009 พระพุทธศาสนา เถรวาท


    สนทนาพิเศษ

    เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๙


    อ.คำปั่น พระพุทธศาสนาก็คือ พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษาเท่านั้นจริงๆ

    ท่านอาจารย์ หมายความว่า ไม่มีวัดก็ได้ใช่ไหม

    อ.คำปั่น พระพุทธศาสนาไม่ใช่วัด ไม่ใช่พระภิกษุ

    ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่วัด เพราะฉะนั้นไม่มีวัดก็ได้ พระภิกษุในครั้งพุทธกาลอยู่ที่ไหน โคนไม้ ป่า เรือนว่าง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นวัดซึ่งในภาษาบาลีใช้คำว่า อารามะ ต้องเป็นที่อยู่ของผู้ที่เข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจจะอยู่ที่นั่นทำไม ใช่หรือไม่ จากคฤหัสถ์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสมบัติ เรื่องสนุกสนานต่างๆ แล้วก็สละชีวิตของคฤหัสถ์โดยเด็ดขาดเลย ไม่ยินดีในเงินและทอง ในอะไรทั้งหมดที่เคยมีมา กาย วาจา ต้องงามตามพระวินัย ไม่มีใครรู้เลย อย่างพระสัมมาส้มพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาต ภิกษุที่เดินบิณฑบาตตามหลัง อากัปกิริยาต้องตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงผู้นั้นจะไม่ใช่ภิกษุ เป็นสามเณร สามเณรก็คือเชื้อสายของผู้สงบ ต้องเหมือนกันเลย

    เพราะฉะนั้นตามพระวินัย ไม่มียกเว้นเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เป็นภิกษุหรือเป็นสามเณร เพราะว่าเครื่องแต่งกายเหมือนกัน ใช่ไหม แล้วก็จะรู้ได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นเข้าใจธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจธรรม แม้แต่งกายเหมือนภิกษุ เป็นภิกษุหรือเปล่า เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า ภิกษุ ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า ภิกษุจะอยู่ที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมีวัดก็ได้ ใช่ไหม แต่เมื่อมีวัดก็เพราะเหตุว่า ความสะดวกสบายที่ท่านจะได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตด้วยความสะดวก แต่ว่าต้องอย่างในบรรพชิต จะเป็นคฤหัสถ์อย่างชาวบ้านต่อไปอีกไม่ได้ เก้าอี้ เครื่องใช้ไม้สอย จะเหมือนฆราวสเป็นไปได้ ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย เพราะอะไร ขัดเกลากิเลส สำคัญไหม แม้แต่สิ่งที่อยู่ภายในวัด ก็ต้องเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เป็นการเพิ่มกิเลส เพราะฉะนั้นถ้าในวัดนั้น มีเครื่องทำกาแฟที่ทันสมัยยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เป็นวัดหรือว่าเป็นอะไร เป็นที่อยู่ของใคร

    เพราะฉะนั้นวัดก็คือ ต้องเป็นอารามะที่น่ารื่นรมย์ เพราะพ้นจากชีวิตคฤหัสถ์ ต้องรู้ว่าน่ารื่นรมย์ เพราะพ้นจากชีวิตคฤหัสถ์สู่เพศบรรพชิต ซึ่งบริสุทธิ์ สูงยิ่ง ที่ใครสามารถจะมีชีวิตอย่างนั้นได้ จึงสมควรที่จะอยู่ที่นั่น เพราะฉะนั้นวัดก็คือที่อยู่ของผู้สงบ ถ้าวัดใดไม่เป็นอย่างนี้ ไม่เป็นเถรวาท

    อ.อรรณพ อาจารย์วิชัย ในวัดพุทธเถรวาทมีอะไรได้บ้าง

    อ.วิชัย ในสมัยครั้งพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายที่บวชแล้ว ก็อยู่โคนไม้บ้าง เรือนบ้านบ้าง ตามถ้ำบ้าง ภายหลังผู้ที่มีศรัทธา ก็คิดที่จะมีการสร้างที่อยู่ ที่เป็นอาราม วิหารให้แก่พระภิกษุทั้งหลาย แต่สมัยนั้นพระองค์ยังไม่อนุญาต ภายหลังพระองค์ทรงอนุญาตอาราม วิหาร โรงไฟต่างๆ ที่จะเป็นที่อยู่ของพระภิกษุ เพื่อที่จะโอกาสได้ศึกษา ได้ฟังธรรม ก็เป็นที่เหมาะควรที่จะให้พระภิกษุได้ศึกษาพระธรรม แล้วก็ประพฤติธรรม

    อ.คำปั่น ในการศึกษาธรรม ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นจริงๆ ว่า เพศบรรพชิตนี้ เป็นเพศที่แตกต่างจากคฤหัสถ์อย่างสิ้นเชิง ก็คือเป็นผู้ที่ไม่มีความอาลัยในชีวิตของความเป็นคฤหัสถ์เลยแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นชีวิตของท่านก็คือสละแล้ว ซึ่งความเป็นคฤหัสถ์ที่จะมุ่งตรงต่อเพศที่สูงยิ่ง เพื่อที่จะศึกษาธรรม อบรมปัญญา ขัดเกลากิเลสของท่านเอง แล้วก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรม จึงจะเป็นความเป็นบรรพชิตที่ถูกต้อง ตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ในช่วงแรกๆ ก็ยังไม่มีวัดยังไม่มีอารามะ ใช่ไหม แต่ช่วงหลังๆ มีผู้ที่ศรัทธาที่จะอนุเคราะห์ให้ชีวิตของพระภิกษุ เป็นไปอย่างสะดวกสบาย เหมาะควรต่อการที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ก็มีการสร้างที่อยู่ถวาย โดยที่ท่านไม่ได้เรียกร้องว่าต้องมาสร้างให้ เพราะเป็นเพศที่ขัดเกลาอย่างยิ่ง แต่ภายหลังมีผู้ที่มีศรัทธา เห็นประโยชน์ที่จะอนุเคราะห์ท่าน ก็มีการสร้างที่อยู่ถวาย ก็เป็นที่ที่เหมาะควร เพียงแค่เพื่ออาศัย ซึ่งจุดประสงค์ ของการอยู่ในอาวาส หรืออยู่ที่วัดก็คือ เพื่อเป็นที่จะป้องกันความหนาวความร้อน บำบัดในเรื่องอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากสัตว์ร้ายต่างๆ เพียงเท่านี้จริงๆ เพื่อที่จะอาศัยอยู่ให้ชีวิตเป็นไปได้ ต่อการที่จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสจริงๆ ซึ่งก็ต้องเป็นไปตามพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นถ้าดูในยุคนี้สมัยนี้ ชีวิตจริงๆ ชีวิตของพระภิกษุในสมัยนี้ตามวัดต่างๆ มีอะไรบ้าง มีทีวี มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย หรือแม้กระทั่งเครื่องทำกาแฟ ที่คฤหัสถ์ยังไม่มีเลย ใช่ไหม แต่พระภิกษุท่านมี นั่นคือไม่ใช่วัดในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่วัดตามพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ไม่ใช่เลย

    อ.อรรรณพ การที่จะกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเถรวาท ไม่จำเป็นจะต้องมีวัดก็ได้ กราบเรียนท่านอาจารย์อธิบายให้ละเอียด

    ท่านอาจารย์ คฤหัสถ์ที่ฟังพระธรรม อยู่ที่ไหน

    อ.อรรณพ อยู่ที่บ้าน และตอนนี้ก็อยู่ที่บ้านอาจารย์ทักษพล

    ท่านอาจารย์ ไม่ต้องมีวัดก็ได้ ใช่ไหม

    อ.อรรณพ ได้

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีอัธยาศัยที่จะไม่อยู่ครองเรือน แล้วจะอยู่ที่ไหน ไม่ต้องมีวัดก็อยู่ได้ ออกจากอาคารบ้านเรือน ก็ไปอยู่ป่า อยู่ถ้ำ อยู่เรือนว่างที่ไหนก็ได้ ใช่ไหม สละเพศ และถ้ามีผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะให้พระภิกษุท่านไม่เดือดร้อน ใช่ไหม ป่วยไข้ได้เจ็บ ยุงกัด มดต่อยหรืออะไรก็แล้วแต่ งูพิษอะไรก็เยอะแยะ ใช่ไหม ท่านก็ทูลขอ ให้สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาตที่จะได้มีคฤหบดีถวายอาราม เป็นผู้สร้างให้อยู่ ทรงอนุญาต เพราะเห็นแก่ประโยชน์ แต่วัดนั้นต้องเป็นวัด ไม่ใช่เหมือนเดี๋ยวนี้ ใช่ไหม ที่เต็มไปด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง นี่ไม่ใช่วัดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอนุญาต ด้วยเหตุนี้ คุณอรรณพชอบอยู่กรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด

    อ.อรรณพ เคยอยู่กรุงเทพก็ทำงานสะดวก

    ท่านอาจารย์ ทำงาน เบื่อไหม จริงๆ แล้วไปพักผ่อนที่ไหน จะมาพักผ่อนที่กรุงเทพฯ หรือว่าจะไปที่สงบเงียบ พ้นจากที่ๆ เคยอยู่

    อ.อรรณพ ไปต่างจังหวัดที่สงบเงียบ

    ท่านอาจารย์ บางคนอยู่ต่างจังหวัดเป็นประจำ ไม่เข้ากรุงเทพเลย เพราะสบายสะดวก แต่ก็ไม่ได้ศึกษาธรรม แล้วลองคิดถึงผู้ที่ได้ศึกษาธรรม อัธยาศัยต่างกันหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นคามวาสี เห็นไหม ก็มีที่ไม่ได้อยู่อย่างนั้นก็มี แต่ไม่ได้หมายความว่า กำหนดไว้ว่าฉันจะเป็นอย่างนั้น ฉันจะเป็นอย่างนี้

    อ.อรรณพ เป็นไปตามอัธยาศัย

    ท่านอาจารย์ ตามอัธยาศัย และก็อยู่เหมือนกันเลย พระภิกษุที่อยู่ป่าหรือไม่อยู่ป่า ต้องรักษาพระธรรมวินัยทั้งหมดทุกข้อ ไม่ใช่ว่าพอไปอยู่ป่าแล้วก็ไม่ต้องศึกษาพระธรรมวินัย ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ใช่ไหม ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็ตาม มีพระธรรมวินัยเป็นเครื่องอยู่ ที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ เพราะถ้าไม่เข้าใจธรรมขัดเกลากิเลสไม่ได้เลย จะเอากิเลส ความไม่รู้ ไปขัดเกลาความไม่รู้และกิเลส เป็นไปไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้จึงต้องเข้าใจความต่างจริงๆ ไม่ใช่ว่าต่างแต่เพียงเครื่องแต่งตัว หรือว่าเพียงแค่อยู่ที่ชื่อว่าวัด แต่ไม่ใช่วัดในพระธรรมวินัย เพราะเหตุว่าถ้าเป็นวัดตามพระธรรมวินัย จะมีไหม พวกมหรสพต่างๆ งานวัด ตลาดนัดอะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่รู้จักว่าวัดคืออะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่เถรวาท ไม่ใช่วัดในพระธรรมวินัย

    เพราะฉะนั้นก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดอย่างยิ่ง ที่จะต้องเข้าใจว่า แม้แต่แต่ละคำว่า เป็นผู้ที่อยู่ป่าเป็นวัตร หรือว่าไม่ได้อยู่ป่าเป็นวัตร ตามอัธยาศัยที่บุคคลนั้น อย่างท่านพระนาลกะ ท่านอยู่ที่ไหน ท่านพระมหากัสสปะ ท่านอยู่ไหน เห็นไหม ไม่ใช่ว่าท่านจะต้องเลือกว่าท่านจะต้องทำอย่างนี้ ไม่ศึกษาอย่างโน้นใช่ไหม ไม่ใช่ว่าจะทำแต่วิปัสสนาธุระ ไม่มีคันถธุระ เพราะเหตุว่าคันธุระคือการศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อเข้าใจถูก เพื่ออบรมเจริญปัญญา ด้วยความเป็นผู้ที่เข้าใจในความเป็นอนัตตา เป็นธรรม เพราะฉะนั้นแล้วแต่ว่าสภาพธรรมที่เป็นปัญญาจะอบรมเจริญได้มากเท่าไร ที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมตามที่ได้ฟัง ไม่ใช่ไปพยายามขวนขวายอย่างยิ่งที่จะรู้ให้ได้ โดยไม่เข้าใจอะไรเลย นั่นเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจผิด จะบอกว่าเป็นเถรวาท ก็ไม่ใช่

    ด้วยเหตุนี้เถรวาทจริงๆ จึงควรที่จะได้เข้าใจ เปิดเผยความเป็นเถรวาท ให้คนที่หลงเข้าใจผิดคิดว่าพุทธศาสนาประเทศไทยเป็นเถรวาท แต่ว่าพฤติกรรม และความรู้ความเข้าใจไม่ได้เป็นเถรวาท

    อ.อรรณพ อาจารย์จักรกฤษณ์ครับ ถ้าสังเกตง่ายๆ จากแม้สิ่งก่อสร้างหรือว่าวัตถุต่างๆ ที่อยู่ในวัด บางทีก็ประกาศความไม่ใช่เถรวาทออกมาอย่างชัดๆ จะขอความเห็นอาจารย์ด้วย เช่นบางวัดเดี๋ยวนี้ก็คงหลายวัด ก็คงมีหลายๆ อย่าง เช่นอาจจะมีเจ้าแม่กวนอิม หรือมีเห็นเทวรูป ศิวะ นารายณ์ คือมีความเชื่ออื่นของลัทธิอื่นมา แต่เขาก็บอกว่า พุทธศาสนาเราใจกว้าง แล้วเราก็เปิดรับทุกคน เพราะฉะนั้นทุกคนที่เขาจะได้รู้สึกว่า ไม่ห่างไกลจากพุทธ ก็มีสัญลักษณ์เขาด้วย เขาก็จะได้มาที่วัดเรา แล้วก็มีโอกาสจะได้เข้าใจธรรมหรืออะไร หรือจะได้มีโอกาสเผยแพร่พระศาสนาให้กว้างไกลออกไป โดยที่ไม่ไปแบ่งพวกกัน อาจารย์มีความเห็นอย่างไร

    อ.จักรกฤษณ์ สิ่งนี้สำคัญ ผมขออนุญาตย้อนกลับไปสักนิดหนึ่ง ตอนที่เราคุยกันไว้เรื่องการแบ่งนิกาย ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงว่า จริงๆ มันใช่การแบ่งนิกายหรือไม่ พระพุทธศาสนามีหลายนิกายจริงๆ หรือเปล่า ปัจจุบันเราเข้าใจอย่างนั้นว่า มีนิกายเถรวาท มหายานและวัชรยาน ซึ่งมหายานก็หลังจากที่มีการสังคยานาครั้งที่สองมาประมาณอีก ๔๐๐ ปี ก็กำเนิดมหายาน คือเขามีความเห็น เหมือนกับอาจาริยวาท ถือความเห็นของอาจารย์ คิดว่าฟังพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์แล้ว เห็นความสำคัญของความเป็นคุณสมบัติของความเป็นพระพุทธเจ้า โดยมองไปที่พระโพธิสัตว์เป็นหลัก เขาเน้นความเป็นพระโพธิสัตว์ คืออยากขนคนให้บรรลุเข้าสู่นิพพานเยอะๆ จึงใช้คำว่ามหายานคือยานใหญ่ๆ อย่างที่อาจารย์อรรณพกล่าวเมื่อสักครู่ ขนสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่แดนนิพพาน นี่เป็นแนวคิดของเขาที่แยกออกมาหลังจากมีการสังคายนาครั้งที่สองแล้ว เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความสับสน แล้วก็หลายๆ อย่างที่ผิดออกไปเยอะ เมื่อย้อนกลับมาที่อาจารย์ได้กล่าวว่า พระพุทธศาสนาจริงๆ ไม่มีนิกาย มีในพระไตรปิฎก ซึ่งอ่านแล้วอาจจะต้องตีความหมาย ที่ท่านจะได้กล่าวเมื่อสักครู่นี้ บางทีท่านผู้ชมอาจจะดูว่า เราไปโจมตีนิกายอื่นๆ อะไรไหม จริงๆ ตรงนี้ไม่ใช่ แต่เราได้พูดความจริงว่า จริงๆ พระพุทธศาสนาต้องเป็นอย่างนี้

    ซึ่งตรงนี้ผมขออนุญาตยกส่วนนี้ขึ้นมาให้เห็นความสำคัญก่อน แล้วเราจะได้พูด ตอนที่อาจารย์อรรณพถาม เพราะตรงนี้จะเกี่ยวโยงกันด้วย ในอรรถกถา ท่านเขียนไว้อย่างนี้ว่า มีการแบ่งออกเป็น ๑๘ นิกาย ใช่ไหม บางคนก็เรียกว่าอาจารย์ ๑๘ ตระกูลก็มี ในอรรถกถาท่านบอกว่า นิกาย ๑๘ นิกายก็ดี ตระกูลอาจารย์ ๑๘ ตระกูลก็ดี เป็นชื่อของนิกายที่กล่าวมาแล้วเหล่านั้น อนึ่งบรรดานิกาย ๑๘ นิกายเหล่านั้น ๑๗ นิกาย บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นนิกายที่แตกแยกกันมา ส่วนเถรวาท บัณฑิตพึงทราบว่า เป็นนิกายที่ไม่แตกกัน ตรงนี้ต้องพยายามเข้าใจในสาระว่า พระพุทธศาสนาไม่ได้แตกกัน ท่านบอกว่าเถรวาทนี้ไม่แตกกัน เพราะเถรวาทคือพระพุทธศาสนา ส่วนอีก ๑๗ นิกายแตกกันไป

    อ.อรรณพ ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ใช้ชื่อว่าพระพุทธศาสนา

    อ.จักรกฤษณ์ มีแต่ชื่อที่อ้าง เพราะว่ามีบางส่วนที่เอามาใช้ แต่ท่านไม่ได้เคารพทั้งหมด เพราะถ้าพุทธศาสนา ต้องพระธรรมวินัยทั้งหมด ท่านต้องเคารพ ไม่ใช่ว่าเอาบางส่วนมา เอาของอาจารย์คนอื่นมาปะปนกันอย่างนี้ นี่ไม่ใช่ ตรงนี้เป็นคำอธิบายที่ทำให้เห็นชัดเจนว่า นิกายที่แตกออกไป หมดสภาพความเป็นพระพุทธศาสนาแล้ว เถรวาทเท่านั้นที่ท่านบอกว่า เป็นนิกายที่ไม่แตกกัน หมายถึงว่าคือความเป็นพระพุทธศาสนาอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ถ้าในอรรถกถาเขียนไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า ชี้ให้เห็นความสำคัญว่าเป็นอย่างนี้

    ดังนั้นที่เราสนทนากันว่า มีการแตกนิกายอะไรต่างๆ มีความเห็น เราไม่ได้โจมตีหรือไม่ไปยกอะไรที่ไม่ถูกต้อง เพราะทั้งหมดมาจากอรรถกถา ที่ท่านได้อธิบายเอาไว้ให้เห็นชัดเจนว่า เถรวาทก็คือพระพุทธศาสนา เป็นคำสอนของพระพุทธองค์นั่นเอง ตรงนี้จึงทำให้เห็นหลักสำคัญก่อน เราต้องเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจน

    สำหรับส่วนที่แตกไป ท่านเรียกว่า อาจริยวาทคือ เป็นวาทะของอาจารย์ เป็นลัทธิอาจารย์ทั้งหลาย ก็แตกกันไปจนเป็นมหายาน เราอาจจะต้องเข้าใจความเป็นมหายานสักนิดหนึ่ง ว่าเขามีหลักการอย่างไรบ้าง ขออนุญาตยกตัวอย่างหลักการของมหายาน ประมาณ พ.ศ. ๕๐๐-๖๐๐ เป็นกลุ่มของอาจารย์ที่ตั้งขึ้นมาเป็นลัทธิมหายาน หลักการลำดับแรกก็คือ ตอนนั้นศาสนาพราหมณ์กำลังขยายตัว ศาสนาพราหมณ์ปรับตัวมาก แล้วก็มีพระเจ้าเยอะแยะ มีพระนารายณ์ พระอิศวร เทพเจ้าเยอะแยะ ทางมหายานก็บอกเราก็ต้องสู้กับเขา

    อ.อรรณพ โดยมีบาง

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ โดยมีบ้าง แล้วมีไม่บ้างก็เยอะ ก็จะเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างเจ้าแม่กวนอิมก็เป็นพระโพธิสัตว์ในลัทธินี้

    อ.อรรณพ ในลัทธิของมหายาน

    อ.จักรกฤษณ์ แล้วก็มีพระโพธิสัตว์เยอะแยะไปหมด

    อ.อรรณพ ซึ่งเราเรียกลัทธิมหายาน

    อ.จักรกฤษณ์ เราก็กล่าวอย่างนั้นได้ ตามความเป็นจริงไปทำอะไรที่ไม่อยู่ในพระธรรมวินัย สร้างขึ้นมา เพื่อที่จะมาแข่งขันกับศาสนาพราหมณ์ เพื่อที่จะสู้เขาได้

    อ.อรรณพ ศาสนาพราหมณ์เขามีเทวะเยอะ

    อ.จักรกฤษณ์ มีเยอะมาก ก็มีการที่เราจะต้องมีพระโพธิสัตว์ที่มาช่วย มนุษย์โลกทั้งหลาย คล้ายๆ กัน

    อ.อรรณพ ทางมหายานก็เลยมีบ้าง

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่

    อ.อรรณพ มีอะไรบ้าง

    อ.จักรกฤษณ์ มีเยอะมาก เจ้าแม่กวนอิมเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง แล้วก็ยังมีอีกหลายๆ องค์ มีชื่ออาจจะไม่ค่อยคุ้น แต่คุ้นเคยก็จะมีเจ้าแม่กวนอิม เป็นแนวคิดของมหายานที่จะปรับตัว ลำดับที่สอง ก็มีแนวคิดว่าพระพุทธองค์เสด็จดับขันปรินิพพานแล้ว สัตว์โลกจะอยู่อย่างไร ควรที่จะต้องมีอะไรที่จะสืบทอด ก็ยกขึ้นมาว่า จริงๆ พระพุทธองค์มีกายทิพย์ คือไม่ได้แตกดับ แต่ยังอยู่ ไม่มีแตกดับ แต่กายที่เป็นขันธ์ทั้งหลายก็สลายไปแล้ว นั่นไม่เป็นไร แต่ยังมีกายทิพย์อยู่ ก็คือเป็นส่วนหนึ่งที่ประกอบกับทำให้เห็นว่า ท่านก็ยังมาช่วยชาวโลกได้อยู่ในสถานะอื่นๆ ทำให้เกิดแนวคิดนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะมีคนมาศรัทธาเยอะๆ นอกจากมีพระโพธิสัตว์เยอะๆ แล้ว พระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ก็คือปรับแนวคิดนี้เข้ามาใช้

    อ.อรรณพ เพื่อให้คนรู้สึกว่า ยังมีโอกาสได้เจอพระพุทธเจ้า

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่อย่างนั้นเราไม่พบ ไม่เจอแล้ว รู้สึกอ้างว้าง

    อ.อรรณพ เป็นไปตามโลภะ เพราะเป็นความเข้าใจผิด ความไม่รู้ ตรงกับที่อาจารย์คำปั่นกล่าว แตกแยกนิกายเพราะอกุศล

    อ.จักรกฤษณ์ ส่วนที่ ๓ ก็คือให้คฤหัสถ์ หรือว่าชาวพุทธทั้งหลายเข้ามามีส่วนร่วม ดังนั้นจะมีส่วนร่วมอย่างไร ก็ต้องมีกุศโลบายต่างๆ ที่จะชักจูงให้เขามาศรัทธา หรือเข้ามามีส่วนร่วมกับศาสนาของมหายาน ก็มีกิจกรรม มีพิธีการต่างๆ มีที่มา ที่ทำให้คฤหัสถ์เข้ามามีส่วนร่วมกับเขา เพราะว่าหลักของมหายานก็คือ เน้นปริมาณ ใครที่มีปริมาณได้เยอะ ดี จะได้ขนคนไปนิพพานได้เยอะ

    อ.อรรณพ ด้วยความอยาก อยากไปเร็วๆ บรรลุเร็วๆ อยากบรรลุกันเยอะๆ

    อ.จักรกฤษณ์ นั่นคือเป้าหมาย ความหมายของมหายาน มหายานมีแนวคิดที่ว่า ทุกคนเรียกว่ามีพุทธทาส คือสามารถเป็นพระพุทธเจ้าได้ทั้งหมด แต่เราต้องผ่านการเป็นพระโพธิสัตว์ก่อน ก็คือต้องบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์ เพื่อที่จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหลาย แล้วเราก็จะเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้ทุกคน เป็นแนวคิดของเขา ที่จะใช้เป็นอุดมการณ์ ดังนั้นมันจึงออกมาในลักษณะที่ค่อนข้างแปลก แล้วก็ตรงข้ามกับพระธรรมวินัยทั้งหมด มาถึงวัดที่อาจารย์อรรณพกล่าวว่า ในวัดมีสิ่งต่างๆ

    อ.อรรณพ เอาง่ายๆ ถ้าเราเห็นวัดไหนมีรูปเจ้าแม่กวนอิมอยู่ ประกาศความเป็นวัดที่ไม่ได้เป็นเถรวาท

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่ใช่เถรวาท ใช่ไหม

    อ.อรรณพ โดยที่เขาก็บอกว่า เราต้องใจกว้าง เราก็พุทธศาสนาด้วยกัน ต่างนิกายก็มารวมๆ กัน ตรงนี้อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่

    อ.จักรกฤษณ์ ก็เป็นมหายาน เพราะว่าแนวนโยบายเดียวกันก็คือ ดึงคนเข้ามาเยอะๆ แต่ไม่ใช่เถรวาทที่เรายึดธรรมวินัยเป็นสำคัญ แล้ววัดก็ไม่ใช่สถานที่ ที่จะมีการจัดอะไร นอกเหนือจากเป็นที่อยู่อาศัยของภิกษุเท่านั้นเองตามพระธรรมวินัย ตอนนี้วัดมีสภาพที่ไม่น่าจะใช่วัด เพราะว่ามีทุกอย่างที่เหมือนกับบ้านของชาวบ้าน ดีกว่าบ้านของชาวบ้าน เพราะมีอุปกรณ์ มีอะไรต่างๆ ซึ่งไม่ตรงกับพระธรรมวินัย ทำให้เห็นได้ว่าไม่ใช่วัดตามพระธรรมวินัย และไม่ใช่วัดที่เป็นพุทธศาสนาแบบเถรวาทแล้ว

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นง่ายๆ เลย ถ้าไปวัดไหนเราเห็นวัตถุแบบนี้ อาจจะเป็นสิ่งก่อสร้าง หรือเป็นเทวรูป เป็นอะไรอย่างนี้ที่ไม่ได้เป็นในพระพุทธศาสนา ก็กำลังประกาศการทำลายความเป็นเถรวาทในวัดนั้น

    อ.จักรกฤษณ์ ก็ไม่ใช่เถรวาทแล้ว

    อ.อรรณพ สิ่งที่น่ากลัว ผมว่าไม่ใช่ว่านิกายที่แยกไปเป็นลัทธิมหายานอะไร ต่ออะไร วัชรยาน สิ่งที่น่ากลัวคือ ที่ประกาศตนว่าเป็นพุทธศาสนาเถรวาท วัดพุทธๆ หรือว่าเป็นพุทธศาสนาเถรวาท แต่ไม่ได้เป็นเถรวาท ถือว่าน่ากลัวกว่าที่แยกออกไปแล้ว แล้วก็รู้ว่าไม่ได้เป็นเถรวาท

    อ.จักรกฤษณ์ อันนี้ชัดเจน

    อ.อรรณพ นี้คือความน่ากลัว อาจารย์จริยาครับ ก็มีอีกรูปแบบหนึ่ง ก็คือท่านอาจารย์ได้กล่าวมาแล้ว ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก หรือบางทีก็มี เพิ่งทราบข้อมูลว่าบางวัด มีพวกตัวการ์ตูน หรืออะไร เพื่อจะให้ดึงดูดเด็กเยาวชนเข้าไปเช่นนี้ หุ่นยนต์ทรานฟอร์มเมอร์อยู่ในวัด แล้วเขาบอกว่าเพื่อที่จะให้เด็กๆ ได้เข้าไป แล้วจะได้มีโอกาสเข้าวัดบ้าง ดึงดูดเด็กเข้าวัด เพื่อเด็กจะได้สนใจศาสนาบ้าง อาจารย์มีความเห็นอย่างไร


    หมายเลข 10972
    6 พ.ค. 2568