006 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๖
อ.คำปั่น สังคายนาหรือว่าสังคีติ ก็หมายถึง การกล่าว การรวบรวมในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้แต่ที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงในสังคีติสูตร ก็แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ตั้งแต่หมวดหนึ่ง อย่างเช่นสัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ก็มีความละเอียดตรงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมหมวดสอง อย่างเช่นท่านแสดงไว้ ก็คือนามธรรม รูปธรรม ธรรมหมวดสามก็คืออกุศลมูล ๓ โลภะ โทสะ โมหะ กุศลมูลๆ ๓ อโลภะ อโทสะ อโมหะ เป็นต้น จนถึงแสดงธรรมเป็นหมวดๆ จนถึงหมวดที่สิบ ก็เป็นการกล่าวถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการกล่าวในสิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง แล้วรวบรวมให้เป็นแบบแผนสำหรับอนุชนรุ่นหลังที่จะได้ศึกษามีความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงด้วย
อ.อรรณพ คุณสมบัติของผู้ที่จะกระทำสังคายนา เป็นอย่างไรบ้าง
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นเถระ ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคง ถึงความเป็นพระอรหันต์ในครั้งนั้น ถ้าไม่มีการที่จะไม่รู้ ไม่ศึกษาหรือว่าไม่ดำรงพระวินัย ด้วยเหตุนี้ก็จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่รู้ แล้วมาร่วมกันทำสังคายนา ก็เป็นการทำลายพระศาสนา เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้เข้าใจถูกต้องจริงๆ จึงสามารถที่จะมาร่วมกันพิจารณา เพื่อที่จะให้พระศาสนาดำรงอยู่ในความถูกต้องมั่นคง ไม่ใช่ว่าไม่ศึกษาเลย แล้วก็คิดเองตามใจชอบว่า คำนี้คงจะเป็นอย่างนั้น คำนั้นคงจะเป็นอย่างนี้ นั่นก็คือการทำลายคำสอนของพระศาสนา
อ.อรรณพ เพื่อจะให้ท่านผู้ชมได้เห็นถึงความละเอียดความลึกซึ้ง และการที่พระเถระท่านจะรักษาพระธรรมวินัยไว้ ก็อยากจะเรียนอาจารย์จักรกฤษณ์ กล่าวถึงสังคยานาครั้งที่สองอีกสักครั้งหนึ่ง เพราะครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สองก็จะได้เป็นตัวอย่างว่า ให้เห็นถึงพระคุณอันประเสริฐของพระเถระ ซึ่งท่านมีความมั่นคงในธรรมจริงๆ เป็นธรรมเถระ และการที่มีคนที่คิดต่างในพระธรรมวินัยมีเรื่อยๆ แต่ถ้าครั้งไหนมีมาก พระเถระผู้ทรงคุณเป็นธรรมเถระ ท่านก็ต้องกระทำสังคายนา ชาวพุทธจึงควรจะได้ทราบในสาระของการสังคายนาครั้งที่สอง ซึ่งก็ล่วงมาแค่ร้อยปี จากครั้งที่หนึ่งมาครั้งที่สองแค่ร้อยปี
อ.จักรกฤษณ์ ไม่นาน ชั่วอายุคนเท่านั้นเอง ไม่นานเลย
อ.อรรณพ ก็ต้องมีเหตุให้ต้องมาสังคายนา
อ.จักรกฤษณ์ ก่อนหน้านั้นก็มีท่านหนึ่งที่ไม่ฟังคนอื่น เอาแต่คำสอนที่ตัวเองได้ยินมา นี้เริ่มยังไม่ถึงร้อยปี เริ่มเห็นต่าง ขนาดว่าท่านมีการเตรียมการไว้ก่อนในสังคีติสูตร ก็คือเตรียมการไว้ต่างๆ ยังเป็นอย่างนี้ ดังนั้นถ้าไม่มีการเตรียมการหรือสังคายนาอะไรไว้เลย ก็จะเหมือนนิครนถนาฏบุตรในลัทธินั้น ก็คือทะเลาะเบาะแว้งจนไม่เหลืออะไรเลย
ในร้อยปีที่ผ่านมาก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะมีคนที่จะออกมาแสดงตัวว่า ไม่เอาพระธรรมวินัย จะเอาอย่างนี้ ความเห็นของตัวเอง ทิฏฐิของตัวเอง ๑๐ อย่างด้วยกัน ไม่ว่ากถาวัตถุ ๑๐ ที่ภิกษุวัชชีออกมาอ้างว่า จะเอาตามนี้ ไม่เอาตามพระธรรมวินัยมี ๑๐ ข้อ แต่ที่สำคัญๆ จะมีอยู่สามสี่ข้อที่เป็นปัญหามาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ และก็เป็นปัญหาในการแตกออกไปหลายๆ นิกายด้วย
ในข้อหนึ่งที่ได้กล่าวไปก็คือ การฉันอาหารตอนหลังเที่ยง ก็ยังบอกว่าทำได้ เป็นหนึ่งข้อที่เอามาให้เห็นว่า ไม่เอาตามพระธรรมวินัย ข้อที่สองก็คือรับเงิน และทอง เป็นข้อสำคัญที่เราก็เห็นอยู่ว่า ปัจจุบันทำไมเหมือนกับภิกษุวัชชีหมดเลย ใช่หรือไม่ คือรับเงินรับทองกันเป็นของธรรมดาทั่วไป แต่ร้อยปีที่ผ่านมานั้น เริ่มที่จะมีการที่เห็นผิดแล้วก็ทำผิด ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้ว แล้วก็ยังมีข้อที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ อาจารย์ของตัวเอง ทำอะไรก็ตาม ถือว่าตัวเองก็เอาตามคำอาจารย์บอกได้ หมายถึงว่าอาจารย์ทำสิ่งใดที่อาจจะไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัยก็ไม่เป็นไร ก็เอาตามอาจารย์
อ.อรรณพ เป็นข้ออ้างกันเยอะว่า พระเถระผู้ใหญ่ท่านทำอย่างนี้ ท่านทำอย่างนี้ เราก็ทำตามได้ ท่านยังเห็นว่ารับเงินรับทองได้ พระเล็กพระน้อยก็อ้างอย่างนี้ เหมือนกันเลย
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ อ้างตามอาจารย์ ไม่ต่างกันเลย ก็มีเป็นข้อหลักๆ สำคัญแต่ก็ยังมีข้ออื่นอีก แต่เราก็อาจจะไม่ลงรายละเอียดมาก
อ.อรรณพ ยกตัวอย่าง
อ.จักรกฤษณ์ ยกตัวอย่างท่านผู้ชมจะได้เห็นว่าสำคัญๆ มีอยู่อย่างไรบ้าง
อ.วิชัย ขอสักนิดเพื่อจะได้เห็นถึงความต่างว่า ถ้าเป็นสิกขาบทที่อาจารย์จักรกฤษณ์ได้ยกตัวอย่างภิกษุชาววัชชีได้บัญญัติขึ้นมาก็คือ การบริโภคอาหารเลยเที่ยงมาเงาแดดล่วงสององคุลี ก็เป็นสิ่งที่ควร สามารถบริโภคได้ ซึ่งจะขัดกับพระบัญญัติ ในการที่พระองค์ตรัสถึงเรื่องของการบริโภคอาหารในยามวิกาล ต้องอาบัติปาจิตตีย์ อีกประการหนึ่งที่อาจารย์จักรกฤษณ์ยกอย่าง เป็นข้อสำคัญที่ล่วงเลยมาถึงปัจจุบันก็คือ การที่กล่าวว่าภิกษุรับเงินและทองได้ ซึ่งสมัยนั้นภิกษุชาววัชชีก็เอาถาดสัมฤทธิ์ใส่น้ำมา แล้วก็วางท่ามกลางสงฆ์เลย แล้วก็กล่าวกับอุบาสก อุบาสิกาว่า ทั้งหลายให้บริจาคเงินหนึ่งกหาปณะ หรือกึ่งกหาปณะก็ได้ เพราะกิจที่ภิกษุสงฆ์จะพึงกระทำในบริขารต่างๆ มีอยู่ คือ ให้อุบาสก อุบาสิกา นำเงินและทองมาถวายได้
อ.อรรณพ แล้วเดี๋ยวนี้ก็เป็นแบบนี้ ก็มีมาตั้งเรี่ยไร บริจาค อาจจะแตกต่างกันในรูปแบบแต่ก็เหมือนกัน
อ.วิชัย ซึ่งขัดกับพระบัญญัติ คือไม่ตรง เป็นเหตุที่ไม่สมควรที่เกิดขึ้นมาในพระศาสนาแต่ตามพระบัญญัติคือ ภิกษุรับเงินทองหรือยินดีในเงินทองที่เขาเก็บไว้เพื่อตน ก็ต้องอาบัตินิสสัคคียปาจิตตีย์ ซึ่งภิกษุชาววัชชีก็มีการบัญญัติเพิ่มเติม ซึ่งไม่ตรงกับธรรมวินัย
อ.อรรณพ แต่ข้อที่อาจารย์จักรกฤษณ์ยกมาอีก หัวข้อนั้นน่ากลัวว่า ถ้าอาจารย์มีความเห็นอย่างไร ก็เชื่อตามอาจารย์ได้
อ.จักรกฤษณ์ เอาคำตรงๆ เลย เพราะจะมีอยู่ในพระไตรปิฎก เป็นอรรถกถา เพราะท่านระบุเอาไว้เลย มาจาก ปรมัตถทีปนี อรรถกถาปัญจปกรณ์อรรถกถาวัตถุอารัมภกถา ในข้อนี้บอกว่า ข้อปฏิบัติที่อุปัชฌาย์อาจารย์เคยประพฤติมาผิดถูกอย่างไรประพฤติตาม เห็นควรว่าทำได้ ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญมากๆ เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดการแยกออกไปเป็นหลายนิกายมากมาย เริ่มที่จะมีการแตกแล้ว แตกแยกนิกายออก คืออาจารย์จะประพฤติมาอย่างไร จะผิดจะถูก ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ก็ไม่เป็นไร เราประพฤติตามอาจารย์ได้
อ.อรรณพ คงต้องกราบเรียนท่านอาจารย์ สำหรับข้อนี้ เขาคิดว่าผู้ที่เป็นครูอาจารย์ก็คงจะรู้ว่าอะไร เรียกว่าโอนอ่อนผ่อนปรนได้บ้าง เราก็เอาตามอาจารย์ก็แล้วกัน ในยุคนี้สมัยนี้อาจจะรับเงินรับทองได้บ้าง เพราะจะต้องมีค่าน้ำค่าไฟ มีค่าเดินทาง ก็ในเมื่ออาจารย์ซึ่งมีความรู้มากกว่าเรา เป็นคนที่เชื่อถือ หรือเมื่อท่านปรับอย่างนั้นแล้ว เราก็ปรับตาม
ท่านอาจารย์ ข้อนี้ชัดเจนว่า ไม่ใช่เถรวาท การที่จะรู้ว่าการกระทำใดๆ เป็นเถรวาทหรือไม่เป็นเถรวาท ก็ต้องอาศัยพระธรรมวินัยเท่านั้น ไม่ใช่ครูอาจารย์ไหนจะมาเปลี่ยนแปลง จะมาบอกได้ แต่ถ้าผิดไปจากพระธรรมวินัยไม่ว่าใคร ทั้งครูและอาจารย์ ทั้งลูกศิษย์ก็ไม่ใช่เถรวาท เป็นผู้ที่ไม่มั่นคงในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ อย่างนี้ที่บอกว่า อาจารย์จะผิดจะถูก คืออาจารย์ก็คงรู้แล้วว่าอะไร ปรับได้ ปรับไม่ได้ เราก็ตามไป จะค้านกับพระธรรมคำสอนที่พระผู้มีพระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงแก่ชนชาวกาลามะ ที่เราเรียกว่า กาลามสูตร อย่างไร จะได้ประกอบเลย
อ.คำปั่น คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดเป็นคำจริง เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล แม้ในแต่ละสิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติ ก็คือเพื่อประโยชน์แก่บรรพชิตได้ศึกษา และน้อมประพฤติตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เหมาะควรแก่เพศที่สูงยิ่งทั้งหมดเลย เป็นไปเพื่อขัดเกลา ละคลายกิเลส แม้แต่ในการกระทำสังคายนาครั้งแรก ที่คณะสงฆ์ได้ประชุมกัน โดยมีพระอรหันต์ห้าร้อยรูป ท่านก็มีข้อตกลงร่วมกันว่า เป็นไปตามพระธรรมวินัย ก็คือไม่พึงบัญญัติสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงบัญญัติ ไม่ถอนสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ แต่พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายที่ได้ทรงบัญญัติไว้แล้ว นี่คือตั้งแต่เริ่มแรกของการกระทำสังคายนาครั้งที่หนึ่ง แสดงถึงความสำคัญของแต่ละสิกขาบทที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้ ที่จะต้องศึกษาให้มีความเข้าใจ แล้วก็น้อมประพฤติตาม นี่ก็เป็นสิ่งที่สำคัญ
แต่ในการกระทำสังคายนาครั้งที่สอง ซึ่งมีเหตุจากภิกษุวัชชี ก็แสดงถึงความชัดเจนว่า ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เป็นสิ่งที่ขัดกับพระธรรมวินัยอย่างชัดเจน เพราะการที่บุคคลหนึ่งบุคคลใดก็ตาม ที่จะมีความประพฤติในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็เป็นไปตามความเห็น ความประพฤติของตนเอง ถ้าสิ่งนั้นไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องเมื่อใด ก็เป็นสิ่งที่ขัดกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าหากว่ามีการคล้อยตามความประพฤตินั้น ก็เป็นการกระทำตามในสิ่งที่ผิด ก็คือมีบุคคลอื่น มีบุคคลผู้ที่บวชก่อน เป็นแบบอย่างในทางที่ไม่ดี ก็เข้าใจว่าผู้นี้จะเป็นผู้ที่มีความประพฤติที่ถูกต้อง สำคัญว่าประพฤติถูกต้องก็คล้อยตาม ซึ่งความจริงแล้วก็คือไม่ถูกต้อง ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย
เพราะฉะนั้นพระธรรมคำสอนทั้งหมด ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ละเอียด เป็นผู้ที่มีความรอบคอบว่า ความจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าใครกระทำมาก่อนแล้วจะถูกต้องทั้งหมดก็ไม่ใช่ ต้องสอบทาน เทียบเคียงจากพระธรรมวินัยทั้งหมด แม้แต่ในเรื่องของข้อรับเงินและทอง แม้จะมีภิกษุบอกว่า สามารถรับได้ ถ้าผู้ที่ได้รับฟังเป็นผู้ที่มีความละเอียด ก็จะต้องสอบทาน เทียบเคียงกับพระวินัยปิฎกว่า สิกขาบทเป็นอย่างไร เหมือนกับคนในยุคนี้สมัยนี้ ได้ฟังข้อความที่เป็นข้อคิดเตือนใจว่า ภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง ท่านเทียบเคียงเลยว่า คำนี้มาจากไหน ก็พบในโกสิยวรรคสิกขาบทที่ ๘ ที่แสดงถึงสิกขาบทนี้ ซึ่งก็เป็นพระบัญญัติโดยตรง
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ละเอียดจริงๆ ก็จะได้เข้าใจอย่างถูกต้องว่า ความประพฤติใดถูกต้อง ความประพฤติใดผิด คลาดเคลื่อนจากพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ใน เกสปุตตสูตร ก็เตือนให้ผู้ฟัง เป็นผู้ที่มีความละเอียดรอบคอบ ไม่พึงเชื่อโดยด่วน ไม่พึงเชื่อตามๆ กัน แต่ให้เป็นผู้มีความละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองในความเป็นจริง ตามพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
อ.อรรณพ แม้กระทั่งเป็นครูอาจารย์ ก็ไม่พึงเชื่อ เพราะว่าเป็นครูอาจารย์ของเรา แต่ด้วยเหตุผลที่ถูกต้องตามพระธรรม สำคัญมาก อาจารย์จักรกฤษณ์ สังคายนาครั้งที่สองเป็นอย่างไร อันนี้อาจารย์ยกมาสามข้อจากสิบข้อ
อ.จักรกฤษณ์ ที่ยกมาเป็นข้อสำคัญๆ ส่วนอื่นๆ ก็เป็นข้อปลีกย่อย แต่ที่สำคัญที่ทำให้เกิดการแตกแยก หลักๆ จะมี และที่สำคัญก็คือข้อที่ว่า ทำตามอาจารย์จะผิดจะถูกอย่างไรก็ทำตาม
อ.อรรณพ ข้อนี้น่ากลัว
อ.จักรกฤษณ์ ซึ่งในครั้งนั้นพระเถระ พระเถระ ท่านก็เป็นห่วงว่าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ท่านจึงได้ทำสังคายนาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่สอง เพื่อที่จะรวบรวมคำสอนให้มั่นคง ไม่ให้มีการบิดเบือน หรือว่าทำให้เข้าใจผิด ตอนนี้ภิกษุวัชชีเขามีพวกมาก คือมีพวกเยอะ พอมีการทำสังคายนาขึ้น เขาไม่ยอมรับ ภิกษุหล่านี้ไม่ยอมรับ ก็ไปหาพรรคพวกอื่นมาเพิ่มเติม แล้วก็แยกออกไปเป็นนิกายใหม่ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เห็นว่า เขาเริ่มไปตั้งนิกายใหม่แล้ว เป็นอีกกลุ่มหนึ่งในส่วนที่เขาไม่เห็นด้วย เขาไม่เอา ก็ไปตั้งใหม่
เพราะว่าเป็นกลุ่มใหญ่ ก็ใช้ชื่อว่า มหาสังฆิกะ เป็นภิกษุส่วนใหญ่ที่แตกออกไปเป็นอีกนิกายหนึ่ง แยกออกไปเลย สำหรับเถรวาทของเราก็มีความมั่นคง เพราะว่าเราทำสังคายนาครั้งที่สองแล้ว ก็มั่นคงในคำของพระพุทธองค์อย่างนั้น ไม่แปรเปลี่ยน
อ.อรรณพ อย่างกรณีสังคายนาครั้งที่สอง ด้วยความกรุณาของพระเถระในยุคนั้นอย่างยิ่ง ที่กระทำสังคายนาให้รู้ว่า อะไรเป็นเถรวาทะ อะไรเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า และรักษาไว้ได้ แต่ก็มีผู้ที่เขาเห็นต่าง เขาก็ไม่ยอมเปลี่ยนความเห็น เพราะแยกไปตั้งกลุ่มใหม่ ที่อาจารย์จักรกฤษณ์กล่าว คือสังคายนาแล้ว เราก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเห็นของคนที่เขาเห็นผิดอยู่ดี แต่ว่าประโยชน์คือ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้ที่ไม่มั่นคง ถ้าไม่มั่นคงก็ต่างคนต่างคิด แล้วก็แตกแยกกันไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีใครเป็นที่พึ่งสำหรับผู้ที่มีความมั่นคง ไม่ใช่ครูอาจารย์ จะผิดถูกอย่างไรก็ตามแต่ ต้องเป็นพระธรรมวินัยเท่านั้น เพราะเหตุว่าถ้ามีความเห็นแตกแยกออกไป ใช่ไหม ก็ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นความคิดของคนที่เป็นครูอาจารย์ แล้วจะพึ่งใคร จะพึ่งครูอาจารย์ หรือว่าจะพึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ชีวิตเราก็ต้องมีครูอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นในทางโลก เรียนวิชาต่างๆ ก็ต้องมีครูอาจารย์ ในทางธรรม เราอ่านพระไตรปิฎกเอง ก็คงจะไม่รู้เรื่อง ก็ต้องอาศัยท่านอาจารย์ อย่างนี้อาจารย์จริยาจะมีความเห็นว่าอย่างไร การจะเชื่อในครูอาจารย์เพียงใด อย่างไรถึงจะได้รับประโยชน์
อ.จริยา ถ้าเราเชื่อในคำของใครคนใดคนหนึ่ง โดยที่เราไม่เคยไตร่ตรองเลยว่า คำนั้นเป็นคำถูกหรือผิด เอาทางโลกก่อน จริงๆ แล้วดิฉันคิดว่า โดยเฉพาะในทางธรรม เมื่อเราได้ฟังพระธรรม เราคงต้องไตร่ตรองพิจารณาว่า สิ่งนั้นจริง จริงอย่างไร การที่อาจารย์อรรณพบอกว่า การที่เราต้องฟังธรรมจากท่านอาจารย์ เราเชื่อเลยทันทีหรือเปล่า ดิฉันคิดว่าถ้าในความเห็นของดิฉัน ไม่ ดิฉันไม่ได้เชื่อท่านอาจารย์ ไม่ได้เชื่อว่า ถ้าท่านอาจารย์ถ่ายทอดแล้วจะต้องถูก จากที่ฟังแล้ว ดิฉันได้พิจารณาไตร่ตรอง แล้วสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวความจริง ความจริงนั้นมาจากที่ไหน ความจริงมาจากคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อคำจริงมาจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เราก็สามารถสอบทานได้เสมอว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวแล้วกล่าวเล่า จริงและตรงอย่างนั้นหรือเปล่า ดิฉันเองได้ปรารภกับคนอื่นเสมอว่า ฟังธรรมที่ท่านอาจารย์ได้สนทนามาตั้งแต่ปีสองกว่าๆ ที่ดิฉันได้เริ่มพบเทปทั้งหลายที่ท่านกล่าว แม้เมื่อไม่กี่วันที่เราฟัง เหมือนกันทุกคำ ซึ่งดิฉันเคยสงสัยว่า ทำไมถึงได้เหมือนกันทุกคำ กราบประทานอภัยท่านอาจารย์ ดิฉันเปิดพระไตรปิฎกก่อน ว่าใช่ไหม คำนี้ ตรงแล้วก็ไม่เคยเปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยนแม้พยัญชนะ ซึ่งจะตรงหมด จะมีใครที่จะพูดแล้วตรงอย่างนั้น ถ้าไม่ได้พูดคำจริง แล้วก็ได้ตระหนักกับตัวเองว่า เมื่อไรที่เราพูดคำจริง เราพูดแล้วพูดอีก มันก็คือคำเดิม ไม่ต้องมาคิด
เพราะฉะนั้นการที่เราฟังคำครูบาอาจารย์แล้วเชื่อ ไม่ใช่เราเชื่อง่ายๆ เชื่อโดยพิจารณาไตร่ตรอง กลับไปที่ท่านอาจารย์อรรณพสนทนากับท่านอาจารย์จักรกฤษณ์เมื่อสักครู่ ดิฉันคิดว่าการที่คนสมัยนั้น หรือคนในสมัยนี้ก็ตาม ที่เขาพูดบอกว่า เขาเชื่อคำครูของเขา เขาไม่ได้พิจารณาว่า ครูของเขาพูดคำจริงหรือเปล่า เขาเชื่อทั้งนั้น แม้ครูของเขาพูดคำไม่จริง เขาก็เชื่อ เพราะเขาอ้างอยู่เสมอ คือแต่ก่อนดิฉันไม่เข้าใจว่า เถรวาท มหายาน เป็นอย่างไร ก็นึกว่ามหายานก็คือแยกมา แล้วก็คงจะมีอะไรๆ อีก แต่จริงๆ แล้ว ทุกๆ คนที่แยกออกมา หรือทุกลัทธิที่แยกออกมา รวมๆ ก็คือ ใครตามที่ไม่ปฏิบัติ ไม่ประพฤติปฏิบัติตาม หรือว่าไม่ได้เชื่อคำของพระพุทธเจ้า และไม่เชื่อคำของเถรวาท หรือเถรวาทะ นั่นก็คือรวมๆ แล้วก็คือมหายาน ใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้ฟังคำของท่านอาจารย์ ซึ่งจริงๆ ก็คือ เราได้ฟังคำของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่ได้เชื่อท่านอาจารย์ เราเชื่อคำของพระพุทธเจ้าต่างหาก
อ.อรรณพ ผมไม่ได้มีปัญญามาก ที่จะสามารถไปดูข้อความในพระไตรปิฎก แล้วก็วินิจฉัยว่า สิ่งท่านอาจารย์กล่าวถูกหรือผิด ผมไม่สามารถ ที่จะไปเข้าใจข้อความในพระไตรปิฎก แล้วก็มาสอบทานว่าท่านอาจารย์ผิดหรือถูก เพียงแต่เมื่อได้ฟังท่านอาจารย์ ก็มีเหตุผลที่ลึกซึ้ง และเมื่อเราศึกษาพระไตรปิฎก เราเคยเข้าใจแบบนี้ หรือคนอื่นสอน เขาสอนอย่างนี้ๆ มา แต่คนที่หนึ่งที่สองที่สามแล้วความคิดของเราเองบ้าง แต่พอท่านอาจารย์อธิบาย มีความลึกซึ้ง ซึ่งเมื่อได้ไตร่ตรองแล้ว รู้ว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์แสดง ลึกซึ้งกว่าที่เราคิดเอง ลึกซึ้งกว่าที่เราฟังจากคนอื่นๆ ไม่ใช่ว่าผมไปอ่านในพระไตรปิฎกแล้วผมเข้าใจ แล้วว่าท่านอาจารย์ก็พูดถูกนี่ คือไม่ได้มีปัญญาอย่างนั้น เพียงแต่ว่าได้ไตร่ตรองแล้ว สิ่งที่อาจารย์กล่าวลึกซึ้งกว่าที่เราคิด
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไปเจอข้อความในพระไตรปิฎกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน แต่ก็คิดว่าตัวเรานี่แหละก็ต้องขวนขวายทำดี อะไรต่ออะไรจะได้เป็นที่พึ่งของตัวเองได้ แต่พอมาฟังพระอาจารย์อธิบายว่า ไม่มีตัว ไม่มีตน เป็นธรรม แล้วธรรมที่ดีก็จะเกิดสะสมปรุงแต่งไป โดยอาศัยการฟังพระธรรม นั้นแหละจะไปเป็นหนทางที่จะเป็นที่พึ่ง แล้วไปอ่านในพระไตรปิฎก ท่านก็อธิบายไว้ตรงว่า ตน หมายถึงกุศลธรรม แล้วเป็นกุศลระดับสูงด้วย กุศลที่ถึงขั้นดับกิเลสได้ ก็จึงเห็นว่า สิ่งที่อาจารย์กล่าว ลึกซึ้งตรงตามพระไตรปิฎก ที่รู้ว่าท่านอาจารย์พูดตรงตามพระไตรปิฎก เพราะท่านอาจารย์อธิบายแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังผมก็ไม่ทราบได้
