005 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๕
ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นคฤหัสถ์ก็ต้องทำตามหน้าที่ของคฤหัสถ์ เป็นบรรพชิตก็ต้องทำตามพระวินัย เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์จะไปเกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัยหรือจะไปแต่งตั้งมหาเถรสมาคม โดยที่ในพระธรรมวินัยไม่มี ก็ไม่ถูกต้อง แต่ถ้าจะแต่งตั้งคณะบุคคลหรือองค์กร ที่จะดูแลรักษาพระศาสนาทุกเรื่อง ไม่ว่าจะมีเรื่องใดๆ ก็ตาม มีอีกมาก เช่นเมื่อภิกษุไม่รับเงินรับทองแล้ว เงินทองที่ได้มาที่จะให้เป็นไปตามพระธรรมวินัย หรือว่าต่อไปนี้จะทำอย่างไร เกี่ยวกับองค์กรนี้ คือให้คฤหัสถ์ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ตามพระธรรมวินัย และพระภิกษุท่านก็ทำหน้าที่ของท่านตามพระธรรมวินัย แต่ไม่ใช่ให้ฆราวาสไปทำหน้าที่ซึ่งเปลี่ยน ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ โดยไปใช้วิธีการของคฤหัสถ์
ท่านอาจารย์ ที่จะไปเกี่ยวข้องกับพระวินัยบัญญัติไม่ได้ ไปแก้ไขไม่ให้ตรงไม่ได้
อ.อรรณพ แต่ส่วนคฤหัสถ์ จะทำอย่างไรก็เป็นเรื่องของคฤหัสถ์ แต่คฤหัสถ์ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะไปปรับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ ไปแต่งตั้งเถรสมาคมหรืออะไร ซึ่งไม่ใช่หน้าที่ของคฤหัสถ์เลย และทำไม่ได้ด้วย เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัยไม่มีเถรสมาคม แต่มีพระธรรมวินัยสำหรับพระภิกษุทุกรูป เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจเรื่องธรรมวินัย ใช่หรือไม่ คฤหัสถ์ก็สงเคราะห์อนุเคราะห์ได้ เห็นการกระทำใดๆ ของพระภิกษุ ซึ่งไม่เป็นไปตามธรรมวินัย ก็เป็นหน้าที่ของคฤหัสถ์
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นในเรื่องของเถรวาท ก็คงจะได้เข้าใจแล้วว่า ในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ก็ได้มีการกล่าวไว้ว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นเถรวาท เราสนทนากันมาพอสมควรว่า เถรวาทคืออย่างไรไม่ใช่หมายความว่า เราจะไปคิดเอง ทำเอง ก็ต้องศึกษาตามพระธรรมวินัย ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ สาระสำคัญของ พระพุทธศาสนาเถรวาท มีความสูงค่าอย่างไร ที่เป็นแกนหลักของเถรวาท
ท่านอาจารย์ เป็นไปในสิ่งซึ่งใครก็ทำไม่ได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม เช่นการลับอยู่ หรือแม้แต่เพียงการละคลายกิเลส ตัวใหญ่ๆ ก็คือ ความไม่รู้ ไม่เข้าใจ นำมาซึ่งกิเลสทั้งหลาย เพราะฉะนั้นก็ไม่รู้อะไรเลย ถ้าไม่ได้ศึกษาพระธรรม ได้แต่ชื่อว่าเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า เถรวาท ก็ต้องรู้ชัด เถรวาทะ คำของผู้ที่เข้าใจอย่างมั่นคงในพระธรรมวินัย จึงจะสามารถดำรงพระศาสนาไว้ได้ แต่ถ้ามีความเข้าใจอย่างมั่นคง ก็ดำรงพระศาสนานี้ไว้ได้
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์จะช่วยยกตัวอย่างความเข้าใจอย่างมั่นคง เช่นเข้าใจอะไรๆ มั่นคง
ท่านอาจารย์ ทุกคำ ธรรมคืออะไร เดี๋ยวนี้มีหรือไม่ สำนักปฏิบัติคืออะไร ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าเป็นความเห็นผิด นี้คือความถูกต้องตามธรรมวินัยที่จะต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า อะไรคืออะไร ความเห็นผิดคืออย่างไร ความเห็นถูกคืออย่างไร
อ.อรรณพ ถ้าเราได้สนทนาย้อนไปว่า พระพุทธศาสนาเถรวาท ได้เริ่มสืบต่อกันอย่างไร แล้วทำไมต้องมีการแยกเป็นนิกายๆ ต่างๆ เมื่อสังคายนาครั้งหนึ่งก็คือแยกนิกายไปแล้ว สังคายนาอีกก็มีแยกๆ ไปอีก ตามความคิด ตามความเห็นของกลุ่มบุคคลต่างๆ ทั้งที่บวชเป็นภิกษุ โดยเฉพาะที่ไปบวชเป็นภิกษุ และมีความคิดเห็นแตกต่างกัน เลยแยกกันไปเป็นนิกาย นิกายแปลว่ากลุ่ม แปลว่าพวก ที่ต่างๆ กันไป อาจารย์จักรกฤษณ์จะช่วยลำดับเรื่องเหล่านี้เพื่อจะได้เห็นถึงการที่จะมาเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทจริงๆ และการที่แยกไปเป็นกลุ่มเป็นพวกหรือเป็นนิกายต่างๆ เป็นอย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ เรื่องนี้สำคัญ เพราะว่าที่เราได้สนทนากันมา จะเห็นได้ถึงความที่ผิดเพี้ยนไปของบรรดาพุทธบริษัท ทั้งภิกษุเอง แล้วก็ทางฆราวาสเองทำอะไรที่ไม่ตรงตามพระธรรมวินัย เรื่องนี้ก็สืบเนื่องมาจากความไม่มั่นคง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไว้นั่นเองว่า ถ้าผู้ไม่มั่นคงเกิดขึ้นก็เริ่มที่จะเปลี่ยนความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เริ่มที่จะเปลี่ยนอย่างที่ได้เกิดขึ้น แม้แต่ในสมัยพุทธกาลเอง เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันปรินิพพานได้ไม่กี่วัน ก็เริ่มที่จะมีผู้ที่ไม่มั่นคงแล้ว ที่จะทำอะไรตามอำเภอใจ จนกระทั่งเดือดร้อนถึงคณะสงฆ์ ท่านจะต้องทำการสังคายนา เพื่อที่จะให้พระธรรมท่านมั่นคงอยู่ ใช้เวลาหลายเดือน สังคายนาครั้งแรกประมาณ ๗ เดือน แล้วผู้ที่ดำเนินการสมัยนั้นก็เป็นพระอรหันต์ทั้ง ๕๐๐ รูป ดำเนินการที่จะให้คำสอนของพระพุทธองค์มั่นคงอยู่ เพื่อที่จะให้ตกทอดมายังรุ่นเรา รุ่นต่อๆ ไป
ถึงแม้กระนั้นก็ตาม ท่านพยายามที่จะทำทุกอย่างที่จะดำรงพระธรรมคำสอนของผู้พระพุทธองค์ให้อยู่ได้ จากนั้นเพียงร้อยปีเท่านั้นเอง ครั้งที่สองเริ่มขึ้นก็มีกลุ่มภิกษุ เรียกว่าภิกษุชาววัชชี มีความเห็น ๑๐ อย่างที่แตกต่างจากพระธรรมวินัยออกมา ยกตัวอย่างเช่นฉันอาหารได้หลังเที่ยง เลยเวลาเที่ยงมาไม่นาน ไม่ต้องนานก็ฉันได้ นี่เริ่มมีความเห็นที่ผิดไปแล้ว
อ.อรรณพ เริ่มคลอนแคลนในพระธรรมวินัย ไม่มั่นคง
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ เริ่มไม่มั่นคง อีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้สำคัญ แล้วก็เป็นเรื่องที่ปัจจุบันนี้คือทำให้เห็นว่าผิดพระธรรมวินัยมาจนกระทั่งปัจจุบันอย่างมากเลย ก็คือรับเงินรับทองได้ เป็นข้อหนึ่งที่ภิกษุมาตั้งแต่สมัยโน้นว่า
อ.อรรณพ พ.ศ.๑๐๐
อ.จักรกฤษณ์ ใช่
อ.อรรณพ ก็คิดจะรับเงินรับทองกัน
อ.จักรกฤษณ์ คิดจะรับเงินรับทองคิดกันแล้ว ว่าทำได้ ไม่ผิดพระธรรมวินัย
อ.วิชัย อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์กล่าวถึง แม้ก่อนการสังคายนาครั้งที่หนึ่งก็มี สุภัททวุฑฒบรรพชิต ที่กล่าวจ้วงจาบธรรมวินัย เป็นเหตุให้พระมหากัสสปะเถระ รวบรวมพระภิกษุกระทำสังคายนา โดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน แล้วมีพระอุบาลีเถระซึ่งเป็นเอตทัคคะทางด้านผู้ทรงพระวินัย เป็นผู้วิสัชนาพระวินัย และมีท่านพระอานนท์เถระเป็นผู้ที่วิสัชนาพระสูตรและอภิธรรม
แม้หลังการกระทำสังคายนาแล้ว อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์ว่าประมาณ ๗ เดือน ก็จะมีภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่า ปูรณะ ซึ่งจาริกมาพร้อมกับภิกษุประมาณ ๕๐๐ รูป แล้วภิกษุทั้งหลายก็แจ้งข่าวการกระทำสังคายนาโดยมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน แต่ภิกษุเหล่านี้ก็กล่าวว่า เขาจะยึดถือตามที่เขาได้ยินได้ฟังมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
อ.อรรณพ เขาบอกว่าจะยึดตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วต่างกันอย่างไร
อ.วิชัย หมายความว่า การสังคายนาคือการรวบรวมพระธรรมวินัย แต่ว่า ภิกษุผู้นี้ ก็จะถือเอาตามที่เขาได้ยินได้ฟังมาเท่านั้น
ท่านอาจารย์ ไม่เคารพในมติของสงฆ์
อ.วิชัย ไม่เคารพในมติของสงฆ์ในครั้งนี้ นี้คือเริ่มมีการที่จะมีความเห็นที่ต่างกันมาเเล้ว ใช่ไหม จนมาถึงครั้งที่สองที่ว่า ภิกษุชาววัชชีบัญญัติ ๑๐ ประการขึ้นมา
อ.อรรณพ ก็เห็นในพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งท่านเป็นสัพพัญญู ท่านรู้กาลล่วงหน้า ท่านถึงได้เห็นว่า พระมหากัสสปะจะเป็นประธานในการที่จะกระทำสังคายนา แล้วนอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระเถระตั้งแต่พระมหากัสสปะเป็นต้นมา ซึ่งท่านปรินิพพานหลังพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยมีโอกาสที่จะกระทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ก็คือ การรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดหมู่ เพื่อที่จะรักษาพระธรรมคำสอน เพราะฉะนั้นนี่เห็นความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท ท่านอาจารย์มีอะไรจะกล่าวตรงนี้หรือไม่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระเถระทั้งหลาย ท่านได้แสดงพระธรรม และรักษาพระธรรม ทำไมต้องสังคายนา
ท่านอาจารย์ กาลสมัยเปลี่ยนไป และเริ่มตั้งแต่ผู้ที่ไม่มั่นคงในครั้งพุทธกาล เพราะฉะนั้นหลังจากที่ปรินิพพานแล้ว ก็เป็นเรื่องที่แสดงถึงความไม่มั่นคงในธรรมเริ่มขึ้นอย่างไร มากน้อยอย่างไรมาตามลำดับ จนกระทั่งทรงพยากรณ์ว่า พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี แต่มีข้อแม้ว่า ต่อเมื่อมีผู้ที่ศึกษาเข้าใจพระธรรมและประพฤติปฏิบัติตาม ด้วยเหตุว่าถ้าขาดการศึกษา การเข้าใจ แล้วพระศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร ไม่ใช่ชื่อดำรงอยู่ ไม่ใช่ความเห็นผิดดำรงอยู่ แต่ความบริสุทธิ์ของพระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้ตลอด ๔๕ พรรษา ถ้ามีความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อน ก็เป็นการทำลายพระศาสนา ผุกร่อนไปเรื่อยๆ
อ.วิชัย อย่างที่อาจารย์อรรณพกล่าวถึง ความสำคัญของการรวบรวมพระธรรมวินัย ซึ่งแม้ในสมัยครั้งพุทธกาลเอง ก่อนที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีนิครนถนาฏบุตรซึ่งสิ้นชีวิตไป เหล่าสาวกทั้งหลายก็มีการทะเลาะวิวาทกัน ซึ่งก็เป็นเหตุให้ในสมัยที่พระองค์ประทับที่เมืองปาวาของพระเจ้ามัลละทั้งหลาย พระองค์ก็ให้ท่านพระสารีบุตรได้แสดงธรรม ซึ่งท่านพระสารีบุตรก็แสดงสังคีติสูตร เป็นการแสดงธรรมที่จะประมวลธรรมเป็นหมวดหมู่ต่างๆ ตั้งแต่หมวดที่หนึ่ง จนถึงหมวดที่สิบ แล้วพระองค์ก็ประธานสาธุการเท่านั้น ดังนั้นในกาลสมัยที่พระองค์เผยแพร่ตลอด ๔๕ พรรษา ประโยชน์ที่รวบรวมให้เป็นระเบียบ เป็นแบบแผนในการที่จะดำรงรักษาพระธรรมวินัยอย่างไรในคุณพระเถระต่างๆ
ท่านอาจารย์ พระองค์ทรงวางเหมือนแบบแผน โดยให้ท่านพระสารีบุตรเป็นผู้ที่แสดง ว่าธรรมที่ทรงแสดงไว้ ควรจัดเป็นหมวดหมู่อย่างไร ไม่ให้กระจัดกระจายไป
อ.อรรณพ ที่อาจารย์วิชัยได้ยกประเด็นนี้ขึ้นมา เป็นประเด็นที่สำคัญมาก ที่จะเห็นถึงความเริ่มของพระพุทธศาสนาเถรวาท ตั้งแต่พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ท่านก็เหมือนกับทรงวางแนวแบบแผนไว้แล้ว จากพระอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญาคือ ท่านพระสารีบุตร ที่จะรวบรวมพระธรรมวินัยที่แสดงไว้ในสังคีติสูตร ซึ่งเป็นแนวทางของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง คือพระพุทธศาสนาเถรวาท
เพราะฉะนั้นในครั้งที่หนึ่ง เมื่อได้ทราบจากข้อความในพระไตรปิฎก ในเรื่องของการสังคายนา โดยพระอรหันต์สาวกทั้ง ๕๐๐ สังคายนาถึง ๗ เดือน ก็เพื่อจะรักษาพระธรรมวินัย แต่สักครู่ที่กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ทำไมต้องสังคายนา เพราะมีคนคิดแตกแถว คิดแตกแถวที่ออกจากแนวพระธรรมวินัยตลอด แล้วยังอ้างว่าเป็นธรรมวินัย ที่อาจารย์วิชัยกล่าวถึงภิกษุ
อ.วิชัย ภิกษุปูรณะ ท่านก็จะถือเอาตามที่ท่านได้ยินได้ฟังมาอย่างไร
อ.อรรณพ แล้วก็อ้างว่า เขาได้ยินได้ฟังมา เขาไม่ฟังพระเถระทั้งหลายที่สังคายนา
ท่านอาจารย์ ท่านเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองเป็นเถระ เลยไม่ฟังใคร ไม่ฟังคำซึ่งพระเถระทั้งหลาย ได้เป็นผู้ที่เข้าใจประมวลรวบรวมไว้ทั้งหมด จะปฏิเสธคำอื่นที่ท่านไม่ได้ยินได้ฟังอย่างนั้นหรือ
อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ที่สนทนาต้องย้ำเลยว่า แม้พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์อยู่ ก็ยังวางแนวทางแบบแผนให้พระสารีบุตรรวบรวมพระธรรม แล้วท่านก็กล่าวสรรเสริญ
อ.วิชัย ในการวิสัชนาพระสูตร ท่านพระอานนท์ ท่านจะกล่าวขึ้นต้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้คือ จริงๆ แล้วไม่ใช่คำของท่านเลย
ท่านอาจารย์ ชัดเจนว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นเถระผู้มั่นคงในคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงมีคำว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
อ.วิชัย เป็นคำที่ลึกซึ้ง
อ.อรรณพ แสดงความเป็นเถรวาทะ ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ไม่ตก ไม่หล่น ไม่เพิ่ม ไม่เติม ส่วนที่จะขยายอย่างไรนั้นเดี๋ยวท่านก็จะมี สิ่งที่ได้ว่าระบบของท่านที่จะเป็นอรรถกถาอะไรด้วยความเคารพ ซึ่งเดี๋ยวเราคงได้สนทนากันต่อ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษาธรรมให้เข้าใจ จะเป็นเถรวาทะได้หรือไม่
อ.วิชัย ไม่ได้แน่
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง ก็สูญสิ้นไป อันตรธาน
อ.วิชัย เห็นถึงความเคารพในธรรมวินัยมาก แม้การสังคายนาท่านก็ความเคารพในธรรมวินัย ที่จะรักษาให้คงมั่นมากที่สุด
ท่านอาจารย์ ท่านทำกันตั้ง ๗ เดือน เพื่ออะไร
อ.อรรณพ เพื่อผู้ที่ในยุคหลังๆ จะได้มีโอกาสได้ยินได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้อง ที่ไม่บิดเบือน
ท่านอาจารย์ เห็นคุณของพระเถระหรือไม่ เพื่อเราจะได้ไม่เข้าใจผิด เพราะการที่จะเข้าใจคำว่าธรรมผิดไม่ยาก เพราะมีความไม่รู้และความต้องการ ที่ผิดจากความเป็นจริง ไม่สามารถทำให้รู้แจ้งในอริยสัจธรรมได้
อ.วิชัย ก่อนการทำสังคายนา พระมหากัสสปเถระ ท่านก็คิดว่าอนาคตกาล อวินัยจะรุ่งเรือง วินัยจักเสื่อมถอย อธรรมจะรุ่งเรือง ธรรมจะเสื่อมถอย ดูเหมือนกับว่ากาลสมัยก็ต้องเป็นอย่างนี้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้าท่านไม่กระทำไว้
อ.วิชัย ก็ยิ่งเสื่อมเร็วกว่า
อ.อรรณพ สรุปว่าถ้าไม่มีการสังคายนาครั้งที่หนึ่ง ป่านนี้คงไม่มีอะไรเหลือ
อ.วิชัย อย่างที่เชื่อมโยงในเหตุการณ์ที่จะเป็นเรื่องของการกระทำสังคายนาครั้งที่สอง อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์กล่าวคือ ภิกษุชาววัชชีก็จะเป็นเหตุในการที่จะให้มีการว่า ทำไมเป็นเหตุให้มีการผิดเพี้ยนจนบัญญัติอะไรต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งก็ไม่ตรง เป็นเหตุให้ต้องมีการรวบรวมเพื่อรักษาธรรมวินัยให้ถูกต้องมากที่สุด
อ.อรรณพ การสังคายนาครั้งที่สองเพียงร้อยปี ก็ควรค่าที่จะได้กล่าวถึง
ท่านอาจารย์ ภิกษุด้วย ชาววัชชีด้วย เพราะฉะนั้นยุคสมัยเดี๋ยวนี้จะเป็นอย่างไร
อ.อรรณพ ถ้าพูดถึงพระสูตรที่สำคัญ ต้นแบบของการกระทำการรวบรวมพระธรรมวินัย ตั้งแต่สมัยพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์อยู่ คือที่เราสนทนาไปเมื่อสักครู่ เรื่องสังคีติสูตร อาจารย์จักรกฤษณ์จะมีอะไรสนทนาเพิ่มเติม
อ.จักรกฤษณ์ ก่อนที่เราจะผ่านไปในเรื่องอื่น ผมอยากจะยกรายละเอียดในสังคีติสูตรมา ชี้ให้เห็นความสำคัญของการมีการรวบรวมพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อที่จะเก็บให้เป็นระบบ เพื่อให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป ซึ่งในพระสูตรนี้มีรายละเอียดที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญว่า มีความสำคัญอย่างไร ถ้าไม่ได้มีการรักษาพระธรรมคำสอนเอาไว้ จะเกิดความเสียหายอย่างไร ซึ่งตรงนี้อาจารย์วิชัยได้ยกตัวอย่างความเสื่อมของนิครนถนาฏบุตร ตอนนั้นที่เป็นลัทธิหนึ่ง แล้วก็ยกตัวอย่างมาว่า มันเสื่อมไปเพราะอะไร แล้วเห็นถึงความสำคัญของการที่จะต้องรวบรวมพระธรรมคำสอนไว้อย่างไร ซึ่งตรงนี้ผมขออนุญาตอ่านในส่วนที่สำคัญ ที่ท่านได้แสดงเอาไว้
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า ดูกร ผู้มีอายุทั้งหลาย นิครนถนาฏบุตรทำกาละแล้ว ที่พระนครปาวาไม่นานนัก เพราะกาลกิริยาของนิครนถนาฏบุตรนั้น ผู้คนจึงแตกกัน เกิดแยกกันเป็นสองพวก เกิดบาดหมางกัน เกิดทะเลาะวิวาทกันขึ้น เสียดแทงกันและกันด้วยหอกคือปากอยู่ว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึง ท่านจะรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้อย่างไร ท่านปฏิบัติผิด ข้าพเจ้าปฏิบัติถูก ถ้อยคำของข้าพเจ้าเป็นประโยชน์ ของท่านไม่เป็นประโยชน์ คำที่ควรจะกล่าวก่อนท่านกลับกล่าวภายหลัง คำที่ควรจะกล่าวภายหลังท่านกลับกล่าวก่อน ข้อที่ท่านเคยช่ำชองมาผันแปรไปแล้ว ข้าพเจ้าจับผิดวาทะของท่านได้แล้ว ข้าพเจ้าข่มท่านได้แล้ว จงถอนวาทะเสีย มิฉะนั้นจงแก้ไขเสีย
เป็นตัวอย่างที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงให้เห็นว่า เกิดความเสื่อมขึ้นเมื่อนิครนถนาฏบุตรได้ตายไปแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีการเก็บคำสอนอะไรต่างๆ เอาไว้ ก็มีการทะเลาะเบาะแว้ง แล้วก็อ้างว่าตัวเองถูกคนอื่นผิด โดยไม่สามารถที่จะหาหลักได้ ว่าหลักจริงๆ เป็นอย่างไร พระสารีบุตรท่านยกในส่วนนี้ขึ้นมาอธิบายให้เห็นถึงความสำคัญ แล้วท่านก็แสดงต่อไปว่า
พวกเราทั้งหมดด้วยกันพึงสังคายนา ก็คือรวบรวมพระธรรมให้เป็นหมวดหมู่ จัดให้เป็นลำดับ ไม่พึงกล่าวแก่งแย่งกันในธรรมนั้น การที่พรหมจรรย์นี้จะพึงยั่งยืนตั้งอยู่นาน นั้นพึงเป็นไปได้ เพื่อประโยชน์แก่ชนอันมาก เพื่อสุขแก่ชนอันมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้มีอายุทั้งหลายก็ทำอะไรเหล่านั้นที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว ประกาศดีแล้ว เป็นธรรมที่จะนำผู้ปฏิบัติให้ออกจากทุกข์ได้ เป็นไปเพื่อความสงบระงับ เป็นธรรมอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประกาศไว้แล้ว เป็นเหตุผลอันหนึ่งที่ท่านยกขึ้นมาให้เห็นความสำคัญว่า การกระทำสังคายนาเป็นประโยชน์อย่างมากอย่างไร แล้วก็ทำให้เห็นว่า เริ่มต้นในครั้งนั้นพระพุทธองค์ก็ยังไม่ได้ทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านก็มีการจัดหรือเตรียมการเอาไว้แล้วถึงความสำคัญตรงนี้ ดังนั้นในพระสูตรจึงแสดงให้เห็นว่า ความสำคัญจริงๆ ก็คือความที่พระธรรมคำสอนของท่านได้รับการรักษา แล้วก็ได้รับการปฏิบัติตรงตามพระธรรมคำสอนนั้นจริงๆ ไม่มีการไปแก้ไขบิดเบือนหรือว่าไปแต่งเติมอะไรใหม่ ซึ่งหลังจากนั้นเราจะได้สนทนากันต่อว่า มีการที่จะไปสร้างคำของตัวเองใหม่ แก้พระธรรมวินัยใหม่ จนทำให้เกิดเป็นนิกายต่างๆ ในภายหลัง ตรงนี้ยกมาให้เห็นความสำคัญของพระสูตรนี้ ที่ท่านแสดงเอาไว้ก่อนในเบื้องต้น
อ.อรรณพ ซึ่งก็เป็นพระสูตร ที่เตือนใจชาวพุทธมากๆ เลยว่า การที่พระธรรมจะสืบสานมาถึงพวกเราได้ ด้วยความละเอียดถี่ถ้วนของพระเถระตั้งแต่ในยุคพุทธกาล ที่ท่านได้สืบสานมา อย่างเช่นท่านพระสารีบุตร ซึ่งท่านก็เป็นผู้มีปัญญารองจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา ท่านก็เริ่มต้นแบบแผนการประมวลพระธรรมคำสอนไว้ ถ้าไม่มีการรวบรวม ไม่มีการประมวล ก็ต้องสูญสิ้นไป หรือต้องมีความแตกแยกกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือหลักธรรมคำสอนที่เป็นหลักธรรมจริงๆ เพราะฉะนั้นผมว่ามีประโยชน์มากเลย
อ.จักรกฤษณ์ เป็นเป็นตัวอย่างที่สำคัญมากๆ
อ.อรรณพ นั่นก็คือคำว่า สังคายนา สังคายนาก็แปลว่ารวบรวม
อ.คำปั่น สังคายนาหรือว่าสังคีติ หมายถึงการกล่าว การรวบรวมในสิ่งที่มีจริง ตรงตามความเป็นจริง ตรงตามพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แม้แต่ที่ท่านพระสารีบุตรได้แสดงในสังคีติสูตร ก็แสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ตั้งแต่หมวดหนึ่ง อย่างเช่นสัตว์ทั้งหลายดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร ก็มีความละเอียดตรงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
