002 พระพุทธศาสนา เถรวาท


    สนทนาพิเศษ

    เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๒


    อ.จริยา คำว่า เถรวาท นิยามอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่มาจากผู้ที่เข้าใจ ธรรมแตกฉาน แล้วก็ลึกซึ้ง เพราะว่าทุกคนก็จะมองว่า เถรวาทก็คือศาสนาพุทธ ต่างกับมหายาน เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์อรรณพถามว่า ได้พบเห็นอย่างไร ที่ไหนไหม ปัจจุบันก็จะมีมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาอยู่มาก ในมหาวิทยาลัยทั้งหลาย ถ้าเราลองค้นคำว่า เถรวาท เราก็จะพบว่าในมหาวิทยาลัยที่สอนพุทธศาสนา เขาก็จะมีเรื่องของพุทธศาสนาแบบเถรวาทไว้ น่าตกใจ เพราะเหตุที่ว่าดิฉันไม่แน่ใจว่าการเรียนการสอน ซึ่งเขาจะใช้คำว่า เรื่องการของการเปรียบเทียบ เปรยให้คนที่ศึกษาไปพิจารณา ไตร่ตรองเอง แต่ที่เรียนว่าน่าตกใจเพราะเหตุที่ว่า ใครละที่จะรู้คำว่า พุทธศาสนาเถรวาทคืออะไร ส่วนใหญ่ที่พบก็คือเป็นคำอธิบายความแตกต่างของเถรวาทกับมหายาน มีบางคำเราเห็นแล้วว่าคำอย่างนี้ถ้าอ่านแล้วเราจะเข้าใจอะไรได้ไหม ถ้าเราไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาเลย เราเพียงแต่อยากรู้ว่า เถรวาทคืออะไร เขาจะยกตัวอย่างสมมติว่า นิกายเถรวาทต้องการหลุดพ้นจากวัฏฏทุกข์อย่างรีบด่วน

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ อย่างนี้เป็นเถรวาท

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เลย นี่ไม่ใช่เถรวาทะแน่นอน เพราะฉะนั้นคำว่า เถรวาท ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง คือเข้าใจคำสอนของพระศาสดาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไม่เปลี่ยนสักคำ เพราะว่าคำหนึ่งเมื่อพูดแล้วจะมีคำอธิบายชัดเจนว่าเป็นอย่างนั้น แม้แต่คำว่า ธรรม ถ้าไม่รู้จักว่าธรรมคืออะไร ไม่มีทางที่จะเป็นเถรวาท เพราะฉะนั้นเถรวาทไม่ใช่ว่าเราตั้งขึ้นมาเฉยๆ ให้เป็นชื่อของนิกายที่ต่างกัน แต่เถรวาทะต้องเป็นคำของผู้ที่มีความเข้าใจศาสนาอย่างมั่นคง ไม่เปลี่ยน ตั้งแต่ในครั้งอดีตพระเถระทั้งหลาย และวาทะของท่านซึ่งมั่นคง และก็สืบทอดต่อมา เพราะฉะนั้นเมื่อไรก็ตามที่ตรงต่อความหมายที่แท้จริงของพระศาสนาเท่านั้น ตรงนั้นเป็นเถรวาทะ หรือเถรวาท ไม่ใช่ชื่อที่เรียกกัน ว่านี้เถรวาทแล้วมาแยกกันว่านี้มหานิกาย โดยที่ไม่เข้าใจว่าเถรวาทคืออะไร อย่างนี้ไม่ใช่เถรวาทแน่นอน

    อ.อรรณพ โดยรีบด่วน

    อ.จริยา ใช่

    ท่านอาจารย์ มีใครบ้างที่จะทำได้อย่างนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร ทรงรีบด่วนหรือเปล่า

    อ.จริยา ต้องการด้วย ต้องการการหลุดพ้น

    ท่านอาจารย์ แค่นี้ก็ผิดแล้ว ไม่ใช่เถรวาทแล้ว เพราะฉะนั้นมีใครรีบด่วนได้บ้างสำหรับการที่จะเข้าใจธรรม

    อ.จริยา ตรงนี้จึงเป็นเหตุให้เราต้องศึกษาแล้วก็ให้ความรู้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจเถรวาทก่อน คำที่ตรงต่อคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้อย่างหนักแน่นมั่นคง ไม่เปลี่ยน เพราะฉะนั้นไม่มีการที่จะรีบด่วน ไม่มีในคำสอนของพระพุทธศาสนาให้รีบด่วน

    อ.อรรณพ เราพบจุดที่เป็นปัญหาใหญ่ ก็คือว่า การเข้าใจเถรวาทหลากหลายไปตามความคิดของแต่ละคน อย่างเช่น เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งที่ท่านอาจารย์จริยาได้นำมากล่าว ก็เป็นความเข้าใจเถรวาทความคิด จะเรียกว่าส่วนบุคคลหรือกลุ่มบุคคลก็ได้ แต่ไม่ได้เป็นเถรวาท

    อ.จริยา แต่ก็เป็นกลุ่มคนที่ออกมาทางสื่อ

    อ.อรรณพ ก็จะเป็นที่เชื่อถือ

    อ.จริยา ใช่

    อ.อรรณพ เพราะสมัยนี้คนก็จะต้องเข้าไปในกูเกิล

    อ.จริยา ใช่

    อ.อรรณพ แล้วค้นคำว่า พุทธศาสนาเถรวาท ก็จะเจอข้อมูลอย่างนี้ ใช่ไหม ซึ่งไม่ได้ตรงตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นตอนนี้ประเด็นปัญหาคือว่า เถรวาทคืออะไร ที่ถูกต้อง

    อ.จริยา ใช่

    ท่านอาจารย์ เพราะเมื่อก่อนก็ใช้คำว่า เถรวาทโดยไม่รู้จักว่าเถรวาทคืออะไร เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่จะถูกต้องก็คือว่า ต้องให้มีความเข้าใจทุกคำ แม้แต่เถรวาท เมื่อชัดเจนแล้วก็จะรู้ได้ว่าเป็นเถรวาทหรือไม่เป็นเถรวาท ไม่ว่าในสมัยใดทั้งสิ้น

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นที่เราจะสนทนากันต่อไป ก็คงจะต้องอาศัยข้อความในพระไตรปิฎกที่จะแสดงให้เห็นถึง เถรวาทคืออย่างไร ซึ่งอาจารย์คำปั่นครับ เถรวาท เถรวาทะ ก็เป็นคำบาลี ก็คงจะต้องเริ่มกันตั้งแต่คำแปลก่อน แล้วก็อาศัยข้อความในพระไตรปิฎกที่จะเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออะไรกันแน่ ไม่ใช่ว่าใครคิดอะไร แล้วก็ไปเขียนนิยามไว้หลากหลายไปตามความคิดของแต่ละบุคคล แต่ตรงกับพระธรรมวินัยหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอนนี้จะอัญเชิญสาระข้อความจากพระไตรปิฏก ตั้งแต่ภาษาบาลี เพื่อให้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้ว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออะไร อาจารย์คำปั่น เถรวาทะครับ

    อ.คำปั่น ในช่วงต้นที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ตั้งแต่คำว่า พระพุทธศาสนา ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ว่า พระพุทธศาสนาก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง พระองค์ก็จะมีคำแต่ละคำที่จะอนุเคราะห์ เกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้เข้าใจอย่างถูกต้องตรงจากความเป็นจริง คำของพระองค์ทุกคำเป็นคำสัจจะ เป็นคำจริงที่ไม่มีใครเปลี่ยนแปลง เพราะว่าแต่ละคำเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ แล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ฟัง ผู้ศึกษา เพราะฉะนั้นคำจริงของพระองค์ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้

    ก็จะเห็นตั้งแต่ในเบื้องต้นว่า หลังจากที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้แล้ว ได้ทรงประกาศพระศาสนา ซึ่งก็มีพระสาวกซึ่งเป็นพระอรหันต์ทั้งหลายเกิดขึ้นในโลก ซึ่งในช่วงต้นก็จะมี ๖๐ รูปด้วยกัน ใช่ไหม ก็คือท่านภิกษุปัญจวัคคีย์ ๕ ท่าน แล้วก็พระยัสสะรวมถึงสหายของพระยัสสะอีกทั้งหมด ๕๕ ท่านรวมกัน พระปัญจวัคคีย์ ๕ พระยัสสะและพระสหายอีก ๕๕ รวมเป็น ๖๐ พร้อมกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น ๖๑ พระองค์ก็ทรงส่งพระสาวกทั้งหลายไปประกาศพระศาสนา ให้แสดงธรรมที่งามในเบื้องต้น ท่ามกลางและที่สุด เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลก และพระองค์ก็ตรัสไว้ชัดเจนว่า การไปประกาศพระศาสนา อย่าไปที่เดียวกันสองรูป เพราะเหตุว่าถ้าไปสองรูป รูปหนึ่งก็จะกล่าวธรรม อีกรูปหนึ่งก็จะยืนอยู่ เพราะฉะนั้นก็ไปที่ละหนึ่งรูป ก็เพราะว่าจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้อื่นได้มาก

    เพราะว่าผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมา ที่จะได้ฟังคำจริง มี เพราะฉะนั้นการกล่าวคำจริงตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟัง ได้ศึกษา ก็เป็นเหตุให้พระศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ตั้งแต่พระองค์ได้ประกาศพระศาสนา ส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา จนกระทั่งถึงวาระที่พระองค์ใกล้จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์โลกอย่างแท้จริง เพราะแต่ละคำที่กล่าวถึงนี้เป็นคำจริงโดยตลอด

    พระอริยะบุคคลทั้งหลาย ที่ท่านได้ประโยชน์จากพระธรรม ท่านก็เห็นถึง ประโยชน์ว่า พระศาสนาจะเป็นประโยชน์ตลอดชนรุ่นหลังก็คือ จะต้องมีการรวบรวม เรียบเรียง ให้เป็นหมวดเป็นหมู่ ซึ่งตั้งแต่การกระทำสังคายนาครั้งแรก โดยที่มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธานรวบรวมพระอรหันต์ทั้งหลาย ๕๐๐ รูป เพื่อที่จะทำการสังคายนา ก็คือการรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดเป็นหมู่ เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเพื่อประโยชน์จริงๆ

    เพราะฉะนั้นก็จะมีการสอบถาม ในส่วนของพระวินัย ในส่วนของพระสูตร ในส่วนของพระอภิธรรม โดยพระมหากัสสปะได้ถามพระวินัยกับพระอุบาลีว่า พระวินัยสิกขาบทนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ณ ที่ไหน ปรารภใคร เป็นต้น ในส่วนของพระสูตรกับพระอภิธรรมก็ได้ถามท่านพระอานนท์เถระ พระอานนท์เถระก็ได้กล่าวตามความเป็นจริงตั้งแต่ต้นว่า พระสูตรนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงที่ไหน ปรารภใคร ว่าด้วยเรื่องอะไร เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวถึง เป็นคำที่มั่นคงมาจากคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระเถระทั้งหลายล้วนเป็นพระอรหันต์ ความหมายหนึ่งของพระเถระก็คือผู้ที่มั่นคงสูงสุด ความมั่นคงจริงๆ ก็คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้นคำของผู้ที่มั่นคง ที่ได้ศึกษาธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ต้องมั่นคงตามพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นคำทั้งหมดที่พระเถระได้กล่าวในการกระทำสังคายนาที่มีการรวบรวมพระธรรมวินัยให้เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นคำพูดที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง เพราะว่าเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเถรวาทจึงเป็นคำสอนที่สืบทอดมาจากพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านทำการรวบรวมให้เป็นหมวดเป็นหมู่ เพื่อประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง ทั้งหมดเป็นคำจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

    ท่านอาจารย์ คุณคำปั่นค่ะ ถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม เป็นเถระได้หรือไม่

    อ.คำปั่น ไม่มีความเข้าใจธรรม เป็นเถระไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในครั้งพุทธกาล ท่านพระมหากัสสปะเถระ ท่านพระอานนท์เถระ ทั้งหมดของท่านแสดงคำ เถระ จะใช้สำหรับผู้ที่ได้มีความเข้าใจที่มั่นคง ขัดเกลากิเลสอย่างสูงสุดอย่างที่กล่าวถึงก็คือ ถึงความเป็นพระอรหันต์ แต่เมื่อยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ก็เป็นผู้ที่มั่นคงในหนทางที่จะทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เป็นพระโสดาบันก็เป็นเถระที่มั่นคง เพราะฉะนั้นเถระนี่ไม่ใช่เป็นคำที่ใครจะใช้ได้ โดยที่ว่าไม่มีความรู้อะไรเลย

    อ.อรรณพ ก็เรียกกันไปว่าพระเถระ

    ท่านอาจารย์ ก็เรียกกันไปว่าพระเถระ ผิดตั้งแต่ต้น คือเรียกคนที่ไม่รู้พระธรรมว่าเป็นเถระ

    อ.อรรณพ เชิญอาจารย์จริยา

    อ.จริยา ในปัจจุบันคำว่า เถระ พระเถระที่เรียกกันว่า มีพรรษา ๑๐ เรียกว่าเถระ ก็ไม่ใช่ ไม่ตรงตามธรรมวินัย ใช่หรือไม่

    อ.คำปั่น ต้องกล่าวถึงข้อความในพระไตรปิฎก ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงถึงความหมายของเถระว่า จำแนกออกเป็นกี่ประเภท ซึ่งก็ได้ทรงแสดงไว้ในทีฆนิกาย ที่แสดงถึงว่ามีเถระ ๓ ประเภท ก็คือหนึ่ งชาติเถระ ก็คือเป็นการกล่าวถึงภิกษุที่เป็นเถระโดยการเกิด ก็คือการบวชในพระธรรมวินัย อย่างเช่นที่กล่าวถึง มีอายุพรรษา ๑๐ ขึ้นไปก็เป็นเถระโดยการเกิด คือการบวชในพระธรรมวินัยที่มีอายุพรรษามากพอควร ที่แสดงถึงว่า ผู้นี้จะมีความมั่นคงในพระธรรมวินัยมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับผู้นั้นด้วย ว่าจะมีโอกาสได้ศึกษา ได้มีความเข้าใจธรรมมากน้อยแค่ไหน แต่ว่าโดยการนับอายุพรรษาก็แสดงถึงด้วยว่ามีอายุพรรษาเท่านี้ คือถึงความเป็นเถระตามพระวินัย ก็คือมีพรรษา ๑๐ ขึ้นไป นี้คือกล่าวถึงชาติเถระ เถระประการที่สอง ก็คือสัมมติเถระ ก็คือหมายรู้กันว่า ผู้นี้เป็นเถระ ซึ่งในที่นั้นแสดงว่าเป็นผู้ที่บวชเมื่อแก่ นี้คือเป็นเถระเหมือนกัน แต่เป็นเถระโดยความเป็นผู้บวชเมื่อแก่ แต่ความหมายจริงๆ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงมุ่งหมายถึงในพระสูตรนี้ ที่แสดงถึงความเป็นเถระจริงๆ ก็คือ ธรรมเถระ ก็คือเป็นเถระโดยคุณธรรม แสดงถึงผู้ที่เห็นประโยชน์ของการที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจ แล้วก็ได้รับประโยชน์จากพระธรรมตามกำลังปัญญาของตนเอง ถึงความเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น จนถึงสูงสุดคือความเป็นพระอรหันต์ เป็นธรรมเถระ

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นเถระที่มุ่งถึงเถรวาทะ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท พระเถระที่สืบต่อพระศาสนาจะต้องหมายถึง

    อ.คำปั่น ธรรมเถระ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็คือมั่นคง ความเดิมของคำว่า เถระ เปลี่ยนไม่ได้เลย ก็คือคำว่ามั่นคง มั่นคงโดยการที่บวชกี่พรรษา ใช่หรือไม่ ก็ถือเอาความมั่นคงว่า ยังคงอยู่ในพระธรรมวินัย ใช่ไหม ก็รู้เลยโดยนัยนั้นทั่วๆ ไป แล้วก็มั่นคงโดยการเป็นผู้ที่สูงวัยแล้วก็บวชก็เท่านั้นเอง ใช่หรือไม่ ที่ว่าเป็นผู้ที่สูงวัยอย่างคนชรา คนแก่ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นในทางพระศาสนาก็เรียกว่าผู้นี้ก็บวชเมื่ออายุเท่านั้นเท่านี้ก็เป็นเถระ แต่ว่าทั้งหมดนี้ในทั้งหมดไม่ใช่ ธรรมเถระ เพราะธรรมเถระก็คือว่าที่จะดำรงพระศาสนาต่อไป ไม่ใช่เพียงแต่ว่าบวชมานานกี่พรรษาก็ได้ แต่ไม่เข้าใจธรรม นั่นก็ไม่มีประโยชน์ ใช่ไหม เพราะว่าไม่สามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้ เพียงแค่ว่าบวชไปเรื่อยๆ โดยที่ว่าอบรมอะไรตามพระวินัยแล้วแต่ความสามารถของบุคคลนั้น ใช่ไหม แต่จะถึงความเป็นเถระเมื่อมีความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม จะบวชโดยการที่ว่าบวชนานหรือว่าโดยอายุมากแล้วมาบวช แต่จะถึงความเป็นธรรมเถระก็ต่อเมื่อได้มีความเข้าใจธรรม ซึ่งจะดำรงพระศาสนาไว้ก็ด้วยธรรมเถระเท่านั้น

    อ.อรรณพ เพราะนั้นธรรมเถระก็คือ มั่นคงในความเป็นธรรมนั่นเอง ใช่หรือไม่

    ท่านอาจารย์ แน่นอน

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าเราเรียกๆ กันว่าพระเถระ ก็แล้วแต่ว่าจะบวชมามากพรรษา หรือว่าอายุเยอะแล้วก็มาบวช ก็เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็เรียกกันได้ แต่ความเป็นเถระจริงๆ ที่จะมั่นคงในธรรม ก็คือธรรมเถระ ก็ต้องเป็นปัญญาที่มีความเข้าใจในธรรมอย่างมั่นคง จึงจะเป็นผู้สืบต่อพระธรรมคำสอนโดยตรงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ดำรงสืบไปได้ นั่นคือ ธรรมเถระ

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นยุคนี้มีเถระอะไร

    อ.คำปั่น ยุคนี้ก็จะมี ชาติเถระคือบวชมีอายุพรรษามาก แล้วภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ก็มี แต่ว่าผู้ที่เข้าใจธรรมต้องพิจารณาว่าศึกษาหรือเปล่า เข้าใจถูกต้องหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็คือไม่มี

    ท่านอาจารย์ ถ้าเถระสองแบบต้น ใช่ไหม ชาติเถระที่บวชนาน

    อ.อรรณพ ผู้ที่บวชนาน ตามพรรษา

    ท่านอาจารย์ มีเยอะแยะเลย แล้วผู้ที่บวชเมื่อสูงวัยก็มีเยอะแยะ แต่ที่จะเป็นธรรมเถระมีน้อย หรือมาก นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเหตุว่าถ้าเพียงแต่บวชนานๆ แต่ไม่มีความเข้าใจธรรมพอที่จะมั่นคง ไม่เป็นธรรมเถระ แต่จะบวชกี่วันก็ตามแต่ ถ้ามีความเข้าใจในธรรมมั่นคง นั่นก็คือธรรมเถระ ไม่ว่าเขาจะบวชนานเท่าไร ไม่ว่าจะมีอายุเท่าไรก็ตาม ด้วยเหตุนี้ต้องเข้าใจคำว่าเถระ ถ้าเราจะกล่าวถึงเถระนั้นเถระนี้โดยวัย หรือว่าโดยบวชนานเท่านั้นเอง แต่ว่าไม่ใช่ธรรมเถระ ถ้าไม่มีความเข้าใจ

    อ.วิชัย เพราะฉะนั้นบุคคลที่จะทราบว่าบุคคลใดเป็นเถระก็คือ จากคำพูด การแสดงความเข้าใจของตนเอง และความประพฤติเป็นไปว่าถูกต้องตามธรรมวินัยหรือเปล่า

    ท่านอาจารย์ ถ้าบวชนาน สูงวัย แต่ประพฤติผิดธรรมวินัย

    อ.วิชัย ก็ไม่ใช่เถระ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ภิกษุด้วย

    อ.อรรณพ ไม่ใช่ธรรมเถระ ไม่ใช่ภิกษุ ก็เรียกๆ กันไป

    ท่านอาจารย์ และใช้คำว่าภิกษุ เป็นคำที่มีความหมายที่เหนือกว่าที่เราคิด เป็นผู้ที่สละอกุศลกิเลสทั้งหลาย อุทิศชีวิตของตน ใช่ไหม ที่จะศึกษาพระธรรมในเพศที่สูงยิ่ง ที่จะสามารถดึงความเป็นพระอรหันต์ได้ เพราะฉะนั้นคำว่าภิกษุก็เป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ทุกอย่าง ไม่ใช่อย่างที่เราคิดว่า อยากจะบวชก็บวชเป็นพระภิกษุ แต่นั่นไม่ใช่ภิกษุจริงๆ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวถึงคำว่า ภิกษุ ภิกษุความหมายหนึ่งก็คือผู้ขอ แต่ว่าคนทุกคนที่เป็นผู้ขอไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัยจริงๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นในความหมายของภิกษุคือผู้ขอ ผู้ขออย่างประเสริฐคืออย่างไร ไม่ใช่ว่าใครๆ ก็ขอ ก็มีพระสูตร อยากให้อาจารย์คำปั่นได้กล่าวถึงด้วย ที่มีพราหมณ์ท่านหนึ่งเขาก็มีชีวิตเพื่อขอ แล้วเขาก็เห็นพุทธเจ้าตรัสเรียกพระภิกษุในธรรมวินัยว่า ภิกษุๆ ดูกรภิกษุ เขาก็อยากจะบอกว่า ให้เรียกเขาเป็นภิกษุด้วย

    ท่านอาจารย์ เห็นกิเลสไหม แค่คำว่า ภิกขุ ก็อยากให้เรียกคนอื่นเรียกตัวเองว่า ภิกษุ

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์มาแทรกตรงนี้ให้เห็นเลยว่า คนอยากจะบวชเป็นภิกษุ แล้วก็คิดง่ายๆ ว่า ถ้าห่มจีวรหรืออย่างนี้หรือจะอะไรก็แล้วแต่ แล้วก็มีชีวิตด้วยการขอ เพียงแค่มีชีวิตด้วยการขอ จะเป็นภิกษุได้หรือไม่ อย่างไร อาจารย์คำปั่นช่วยกล่าวถึงพระสูตรตรงนี้ จะได้ขยายความว่า จริงๆ ภิกษุคืออะไร

    อ.คำปั่น มีข้อความที่ปรากฏในขุททกนิกายคาถาธรรมบท คือเรื่องของพราหมณ์คนหนึ่ง ซึ่งพราหมณ์คนนี้ก็มีความประพฤติก็คือขอผู้อื่นในการเลี้ยงชีพ ท่านก็เห็นว่าพระภิกษุในพระพุทธศาสนาก็คือผู้ขอ ซึ่งความหมายหนึ่งของภิกษุ คือผู้ขอ แต่ผู้ขอในที่นี้ไม่ได้ขอแบบขอทาน แต่ว่าขอโดยคุณธรรม โดยความประพฤติที่เหมาะควร คล้อยตามพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะได้รับการอนุเคราะห์จากผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ ที่จะได้ถวายสิ่งที่เหมาะควรในการที่จะทำให้ชีวิตเป็นไปได้ เพื่อที่จะได้ศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญาขัดเกลากิเลสของตนเอง นี่คือความหมายที่แท้จริงของภิกขุ ที่โดยความหมายว่าผู้ขอก็คือ โดยคุณธรรม โดยความประพฤติที่เป็นไปตามพระธรรมวินัย ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมีความหมายที่ลึกซึ้งอีกมากมาย ผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ผู้ที่สละ ผู้ที่สามารถดับกิเลสทั้งหลายได้ ดับโลภะ โทสะ โมหะ ได้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะเป็นผู้ควรได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ความหมายหนึ่งที่สอดคล้องกันตั้งแต่ต้นก็คือผู้ที่ประพฤติคุณความดีในเพราะการขอ เพราะเหตุว่าได้อาศัยศรัทธาจากชาวบ้านแล้ว ก็มีความประพฤติที่เหมาะสมควรตามที่ได้ตั้งใจว่า จะศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสในเพศที่สูงยิ่ง นี้คือความหมายของภิกษุหรือว่าภิกขุทั้งหมด

    พราหมณ์ท่านนี้เมื่อเห็นว่า พระภิกษุในพระพุทธศาสนาก็มีความเป็นไปด้วยการขอ ท่านก็อยากจะให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรียกท่านว่าเป็นภิกษุบ้าง ก็เลยเข้าไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กราบทูลเรื่องนี้ให้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงทราบ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสแสดงความจริงว่า เราหาเรียกบุคคลที่เป็นผู้ว่าเป็นภิกษุเพียงโดยอาการขอก็หามิได้ หมายความว่าเพียงแค่การขอจะเป็นภิกษุก็ไม่ใช่ แต่พระองค์ตรัสว่า ใครก็ตามที่เป็นผู้ที่มีปัญญา รู้ธรรมตามความเป็นจริงผู้นั้นคือภิกษุ ในอรรถกถา ก็ได้แสดงไว้ว่า ใครก็ตามที่สมาทานธรรมที่มีพิษ ผู้นั่นไม่ใช่ภิกษุ ซึ่งธรรมที่มีพิษก็คืออกุศลทั้งหมดเป็นธรรมที่มีพิษ แสดงถึงความชัดเจนว่าใครคือภิกษุ ใครไม่ใช่ภิกษุ แล้วการแสดงธรรมในครั้งนี้ ก็เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังก็คือ ได้บรรลุธรรมมากมาย


    หมายเลข 10965
    8 มิ.ย. 2568