007 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๗
อ.อรรณพ ตน หมายถึง กุศลธรรม เป็นกุศลระดับสูงด้วย กุศลที่ถึงขั้นดับกิเลสได้ จึงเห็นว่าสิ่งที่อาจารย์กล่าวลึกซึ้ง ตรงตามพระไตรปิฎก ผมรู้ว่าท่านอาจารย์กล่าวตรงตามพระไตรปิฎก เพราะท่านอาจารย์อธิบายแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังก่อน ก็ไม่ทราบได้
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพ ไม่ว่าใคร พอได้ฟังคำที่ทำให้สามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยได้ฟังมาก่อน เป็นความจริงถึงที่สุด สามารถที่จะทำให้รู้ได้ว่าคำนั้นใครก็รู้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพอฟังคำจริงเมื่อไร จากใครก็ตาม รู้เลยว่ากำลังฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ทุกคำไม่ใช่ธรรมของใครคนใดคนหนึ่งเลย แต่อาศัยคำที่เกิดจากการตรัสรู้ และทรงพระมหากรุณาแสดงให้คนอื่น มีโอกาสได้ฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วเข้าใจความจริงได้ เพราะฉะนั้นขณะนั้น ก็จะทำให้รู้ได้ว่าฟังใคร แค่นี้ก็รู้แล้วใช่หรือไม่ จะต้องประพฤติปฏิบัติตามใคร ทั้งพระธรรมและพระวินัย ซึ่งไม่ใช่ว่าจะต้องติดตามคำของครูบาอาจารย์คนหนึ่งคนใดเลย
แต่พระธรรมเป็นที่พึ่ง พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง โดยพระธรรมที่ได้ตรัสไว้ดีแล้วนั่นเอง ทำให้เราสามารถเห็นความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และสามารถที่จะอบรมเจริญปัญญา ตามที่พระองค์ได้อบรมแล้ว เหมือนกันเลย จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมอย่างที่พระองค์ทรงตรัสรู้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นทุกคำที่จริง ทำให้บุคคลนั้นรู้ได้ไม่ใช่คำของใครอื่นเลยทั้งสิ้น เป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่เป็นคำของเทวดา ของพรหม หรือครูคนใดคนหนึ่ง ทั้งหมดเป็นคำของผู้สัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นผู้นั้นก็มีความเข้าใจมั่นคง ในการที่จะมีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และมีพระองค์ซึ่งได้ทรงตรัสรู้เป็นที่พึ่ง มิฉะนั้นเราไม่มีโอกาสได้ยินสักคำเดียว จะพูดถึงสังคายนากี่ครั้งก็ตามแต่ ก็คือเพื่อให้เราได้เข้าใจความจริง เป็นความกรุณาของพระเถระ เห็นไหม เถระ ผู้ที่มั่นคงในคำสอน ที่จะไม่ให้ความเข้าใจของคนผิดพลาดคลาดเคลื่อนไป โดยฟังคำของคนอื่น หรือโดยคิดเอง พระธรรมคิดเองไม่ได้ ฟังใครก็ไม่ได้ ถ้าเขาพูดผิดใช่ไหม ก็รู้ว่าผิด เพราะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ได้ฟังพระธรรมแล้ว ไตร่ตรองแล้ว เข้าใจแล้ว จึงรู้ว่าคำอื่นซึ่งต่างไปจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าใจเมื่อไร เมื่อนั้นก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
อ.อรรณพ ซาบซึ้งมากว่า นี่คือความเป็นเถรวาท เถรวาทะ ซึ่งเป็นหลักจริงๆ ที่ท่านอาจารย์แสดง นี่คือพระพุทธศาสนาเถรวาทที่มั่นคงในเหตุและผล ในพระธรรมคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ไปเชื่อใคร หรือไปคิดเปลี่ยนเอาเอง หรือไปยึดอะไรต่างๆ ตามความคิดไป นี่คือสาระแง่คิดที่ประเสริฐมาก จากการสังคายนาครั้งที่สอง
อ.วิชัย อาจารย์จักรกฤษณ์ก็ได้กล่าวถึง เหตุที่ให้มีการสังคายนาครั้งที่สอง ก็คือเนื่องจากภิกษุชาววัชชีได้ตั้งวัตถุ ๑๐ ประการนี้ขึ้นมา ซึ่งในสมัยนั้น ท่านยสกากัณฑกบุตรก็เป็นพระอรหันต์ ท่านก็เป็นพระเถระ ซึ่งท่านก็จาริกไป ในแคว้นวัชชีนั้นก็ได้ยินเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาว่า ภิกษุชาววัชชี้ได้ตั้งวัตถุ ๑๐ ประการ ซึ่งท่านก็รู้ว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่สมควรอยู่แล้ว เกิดสิ่งที่ไม่ดีงามขึ้นในพระศาสนาแล้ว ท่านไม่ได้เพิกเฉย ท่านคิดว่าต้องมีการที่จะชี้แจงแก้ไขให้ถูกต้อง ก็ได้กล่าวกับอุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ว่าเงินและทองไม่เหมาะสม ไม่สมควรแก่สมณะเชื้อสายศากยบุตร สมณะเชื้อสายศากยบุตรนั้น ไม่ยินดีในเงินและทอง ท่านก็ประกาศอย่างนี้
แต่อุบาสก อุบาสิกาในครั้งโน้น ไม่ได้เชื่อในถ้อยคำของท่านพระยสกากัณฑกบุตรเลย เป็นเหตุที่ท่านต้องไปหาผู้ที่ทรงคุณหลายๆ ท่าน ซึ่งเป็นพระอรหันต์ เป็นเถระ อย่างเช่น พระสัพพกามี เป็นต้น เป็นผู้ที่วิสัชนาในการสังคายนาครั้งที่สอง และพระเถระต่างๆ หลายท่าน รวมถึงพระเรวัตตะด้วย ซึ่งในการสังคายนาครั้งที่สอง ก็จะมีภิกษุที่ประชุมรวมกันกระทำสังคายนา ทั้งหมดเจ็ดร้อย เป็นพระอรหันต์ทั้งหมดเลย และที่สำคัญในการสังคายนาแต่ละครั้ง ก็จะมีอุบาสกที่เป็นพระราชา อย่างเช่นครั้งที่หนึ่ง ก็จะมีพระเจ้าอาชาตศัตรู เป็นผู้ที่ดูแลในการสังคายนา ซึ่งครั้งที่สอง ก็จะมีพระเจ้ากาลาโศกราช ในการที่จะดูแลในการกระทำสังคายนาครั้งที่สอง ที่แคว้นวัชชี ที่เกิดเรื่องขึ้นมา
อ.อรรณพ ครั้งที่สาม พระเจ้าอโศกมหาราช
อ.วิชัย ถูกต้อง
อ.อรรณพ สิ่งที่อาจารย์วิชัยกล่าวมานี้ก็ดีมาก เห็นว่าไม่ใช่เพียงแค่บรรพชิต แต่พุทธบริษัทที่เป็นคฤหัสถ์ก็เป็นส่วนสำคัญ ที่จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทให้มีแก่น ให้มีหลักอยู่ ส่วนความคิดที่แตกต่างไป ไปเปลี่ยนเขาไม่ได้ เขาต้องไปตั้งนิกายใหม่ ความเห็นใหม่ ลัทธิใหม่ แต่ยังไม่อาจที่จะทำลายแก่นหลัก ก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ นี่คือประโยชน์ของการสังคายนาจริงๆ
อ.วิชัย เพราะการแสดงครั้งแรก ๗ เดือน ครั้งที่สอง ๘ เดือน ก็เห็นถึง
อ.อรรณพ มากขึ้น
อ.วิชัย ก็มากขึ้น
อ.อรรณพ แต่ถ้าร้อยรูปก็เป็นเจ็ดเดือน จากเจ็ดเดือนก็เป็นแปดเดือน
อ.วิชัย ก็เห็นถึงคุณของพระเถระซึ่งจะรักษา สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องกล่าวว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้องแน่นอน เพราะจะมีการชี้แจงว่า ในแต่ละข้อๆ ถูกต้องหรือไม่ สมควรหรือไม่ ซึ่งพระเถระผู้ที่มีความมั่นคงในธรรมวินัย ก็แสดงว่าสิ่งที่ภิกษุชาววัชชีได้บัญญัติขึ้นมา เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นแม้อุบาสก อุบาสิกาที่เข้าใจพระธรรม ก็มีส่วนที่จะช่วยกันประกาศแสดง อย่างในกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่ว่าพระพุทธศาสนาเถรวาทในประเทศไทย ทั้งภาครัฐและประชาชนคือชาวพุทธ ก็ต้องอุปถัมภ์สนับสนุน แล้วก็ป้องกันการบ่อนทำลาย
ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุดก็คือ เถรวาทะเท่านั้นที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และก็มั่นคง เหตุการณ์ก็ผ่านมาและก็มีความเห็นต่างๆ ก็ยังมีการสังคายนา เพื่อชำระความเห็นที่ถูกต้องว่า ถ้าตามพระธรรมวินัยจริงๆ แล้วคืออย่างไร แม้ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม เพราะฉะนั้นไม่ว่าในคราวไหนก็ตาม ถ้ามีความประพฤติ การกระทำของชาวพุทธ คฤหัสถ์ทั้งหลายที่ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย หรือแม้พระภิกษุเอง ก็ถึงเวลาที่เราควรจะได้เปิดเผยความจริงว่า เถรวาทคืออะไร เพราะมิฉะนั้นใครจะรู้จักเถรวาท ไม่มีทางรู้จักเลย ใช่หรือไม่ เพราะว่าคนยุคนี้ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ต่างประเทศ ท่านกล่าวว่า คนยุคนี้สมัยนี้น่าแปลกที่นับถือพระ แต่ไม่นับถือพระธรรมวินัย จริงหรือไม่
เพราะฉะนั้นก็ถึงเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้เลย เถรวาทคืออะไร และก็มหายานต่างๆ กันไปมากมายนั้นคืออะไร ซึ่งเพราะความไม่รู้และความเห็นผิด ไม่ว่าในยุคไหน ในการสังคายนาครั้งที่หนึ่ง ก็เพราะไม่รู้ว่าเห็นผิด สังคายนาครั้งที่สอง ก็เพราะไม่รู้และความเห็นผิด ไม่ว่าในกาละใดทั้งสิ้น ถ้าผิดจากพระธรรมวินัยที่ได้ทรงแสดงไว้แล้ว และก็ผู้ที่ได้เข้าใจอย่างถูกต้องมั่นคง เห็นความจริงว่า ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ ไม่มีทางขัดเกลากิเลส ต้องไม่ลืมว่าจุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อได้รู้ความจริงที่จะดับกิเลส ทรงแสดงหนทางซึ่งใครก็ไม่รู้จักกิเลส ให้ได้รู้จัก และก็อดทนที่จะบำเพ็ญเพียรบารมีต่างๆ เพื่อสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ว่า อะไรถูกอะไรผิด
เพราะฉะนั้นเมื่อมีความเข้าใจผิดมานานแสนนาน พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเข้าใจถูก ไม่ว่าในยุคใดสมัยใด เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแต่เราคิดว่า เราจะรักษาเถรวาท แต่ต้องเข้าใจเถรวาท ถ้าไม่เข้าใจเถรวาท จะรักษาเถรวาทได้อย่างไร และถ้าไม่มีการที่จะศึกษาให้เข้าใจ พระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถูกปกปิด ไม่มีการกล่าวถึงเลยแต่ละข้อๆ เพราะฉะนั้นการที่เปิดเผยพระธรรม และพระวินัยให้กระจ่าง ให้คนได้รู้ชัด นั่นก็คือการที่จะดำรงรักษาคำสอน ซึ่งเป็นเถรวาท เพราะฉะนั้นทุกอย่างต้องตรงและจริงใจ ถ้าพูดว่าจะดำรงรักษาคำสอน รัฐธรรมนูญกล่าวไว้ว่าอย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา เผยแพร่พระธรรมคำสอน
ท่านอาจารย์ ไม่ลืม ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษา ไม่ใช่ส่งเสริมสนับสนุนความคิด ใครจะคิดอย่างไรก็ได้ ไม่ใช่ ต้องส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นเถรวาทะ ต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ จึงจะได้ประโยชน์มิฉะนั้นก็เปล่าประโยชน์ เพียงแค่พูดแต่ไม่รู้จักว่า เถรวาทคืออะไร จะรักษาได้อย่างไร ใช่หรือไม่
เพราะฉะนั้นต้องตรง ขณะนี้ชาวพุทธได้ยินคำของคนอื่นทั้งนั้น แล้วก็การประพฤติเป็นไป ไม่เป็นไปตามพระธรรมวินัย เพราะเข้าใจผิด เช่นสำนักปฏิบัติไม่มีในพระพุทธศาสนาเลย เพราะเหตุว่าปัญญาต้องอบรมเจริญตามลำดับ ขั้น ขั้นฟังยังไม่ใช่ปัญญาที่ถึงการที่จะประจักษ์แจ้งว่า ทุกคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถรู้จริงๆ ได้ จึงใช้คำว่า รู้แจ้งอริยสัจธรรม มีความลึกซึ้งมากมายไป ซึ่งต้องเป็นผู้ที่ตรงก่อนว่า จะรักษาเถรวาทต้องศึกษาก่อน ให้เข้าใจจริงๆ ว่า เถรวาทคืออะไร
อ.อรรณพ เมื่อได้กกล่าวถึงการสังคายนา เห็นพระคุณของพระเถระในยุคนั้น เเล้วการที่ท่านได้สืบต่อพระศาสนาจนมาถึงพวกเรา ก็ยังมีแก่นมีหลักมีข้อความที่เป็นประโยชน์นั้นอยู่ จะขอรบกวนอาจารย์จักรกฤษณ์พอสังเขปว่า นิกายต่างๆ ที่แตกออกไปจากพระพุทธศาสนาเถรวาทแล้วเห็นต่าง นิกายพวกนี้มีอะไรบ้าง
อ.จักรกฤษณ์ เริ่มจากที่ว่าทำตามครูบาอาจารย์ จะผิดจะถูกอย่างไรไม่สนใจ เอาตามอาจารย์เป็นหลัก ดังนั้นเขาก็แตกกลุ่มออกมา ก็จากภิกษุชาววัชชี ก็ไปรวบรวมสมัครพรรคพวกแตกออกไปเป็นนิกายหนึ่ง ต่อมาก็ตรงตามที่ท่านพระสารีบุตรได้เคยยกเรื่องนิครนถนาฏบุตร ที่เขาแตกออกมา เขาก็ทะเลาะกันก็แตกออกมาอีก เป็นอีกห้านิกายด้วยกัน
อ.อรรณพ เพราะว่าเชื่อครูอาจารย์
อ.จักรกฤษณ์ ใช่
อ.อรรณพ เพราะครูอาจารย์หลายๆ คนคิดต่างก็เป็นแตกๆ ออกไป
อ.จักรกฤษณ์ เพราะเชื่อครูบาอาจารย์ แต่ละคนก็มีความเห็นของตัวเอง มีทิฏฐิของตนเอง ใครถูกใจครูบาอาจารย์ไหนก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์นั้น สุดท้ายก็แตกออกทั้งหมดเลย ๑๘ นิกาย ตอนนั้นประมาณปีพ.ศ. ๒๐๐ ก็มีสิบแปดนิกายด้วยกันไม่นานเลย ปัจจุบันเราจะเห็นว่าจะมีเถรวาท ก็คือมั่นคงในคำสอนของพระพุทธองค์ ส่วนที่แตกๆ ออกไป ท่านใช้ชื่อว่า อาจริยวาท ก็คือ วาทของอาจารย์ เป็นลัทธิของอาจารย์แต่ละคน ก็แยกออกไปเลย เถรวาทเราอยู่ อีกสิบเจ็ดนิกายก็เป็นอาจริยวาท ก็เป็นลัทธิของอาจารย์ก็ใช้ชื่อว่า อาจริยวาท ซึ่งจริงๆ ผมอยากจะใช้คำว่า ไม่มั่นคงในวาทะ ซึ่งอาจจะต้องใช้คำนั้น
เพราะว่าอาจารย์ทั้งหลาย เขาเริ่มที่จะมีความเห็นที่นอกเหนือไปจากพระธรรมวินัย นอกเหนือไปจากคำสอนของพระพุทธองค์ มีข้อยกเว้น มีข้อเพิ่มเติมอะไรต่างๆ มันใช่พระพุทธสาสนาหรือไม่ ต้องตั้งคำถาม ถึงแม้ว่าจะใช้ชื่อ อย่างนี้ก็ตาม ตรงนี้เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาในรายละเอียดจริงๆ
ท่านอาจารย์ หลักธรรมดาก็คือว่า ถ้าไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ไม่ใช่เถรวาทแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นลัทธิ นิกายใดๆ ทั้งหมด เป็นไปด้วยความอยาก เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความเห็นที่ถูกต้อง แล้วจะละความเข้าใจผิดที่เคยเข้าใจผิดมานานแสนนานได้อย่างไร ถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็มีแต่ความอยาก
เพราะฉะนั้นนอกจากเถรวาท คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ว่าจะแตกไปอย่างไร ก็เพราะความไม่รู้และความอยาก เพราะฉะนั้นการสนทนาธรรม ก็สามารถที่จะทำให้รู้ได้ว่า ถ้าความเห็นของนิกายอื่นทั้งหลายกล่าวถึงอะไร และความจริงคืออะไร ทุกข้อชัดเจนมาก ไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลสเพราะเหตุว่าการรับเงินรับทองก็มีมานาน และนิกายอื่นทั้งหมด รับเงินทองใช่หรือไม่ ขัดเกลาหรือเปล่า
เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจถูกต้องว่า การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้ดับกิเลสถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง คือไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย
เพราะฉะนั้นคำสอนทุกคำเป็นไป เพื่อการค่อยๆ ขัดเกลา ละคลายกิเลส และกิเลสนี้ก็ลึกมาก เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตาม ซึ่งเป็นการแสดงความอยากหรือความต้องการ ไม่สามารถที่จะละความอยาก และความเห็นผิดที่ยังคงติดข้องอยู่ แม้แต่ในเรื่องที่อยากมากคือติดข้องในเงินและทอง ใช่หรือไม่ ติดข้องอย่างอื่นยังละเอียดกว่านี้อีก
อ.อรรณพ ซึ่งเป็นวิสัยของผู้ครองเรือนโดยแท้ด้วยเงินและทอง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ภิกษุ เพราะเหตุว่าไม่ได้ขัดเกลากิเลส และถ้าไม่ศึกษาพระธรรมวินัย การบวชไม่มีความหมายเลย ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้นพฤติกรรมว่า ใครเป็นภิกษุในธรรมวินัย หรือใครไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย ไม่ต้องไปคิดถึงเถรวาทหรือมหายาน เพราะเหตุว่าเพียงแค่ความประพฤติที่ไม่ใช่การขัดเกลาก็ไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย
อ.อรรณพ เชิญอาจารญ์คำปั่น
อ.คำปั่น อย่างที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาก็แสดงความชัดเจน ไม่ว่าจะสังคายนามากี่ครั้งก็ตาม ก็คือเพื่อความเข้าใจอย่างมั่นคงในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าใครก็ตามที่มีความเห็นอื่น มีความเห็นที่ไม่ตรงตามความจริง ก็คือผู้ที่ไม่มั่นคง ผู้ที่ไม่ตั้งมั่นในเถรวาท ซึ่งก็เป็นเรื่องของความไม่รู้ ความเห็นผิด ความอยาก ก็เป็นเรื่องของอกุศลธรรมทั้งหมดเลย
เพราะฉะนั้นที่มีการแตกเป็นนิกายต่างๆ ก็เป็นเรื่องของอกุศลธรรมล้วนๆ เลย เพราะไม่มีความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีความเข้าใจอย่างมั่นคงในเถรวาท ในการสังคายนาครั้งที่สอง ซึ่งท่านพระยสกากัณฑกบุตร ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านทราบเหตุการณ์ ท่านก็สามารถที่จะยกเถรวาทก็คือ ยกพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงที่สืบทอดสืบต่อมา โดยผู้ที่เป็นพระอรหันต์ทั้งหลายที่เห็นประโยชน์ที่จะดำรงรักษาพระธรรมคำสอนไว้ ท่านก็กล่าวยกข้อความทั้งหมดเลย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แล้วก็พระเถระ พระอรหันต์ทั้งหลายดำรงรักษาสืบต่อมา ตั้งแต่การกล่าวถึงมณิจูฬกสูตร ที่ได้สนทนากัน นายบ้านชื่อมณิจูฬกะ ที่อธิบายถึงความจริง อธิบายให้ราชบริษัทให้เข้าใจความจริงว่า พระภิกษุในธรรมวินัย ก่อนบวชท่านสละเงินและทองแล้ว เพราะฉะนั้นเมื่อบวชแล้วจึงจะมารับเงินและทองไม่ได้ แล้วก็ยังยกเอาสิกขาบท ซึ่งปรารภภิกษุชื่ออุปนันทศากยบุตร ซึ่งเป็นต้นบัญญัติในการบัญญัติสิกขาบท ในเรื่องของการรับเงินรับทอง มาชี้แจงมากล่าวให้ชาวเมือง ได้รู้ความจริง และแม้กระทั่งในการถามการตอบ ในเรื่องของการยกเอาเหตุการณ์ที่ไม่ตรงตามความเป็นจริงมาว่า ผิดพระวินัยข้อไหน ก็คือยกเอาพระวินัยบัญญัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ มาเป็นข้อพิจารณาความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นสิ่งใดก็ตามที่ทำผิดนอกจากนี้ก็คือ ไม่เป็นไปตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เถรวาท
อ.อรรณพ ซึ่งดีมาก ก็คือแสดงถึงแม้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่พระเถระทั้งหลายที่ท่านมั่นคงในธรรม เป็นธรรมเถระ ท่านก็มีพระธรรมวินัยเป็นศาสดา เมื่อท่านยก กล่าว แสดงธรรมวินัยให้ชาวเมืองฟัง ชาวเมืองจึงเข้าใจ จึงกล่าวว่า พระยสกากัณฑกบุตรเท่านั้นที่เป็นพระภิกษุในธรรมวินัย เป็นธรรมวาที แต่ก่อนหน้านั้นชาวเมืองก็ยังไม่เชื่อ อย่างที่อาจารย์วิชัยกล่าวในตอนแรก ท่านก็ไม่เชื่อว่า ชาวเมืองก็คงอยากจะเอาเงินเอาทองไปดูแลภิกษุ สมัยนี้ยิ่งหนัก เพราะฉะนั้นสมัยนี้ก็ต้องฟังจากประธรรมวินัยโดยตรง
เพราะฉะนั้นในเรื่องของการแยกนิกาย จะเรียนถามอาจารย์คำปั่น อาจารย์ก็ตอบไปเสียแล้วว่า ทำไมจึงมีการแยกนิกาย ก็เพราะอกุศลตัวสำคัญก็คือความไม่รู้ ความอยากและความเห็นผิด ทำให้แยกไป ยึดไปในลัทธิครูบาอาจารย์ต่างๆ จนเป็นอาจริยาวาท คำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ไปเป็นนิกาย เป็นลัทธิ เชิญอาจารย์จริยา
อ.จริยา ท่านผู้ชมท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วเวลาที่เราพูดกันถึงว่า เมื่อมีการแยกนิกาย จริงๆ ถ้าเราฟังมาตลอดเลย เราก็คงจะต้องเข้าใจว่าไม่น่าจะเรียกว่าแยกนิกาย เพราะนั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเรียกว่าพุทธศาสนาได้อย่างไร เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอน ไม่ได้ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ก็ไม่น่าที่จะเรียกว่านิกายโน้นนิกายนี้ แล้วก็ไม่น่าเรียกว่า พระพุทธศาสนาด้วย เพราะเหตุที่ว่าเมื่อไรที่ใช้คำว่า พระพุทธศาสนา ก็น่าที่จะต้องตรงตามพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดง ใช่หรือไม่ แต่เหตุไฉนจึงเรียกว่านิกายโน้นนิกายนี้
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า จริงๆ พระพุทธศาสนาก็น่าจะชัดเจนว่า จะต้องเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะ แล้วก็เป็นไปเพื่อที่จะเป็นอนุพุทธะ คือผู้รู้ตามคำสอน ทำไมจะต้องมีต่ออีก ถ้าเราจะบอกว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริง พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ทั้งๆ ที่พระพุทธศาสนา ก็น่าจะเป็นคำที่สมบูรณ์ในตัวแล้ว ว่าเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่อาจารย์จริยาท่านตั้งประเด็น
ท่านอาจารย์ ก็มีผู้ที่ประมาทแม้เป็นภิกษุ คิดว่าเขาเก่งกว่า หรือว่าเขาเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยพฤติกรรมและความเข้าใจที่ผิดจากนั้นก็คือว่า เป็นไปด้วยกิเลส ด้วยความไม่รู้ ด้วยความสำคัญตน ด้วยความอยากหรือความต้องการ เช่นเขาไม่เห็นโทษของการที่ภิกษุรับเงินและทอง แล้วพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ที่ทรงบัญญัติข้อนี้ เปรียบเทียบดูเขากับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาก็ไม่ได้นับถือเลย ไม่เป็นเถรวาทะที่มั่นคง จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่าเงินทองทำอันตรายแก่ตัวเองที่เป็นภิกษุ เพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่ไม่ตรง หลอกลวงตั้งแต่บวช การบวชเพื่อศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระวินัย แต่ถ้าภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมเลย เเล้วก็จะเป็นภิกษุได้อย่างไร
