ใช่ เพราะว่าแต่ละคำก็มีความละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แม้แต่คำว่า ตน คำเดียว ในอรรถกถาก็จะมีคำอธิบายว่า ตน นี้คืออะไร ตนคือจิต ตนคืออัตตภาวะ คือความเป็นบุคคลนี้ ซึ่งก็คือกล่าวถึงความเป็นจริงของธรรม แล้วก็แสดงถึงความเป็นไปของกุศลธรรม ซึ่งก็จะมีคำอธิบายในแต่ละส่วน เพื่อความเข้าใจอย่างชัดเจนตามความเป็นจริง ตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงทั้งหมดเลย
อ.อรรณพ นอกจากอธิบายเป็นคำๆ แต่ละคำ บทว่า อย่างนี้หมายความว่าอย่างไร แล้วก็มีกี่ความหมาย กี่นัย แล้วท่านก็จะบอกว่า อีกอย่างหนึ่งคืออย่างนี้ อีกอย่างหนึ่งคืออย่างนี้ หมดจดสะอาดบริสุทธิ์ น่าศึกษาที่สุด นี่คือเถรวาท
อ.คำปั่น ที่สำคัญเวลาที่ท่านอธิบายคำแต่ละคำ ท่านก็ยกเอาข้อความ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้นั้น มาประกอบในคำอธิบายนั้นด้วยว่า อย่างที่ได้ทรงแสดงไว้ในพระสูตรนี้ ก็จะยกข้อความนี้มา
อ.อรรณพ ประมวลเพื่อจะให้เห็นความสืบเนื่อง ความสอดคล้อง
ท่านอาจารย์ คุณคำปั่น พระบาลีเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อรรถกถาเป็นคำของใคร
อ.คำปั่น ในอรรถกถา ก็จะมีคำที่กล่าวถึงว่า เป็นคำของพระเถระทั้งหลายที่ท่านได้ฟัง ได้ศึกษาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะอธิบายให้ผู้ฟังได้เข้าใจ และบางครั้งก็ทรงแสดงว่า แม้อรรถกถาเองก็คือ ปกิณณกเทศนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย แสดงว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระเถระในครั้งนั้น ชีวิตของท่านในวันหนึ่งๆ ท่านมีการสนทนาธรรม และความเป็นเถระของท่าน ก็สามารถที่จะกล่าวถึงคำ ซึ่งลึกซึ้งของพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแม้คำเดียว ท่านก็เข้าใจได้หลายนัย เช่น ท่านพระอานนท์ เป็นต้น หรือท่านพระสารีบุตร
เพราะฉะนั้นพระอรรถกถาในสมัยโน้น ก็ถือพระเถระทั้งหลาย ซึ่งเข้าใจความลึกซึ้งของธรรม แม้แต่พระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้โดยย่อ ไม่ใช่ว่าใครจะไปคิดเอง ท่านก็รู้ว่าถ้าคิดเองก็ต้องผิด เพราะว่าพระธรรมลึกซึ้งมาก ด้วยเหตุนี้อาศัยความที่ท่านเป็นเถระ ผู้รู้จริงๆ ในครั้งโน้นท่านก็ช่วยอนุเคราะห์ผู้ที่เป็นศิษย์ของท่าน หรือเป็นผู้ที่ฟังธรรมในขณะนั้น ให้เข้าใจในความลึกซึ้งของพระพุทธพจน์
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าแต่ละพระสูตร ก็มีอรรถกถาแสดงให้เห็นความชัดเจนว่า ใครจะไปคิดเองไม่ได้ ใครจะไปแปลเองไม่ได้ ใช่ไหม เมื่อศึกษาพระสูตร พระธรรม พระวินัย ก็ต้องมีอรรถกถาที่แสดงให้รู้ว่า หมายความถึงอะไร ต้องตรงตามปัญญาของพระเถระในครั้งนั้น เพราะถ้าเทียบยุคสมัย ผู้รู้ในครั้งนั้นกับผู้รู้ในครั้งนี้เทียบกันไม่ได้เลย อย่าคิด เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นต้องเคารพอย่างยิ่งในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์ แล้วก็เป็นผู้ที่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นบางคนก็ไม่เคารพในอรรถกถา กล่าวว่าไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ใครที่ทำให้สามารถเข้าใจคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรง ถูกต้อง ละเอียด ลึกซึ้ง ก็ต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็การศึกษาธรรม จึงต้องทั้งส่วนของพระไตรปิฎกและอรรถกถา
อ.อรรณพ ถ้ามีกลุ่มคนที่เขาคิดว่า จะฟังหรือจะศึกษาแต่พุทธวจนเท่านั้น ที่เป็นพุทธพจน์โดยตรงเท่านั้น โดยที่ท่านอาจารย์กล่าวคือ เขาปฏิเสธคำของพระเถระทั้งหลาย คิดว่าอย่างไรปัญญาไม่เท่าพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเอาคำของพระพุทธเจ้าก่อน
ท่านอาจารย์ ตั้งแต่สมัยที่มีสาวก ๖๐ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าส่งสาวก ๖๐ ไป คำพูดของสาวกเป็นคำพูดของใคร ของเถระ ใช่หรือไม่ ที่ได้มีความเข้าใจธรรมแล้ว เพราะฉะนั้นใครจะกล่าวอย่างไร ยุคไหน ขอให้คำนั้นเป็นคำจริง เมื่อเป็นความจริง เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ไม่ต้องอาศัยว่าใครพูด ใครกล่าว แม้แต่คำว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ คนอื่นพูดได้หรือไม่
อ.อรรณพ ได้
ท่านอาจารย์ ทำไมจะไม่ได้ ถ้าเข้าใจให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นอยู่ที่ความเข้าใจว่า พูดแล้วเข้าใจถูกต้อง หรือเพียงแต่พูด แต่ไม่เข้าใจ นี่ก็จะเป็นเหตุให้ความเห็นต่างๆ กันออกไปตามความคิด ซึ่งไม่รอบคอบ ไม่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นเรื่องที่รู้เลยว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นคำจริง ใครกล่าว ก็คือผู้นั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ดีแล้ว
อ.อรรณพ สรุปได้ว่า ถ้าใครที่ปฏิเสธอรรถกถา แสดงว่าผู้นั้นไม่เข้าใจพระธรรม
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นจะให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปแสดงพระธรรมด้วยพระองค์เอง โดยที่ไม่มีพระสาวกไปแสดงธรรมเลยหรือ แต่นี่พระองค์เองเป็นผู้ที่ส่งสาวกไปประกาศความจริง ตามที่สาวกได้ประจักษ์แจ้งถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วก็ได้กล่าวคำที่ไม่คลาดเคลื่อนเลย ทุกคำเป็นคำจริง เป็นคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
อ.อรรณพ พระองค์ทรงทราบถึงปัญญาของพระเถระ ที่มีความเข้าใจธรรมที่มั่นคงเหล่านี้ว่า ท่านสามารถจะไปกระทำประโยชน์ได้
ท่านอาจารย์ แล้วเราเป็นใคร และพระเถระ เถรีในครั้งนั้นเป็นใคร แล้วเราจะไม่ฟังคำของพระเถระ เถรีหรือ
อ.อรรณพ ผมว่าลืมตัวหรือไม่ หมายความว่า พระอรรถกถาไม่ว่าจะเป็นพระเถระ พระเถรรี ท่านก็มีการอธิบายธรรม ปัญญาท่านขนาดไหน ถ้าเราไม่สนใจ เราไม่เชื่อ ไม่เห็นประโยชน์ของผู้ที่มีปัญญามากกว่าเรา แล้วอธิบายให้เราได้เข้าใจพระพุทธพจน์ แต่เราไปเอาพระพุทธพจน์มา แล้วเรามาคิดเอง อธิบายเอง แล้วปฏิเสธตั้งแต่พระสารีบุตรลงมาเลย ก็ไม่ไหว
ท่านอาจารย์ สำหรับบุคคลนั้น ไม่มีพระรัตนตรัย มีแต่สองรัตนะ คือเขาเข้าใจว่าเขานับถือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระธรรม ส่วนพระสงฆ์เขาไม่สนใจ
อ.อรรณพ แล้วเป็นไปได้หรือไม่
ท่านอาจารย์ ไม่มีทางเลย
อ.อรรรพ ที่จะมีใคร มีรัตนะ
ท่านอาจารย์ หมายความว่าคนนั้นไม่รู้จักสังฆรัตนะ เพราะไม่รู้จักจึงไม่นับถือ นับถือแต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ แต่จะเป็นการนับถือในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ ก็เพราะไม่รู้
อ.อรรณพ ก็คิดไปเอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่นับถือสาวก คำของพระสาวก ไม่ฟัง เขาก็ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มีแค่เขาคิดว่าเขาพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรม แล้วหายไปหนึ่ง
อ.อรรณพ แต่จริงๆ เพราะเขาไม่เข้าใจธรรม จึงไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
ท่านอาจารย์ เขาไม่รู้จักความหมายของคำว่า รัตนะ
อ.อรรณพ แต่คิดไปเองว่า มีพระพุทธเจ้ากับพระธรรม
ท่านอาจารย์ ถ้ารัตนะแล้ว มีค่าแค่ไหน แล้วเขาที่ไม่คำที่มีค่าของผู้ที่มีค่าเป็นใคร
อ.อรรณพ อาจารย์วิชัยครับ ถ้าอ่านข้อความในอรรถกถา ยังเข้าใจยากอยู่ จะมีการอธิบายให้เข้าใจลงอีกหรือไม่ ที่ท่านใช้คำว่า ฎีกา คืออย่างไร
อ.วิชัย แม้ข้อความบางส่วนในอรรถกถา เป็นสิ่งที่ควรชี้แจงหรืออธิบายขยายความเพิ่มเติม ก็จะมีคัมภีร์รุ่นฎีกาขึ้นมา หลังจากนั้นถ้ามีข้อความที่ควรค่าแก่การอธิบายเพิ่มเติม ก็จะมีคัมภีร์ชั้นอนุฎีกาขึ้นมา ก็จะเป็นลำดับของ
อ.อรรณพ ลำดับของการอธิบายขยายความเป็นชั้นๆ ๆ ไป ก็ยิ่งเห็นในพระคุณของพระเถระ ตั้งแต่ท่านพระสารีบุตร ถึงแม้ท่านจะปรินิพพานก่อนพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ท่านก็ได้เริ่มวางแบบแผนของการรวบรวม สังคายนาในสังคีติสูตร ที่อาจารย์จักรกฤษณ์ได้ยกมา ท่านพระมหากัสสปะ ท่านพระอุบาลี ท่านพระอานนท์ มากมาย จะเห็นได้ว่ามีระบบระเบียบที่งดงามอย่างยิ่ง ในการที่จะรักษาพระธรรมวินัย ที่เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท แล้วก็จะมีการอนุเคราะห์ของพระเถระ พระเถรีต่างๆ ที่ท่านจะอธิบายเป็นอรรถกถา ที่มีข้อความอธิบายพระไตรปิฎก หรือจะมีคำอธิบายอรรถกถา ฎีกาอะไรต่อไป แต่ที่สำคัญก็คือ ยุคไหนสมัยไหน แล้วใครเป็นผู้อธิบาย ใครเป็นอรรถกถาจารย์ในรุ่นไหน ฎีการุ่นไหน ก็ต้องสำคัญด้วย เพราะว่าในยุคหลังๆ อาจมีผู้เขียนตำราหรือคัมภีร์เหล่านี้ และอาจจะใช้ชื่อว่า เป็นอรรถกถาที่อาจจะมีชื่อคล้ายหรือเหมือนกับอรรถกถาในรุ่นแรกๆ ก็ได้ ต้องเป็นการพิจารณาของผู้ที่ศึกษาด้วย
นี้เป็นรายละเอียด แต่ที่เรียนสนทนานี้ก็เพื่อที่จะสรุปให้ได้เข้าใจกันว่า พระพุทธศาสนาเป็นความละเอียด และการสืบทอดพระธรรม ก็มีความเคารพโดยพระเถระ ในชั้นต่างๆ จนเป็นพระธรรมวินัย เป็นพระไตรปิฎก เป็นอรรถกถาอะไรต่างๆ ซึ่งพระธรรมวินัย ท่านแสดงไว้หลากหลาย เป็นธรรมวินัย ๒ ก็ได้ เป็นพระไตรปิฎก ๓ ก็ได้ หรือเป็นพระพุทธศาสนามีองค์ ๙ ก็ได้ นี้เป็นรายละเอียดก็คงต้องไปศึกษา ถ้าสนใจว่าตามลักษณะการที่พระองค์ทรงแสดง เป็นคำประพันธ์ หรือว่าอย่างไรหลากหลายมาก เราก็พอจะเห็นแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทและการสืบต่อเป็นอย่างไร
มาอีกประเด็นที่คนทั่วไปจะได้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ แบบไหนที่ใช่หรือไม่ใช่เถรวาท มาพูดตัวอย่างกันดีกว่า จะได้พอเข้าใจได้ อย่างพุทธศาสนาเถรวาทก็ต้องมีพระ มีวัด ใช่ไหม พระพุทธศาสนาเถรวาท ต้องวัด ต้องมีพระ ต้องมีกิจกรรม ถูกหรือไม่ ถ้ากล่าวอย่างนี้
อ.คำปั่น ต้องเข้าใจตั้งแต่คำแรกว่า พระพุทธศาสนาก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำสอนมาจากไหน ก็มาจากการตรัสรู้ความจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้ว่าจะไม่มีวัด แม้ว่าจะไม่มีพระภิกษุเลย ถ้าหากว่ามีผู้ที่เข้าใจพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่เป็นผู้เข้าใจธรรม พระพุทธศาสนาก็ยังดำรงอยู่ได้ ยังมีผู้ที่สืบทอดต่อไปได้ ด้วยความเข้าใจของผู้นั้น ในทำนองกลับกัน แม้จะมีวัด จะมีพระภิกษุ แต่ว่า ไม่ใช่วัดในพระพุทธศาสนา เพราะว่ามีสิ่งอะไรต่างๆ มากมายเกิดขึ้น ที่ไม่เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุที่บวชไม่เป็นผู้ศึกษาธรรม ไม่ขัดเกลากิเลส ล่วงละเมิดพระวินัย ก็คือไม่ใช่ผู้ที่ศึกษาแล้วก็ประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธศาสนาเลย เพราะฉะนั้นก็ต้องมั่นคงในคำที่กล่าวถึงก็คือคำว่า พระพุทธศาสนา ก็คือพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาเท่านั้นจริงๆ
