001 พระพุทธศาสนา เถรวาท
สนทนาพิเศษ
เรื่องพระพุทธศาสนาเถรวาท
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑
อ.อรรณพ สวัสดีครับท่านผู้ชมรายการบ้านธัมมะทุกท่าน เราคงพอทราบกันบ้างว่า พระพุทธศาสนาในประเทศไทยที่เรานับถือกันอยู่ทุกวันนี้ เป็นแบบเถรวาท แต่ความจริงแล้ว ความเป็นเถรวาทคืออย่างไร และมีคุณค่าสูงสุดอย่างไร แบบไหนที่ใช่ แล้วแบบไหนที่ไม่ใช่เถรวาท แล้วตามข้อกฎหมายได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาเถรวาท และนิกายอื่นๆ ไว้อย่างไรบ้าง และที่สำคัญ พระพุทธศาสนาเถรวาทกำลังถูกทำลายจนถึงขั้นวิกฤตอย่างไร และเราในฐานะชาวพุทธ จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทไว้ได้อย่างไร ที่จะทำให้พระศาสนานี้ได้ดำรงสืบต่อๆ ไป
ดังนั้นการสนทนาพิเศษในวันนี้ ก็เป็นโอกาสที่ดียิ่ง ที่เราจะได้มีการพูดคุยกันให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องชัดเจนในประเด็นต่างๆ ในหัวข้อ พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท กับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ท่านนักกฎหมายและวิทยากรของมูลนิธิ กราบท่านอาจารย์ และท่านวิทยากรครับ
ประเด็นแรกที่เราควรที่จะทราบว่า ทำไมถึงจะต้องมีการมาสนทนาเรื่องพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เพราะตามข้อกำหนดในกฎหมาย ได้มีการกล่าวถึงพระพุทธศาสนาในเมืองไทยที่เป็นแบบเถรวาท เราควรจะทราบก่อนว่า ข้อกฎหมายได้กล่าวถึงพระพุทธศาสนาเถรวาทไว้อย่างไรบ้าง แล้วจึงจะได้เข้าใจว่าความเป็นเถรวาทจริงๆ คืออย่างไร เพราะถึงแม้จะมีกฎหมายกำหนด แต่ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเถรวาท ก็ไม่ใช่เถรวาท เพราะฉะนั้นลำดับแรกอาจารย์จักรกฤษณ์ ขอเรียนอาจารย์ได้กล่าวถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาเถรวาทว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีอะไรบ้าง
อ.จักรกฤษณ์ กฎหมายล่าสุดที่มีความสำคัญมากก็คือ รัฐธรรมนูญ ใหม่ล่าสุด สักครู่ท่านอาจารย์จริยาจะได้ขยายความตรงนี้ว่า รัฐธรรมนูญนี้มีความสำคัญอย่างไร แล้วมีการระบุเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา แล้วก็ระบุด้วยว่าเป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
อ.อรรณพ อันนี้มีระบุไว้เลย
อ.จักรกฤษณ์ มีระบุไว้เลย ซึ่งรัฐธรรมนูญของบ้านเรามีหลายฉบับ สมัยก่อนจะมีสองฉบับที่น่าสนใจ แต่ไม่ได้กล่าวถึงคำว่าพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทไว้เลย และฉบับล่าสุดที่เพิ่งมีการบังคับใช้ เขียนไว้ชัดเจนอย่างนี้โดยสั้นๆ ว่า รัฐธรรมนูญในมาตรา ๖๗ บอกว่า รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นหน้าที่ของรัฐด้วย ส่วนศาสนาอื่นก็มีการอุปถัมภ์กันอยู่ตามปกติ เพราะในรัฐธรรมนูญจะระบุว่า รัฐจะอุปถัมภ์และคุ้มครองทุกศาสนา ใช่ไหม อันนี้ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ที่สำคัญก็คือหน้าที่ส่งเสริม สนับสนุน แล้วก็เผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นหน้าที่ของรัฐ แล้วก็ต้องเป็นหน้าที่ของชาวพุทธเราด้วย ตรงนี้สำคัญที่สุด แล้วเราจะได้มีรายละเอียดว่าจริงๆ เราจะสนับสนุน ส่งเสริม เผยแพร่พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทได้อย่างไร เราก็จะต้องทราบก่อนว่า พระพุทธศาสนาแบบเถรวาทคืออย่างไร ไม่เช่นนั้นเราไปสนับสนุนหรือเผยแพร่อะไรก็ไม่ทราบใช่ไหม
อ.อรรณพ กลายเป็นการเผยแพร่สิ่งที่ไม่ใช่ใช่เถรวาท แต่ในชื่อของเถรวาท
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ผิดไปเลยก็มี ในเนื้อหาอาจจะไม่ใช่เลยด้วยซ้ำไป แต่โดยชื่อที่อาจารย์อรรณพกล่าว ก็ใช้ชื่อว่า เถรวาท ชื่อได้แต่ในเนื้อหาสาระที่หน่วยงานของรัฐหรือว่าชาวพุทธ ประชาชนชาวไทยที่จะสนับสนุน และให้การศึกษาและเผยแพร่จะเป็นเถรวาทหรือไม่ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญที่จะนำไปสู่รายละเอียดต่างๆ
สิ่งแรกก็คือรัฐธรรมนูญของประเทศไทยกำหนดไว้เลยในชื่อของพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นหน้าที่ที่ต้องให้การสนับสนุน ให้การศึกษาและเผยแพร่ ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญก่อน
อ.อรรณพ ต้องเรียนอาจารย์จริยา ได้กล่าวถึงในรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับเถรวาท
อ.จริยา อย่างที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ได้กล่าวถึงว่า ปกติรัฐธรรมนูญทุกฉบับจะเขียนไว้ว่า รัฐพึงอุปถัมภ์และส่งเสริมพุทธศาสนาและศาสนาอื่น แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับที่เพิ่งประกาศใช้ปี ๖๐ ก็ได้เขียนไว้ค่อนข้างชัดเจน อย่างที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์สรุปไว้ ดิฉันขออนุญาตท่านอาจารย์อ่านนิดหนึ่งเพื่อจะให้เห็นชัดว่า ทำไมเราจะต้องมาศึกษา เป็นหน้าที่ของเราหรืออย่างไร เขียนไว้บอกว่า
ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษา และการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เผยแผ่หลักธรรมด้วย ไม่ใช่ส่งเสริมเฉยๆ เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา ไม่ว่าในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นตรงนี้ชัดเจนว่า เมื่อไรที่เราชาวพุทธเห็นว่ามีการทำลายพุทธศาสนา เราควรที่จะต้องร่วมมือกัน ช่วยกัน อย่างที่มูลนิธิกำลังดำเนินการ และยังเขียนต่อไป ตรงนี้เป็นคำที่ดิฉันคิดว่า เป็นสิ่งที่มูลนิธิต้องตระหนักอยู่เลยว่า จะต้องทำอะไร เพราะคำที่เขียนต่อไปคือ รัฐพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกดังกล่าวด้วย กลไกอะไร กลไกในการที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาเถรวาทอย่างถูกต้อง
เพราะฉะนั้นหน้าที่ของมูลนิธิ เราก็ทราบกันอยู่แล้วว่า มีหน้าที่ศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นเมื่อรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างนี้ การที่มูลนิธิพยายามที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมที่ถูกต้องตามพระธรรมวินัยก็เป็นการเผยแพร่ เพราะฉะนั้นบัดนี้รัฐธรรมนูญได้เขียนไว้แล้วว่า พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ศาสนาเถรวาท เถรวาทคืออย่างไร ซึ่งดิฉันคิดว่าคนทั้งหลายก็อาจจะไม่เข้าใจ ก็ฟังไป ก็คิดว่าที่เห็นกันอยู่นี่แหละคือเถรวาท เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ได้นำประเด็นนี้มาศึกษา คนก็ยังเข้าใจผิด แล้วถ้าเราได้ดูในเรื่องของพุทธศาสนาเถรวาทในที่ต่างๆ ที่เขียนไว้ เราก็จะเห็นได้ว่า ดิฉันคิดว่ายังเป็นคำที่ใช้กันไม่ถูกต้อง ความเข้าใจยังไม่มี ซึ่งเราก็จะต้องสนทนากันต่อไป
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นในข้อกฎหมายได้มีระบุไว้ชัดเจนว่า พระพุทธศาสนาแบบเถรวาท เป็นพระพุทธศาสนาที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือกัน แล้วก็ภาครัฐ ภาคส่วนต่างๆ ควรที่จะอุปถัมภ์สนับสนุน และป้องกันการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเถรวาท แต่พระพุทธศาสนาเถรวาทที่แท้จริงคืออย่างไร อันนี้สำคัญ เพราะตามกฎหมายมีระบุไว้แล้ว ในเรื่องพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นแบบเถรวาท เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่เราจะสนทนากันอย่างละเอียดชัดเจนก็คือ ความเป็นเถรวาทคืออย่างไร กราบเรียนท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า คนคุ้นหูกับคำว่า พระพุทธศาสนา แต่ก็ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาจริงๆ คืออะไร ได้ยินว่าคำไหน เถรวาท มหายาน ก็ไม่มีความรู้อีกว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว คนที่เกิดมา แล้วก็มีพ่อแม่ที่นับถือพุทธ ก็นับถือพุทธตามกัน แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่มีทางที่จะเข้าใจจริงๆ แม้แต่พระพุทธศาสนาและเถรวาท พระพุทธศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่คำของคนอื่น ไม่ใช่คำของเถระ แต่ต้องเป็นพุทธะ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็นพุทธศาสนา แต่ว่าในครั้งพุทธกาลก็มีผู้ที่ได้เข้าใจพระธรรมอย่างมั่นคง อบรมเจริญปัญญา ขัดเกลากิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านเหล่านั้นเป็นเถระแน่นอน หมายความว่าเป็นผู้ที่มั่นคงไม่มีการเปลี่ยนเลย
เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นเถรวาทะต้องหมายความว่าเป็นด้วยปัญญา ที่สามารถจะเข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่คลาดเคลื่อน แล้วก็เป็นผู้ที่มั่นคงและการที่จะเข้าใจจริงๆ แต่ละคำอย่างถูกต้อง และอบรมเจริญปัญญาเพื่อขัดเกลากิเลส หลักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ อนุเคราะห์ให้คนที่มีกิเลสมากๆ แล้วหมดหนทาง ไม่รู้จะละกิเลสด้วยตัวเองได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากิเลสจะไปละกิเลสไม่ได้ แต่เมื่อมีการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว คำของพระองค์เป็นคำจริงทุกคำ แต่ลึกซึ้ง
เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าใจจริงๆ ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง เถระตั้งแต่เริ่มที่จะฟังพระธรรม ก็คือว่าฟังด้วยการพิจารณา ไตร่ตรอง ว่าคำนั้นมีจริงๆ พิสูจน์ได้เข้าใจได้ทุกกาลสมัย แต่ความต่างกันของผู้ที่เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับผู้ที่เพิ่งเริ่มจะฟังหรือเป็นสาวก ห่างไกลกันมาก เพราะฉะนั้นความมั่นคงของการที่จะต้องเป็นผู้ที่อดทน ซึ่งเป็นบารมี เป็นขันติบารมี และสัจจบารมี ถ้าใครไม่มี ไม่มีทางที่จะเข้าใจพระพุทธศาสนา แล้วจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อที่จะขัดเกลากิเลสก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ส่วนใหญ่คนจะลืมว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อละคลาย ขัดเกลากิเลส เพราะทุกคนพอได้ยินคำว่ากิเลส ชอบหรือไม่
อ.จริยา ไม่ชอบ
ท่านอาจารย์ แต่จริงๆ ชอบหรือไม่
อ.จริยา ชอบ
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ บอกว่าไม่ชอบกิเลส แต่กำลังเรียน
อ.อรรณพ เหมือนกับไม่ชอบชื่อกิเลส
ท่านอาจารย์ ไม่รู้จัก
อ.อรรณพ แต่กำลังมีสภาพกิเลส
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจริงๆ ถ้าไม่ตรง แล้วไม่จริงใจ ที่จะขัดเกลากิเลส จะศึกษาพระธรรมคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออะไร เพียงเพื่อเข้าใจเท่านั้นหรือ แต่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่เพียงให้ใครเข้าใจธรรม แต่เพื่อให้เขาสามารถที่จะดับ ซึ่งทุกคนก็ไม่ปฏิเสธ ใช่ไหม ว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ควรละ แต่ละเองไม่ได้ ต้องพึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความมั่นคง ความลึกซึ้งของพระธรรม และสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นธรรมมากมาย
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีบารมี คือธรรมที่จะทำให้สามารถเข้าถึงความจริงของสภาพธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดง เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะไปดับกิเลส โดยการไปสำนักปฏิบัติ อยู่ที่นั่นสัก ๕ วัน ๗ วัน และก็ไปประจักษ์ความจริง อะไรก็ไม่รู้ เพราะเหตุว่าไม่มีปัญญาตั้งแต่เริ่มเพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วธรรมคือเดี๋ยวนี้ และคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเดี๋ยวนี้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจธรรม ก็ไปหาอะไรที่ไหน จะไปรู้แจ้งอริยสัจจะก็เป็นไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาทั้งหมด ก็เป็นเพียงชื่อ ซึ่งความลึกซึ้งมีมาก นี่คือเถระ เพราะฉะนั้นผู้ที่มีความมั่นคง จนถึงความเป็นพระอรหันต์ดับกิเลสได้ วาทะของท่านเป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ด้วยเหตุนี้ในครั้งพุทธกาล มีพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงเป็นประมุข ไม่มีเถรวาทะ ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ๘ เถรวาทะ หรืออะไร แต่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรงๆ แต่ผู้ที่มีความเข้าใจมั่นคงเป็นเถระ เพราะฉะนั้นคำของเถระทั้งหลาย ก็มั่นคง ตามคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้
ด้วยเหตุนี้คำใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อปัญญาตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้ ที่จะต้องศึกษาอย่างละเอียด คำนั้นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และผู้กล่าวก็จะเป็นเถระไม่ได้ เพราะฉะนั้นคำนั้นก็ไม่ใช่เถรวาทะ เพราะฉะนั้นเถรวาทะคือ คำของผู้ที่เข้าใจธรรมแจ่มแจ้งโดยละเอียดมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง
เพราะฉะนั้นภายหลังต่อมา หลังจากที่กาลเวลาผ่านไป ก็มีผู้ที่แตกแยก เพราะเหตุว่าถึงแม้ในครั้งพุทธกาลก็มีผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม แม้ว่าจะบวชในพระศาสนาเป็นภิกษุ ก็ยังเข้าใจผิด เพราะความลึกซึ้งของธรรม นี่เป็นเหตุที่เราจะประมาทไม่ได้เลย ความลึกซึ้งจริงๆ ต้องมาก ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวเรื่องชื่อ เรื่องราวต่างๆ แล้วก็จะคิดว่าเข้าใจ แต่ต้องเข้าใจจริงๆ ว่าเรามั่นคงหรือเปล่า มั่นคงในการที่กล่าวทุกคำตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งไม่เปลี่ยน ถ้าเปลี่ยนเมื่อไร ไม่ใช่วาทะของผู้ที่มีความมั่นคง ไม่ใช่เถรวาทะ แต่ว่าพระพุทธศาสนาก็คงเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งถ้าทุกคนมั่นคงก็จะไม่มีคำอื่น แต่เพราะเหตุว่าบางคนก็มั่นคง เข้าใจได้ในความลึกซึ้งของธรรม อบรมด้วยบารมีจนกว่าจะเข้าใจจริงๆ ซึ่งต้องครบทั้ง ๑๐ ซึ่งนอกจากสัจจบารมีเป็นผู้ตรง ขันติบารมี วิริยบารมี อธิษฐานบารมี ต้องมั่นคงจริงๆ ว่าไม่เปลี่ยน ถึงแม้ว่าธรรมจะลึกซึ้งแล้วยาก ต้องยาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี ทุกคนต้องบำเพ็ญบารมี มิฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะถึงความเข้าใจธรรมได้ ด้วยเหตุนี้ก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า หลังจากที่มีความเห็นต่างๆ ความเห็นที่ไม่ตรงกับความเห็นที่ตรง คำที่ตรงเท่านั้นที่เป็นเถรวาทะ
เพราะฉะนั้นการที่รัฐบาล ต้องการที่จะให้ชาวพุทธ ได้เข้าใจธรรม ได้เผยแพร่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่มีใครไปเปลี่ยนแปลงให้เป็นอื่นได้ ก็เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ก็ไม่เป็นไปตามกฎหมาย
อ.อรรณพ เพราะโดยกฎหมายชัดเจนว่าพระพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นแบบเถรวาท ทั้งภาครัฐและภาคประชาชนทั้งหลายมีหน้าที่อุปถัมภ์ สนับสนุน และป้องกันการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาเถรวาท แต่ถ้าไม่ได้เป็นพระพุทธศาสนาเถรวาท แต่ใช้คำว่า เถรวาท ก็ไม่ตรงตามข้อกฎหมาย ใช่หรือไม่
อ.จริยา ใช่
อ.จักรกฤษณ์ เนื่องจากรัฐธรรมนูญก็จะมีถ้อยคำหลากหลาย ปกติกฎหมายบางคำอาจจะมีคำนิยามใช่ไหม
อ.จริยา ใช่
อ.จักรกฤษณ์ นิยามว่า คำๆ นี้มีความหมายว่าอย่างไร เมื่อสักครู่นี้ท่านอาจารย์ได้ให้คำนิยามของคำว่า เถรวาท ไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า เถรวาทหมายถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่พระอรหันต์ท่านที่มั่นคงในคำสอน ท่านได้ถ่ายทอดสืบต่อคำสอนนี้ จะรบกวนท่านอาจารย์กำหนดลงไปเป็นคำนิยามที่ชัดเจนสักนิดว่าอย่างไร
ท่านอาจารย์ พุทธศาสนาเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยาก ละเอียด ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจได้ต้องเป็นผู้ที่มั่นคง เถระ ในภาษาบาลีหมายความว่ามั่นคง เพราะฉะนั้นเถรวาทะ คำของผู้ที่มั่นคงแล้วจริงๆ จะไม่เปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยสักคำ คำสอนทุกคำต้องตรง ละเอียดลึกซึ้ง เป็นไปเพื่อการละคลายกิเลส ซึ่งกิเลสมากมายมหาศาล ถ้าไม่มีการที่จะมีความเพียร มีความจริงใจ มีความเคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะไม่เข้าใจผิดจากคำที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว รักษาคำของพระองค์ไว้อย่างมั่นคง แต่พระศาสนาไม่ใช่คำของเถระ เป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้ที่เป็นเถระ มีความมั่นคงแล้ว ไม่เปลี่ยนคำสอน
เพราะฉะนั้นในสมัยพุทธกาลที่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน ไม่มีคำว่า เถรวาท แต่ว่าเถระคือความมั่นคง วาทะของใครที่พูดถูกต้องก็เป็นเถรวาททั้งนั้น ใช่ไหม เพราะฉะนั้นผู้ที่มั่นคงแล้วก็เป็นเถรวาท วาทะที่มั่นคง แม้ว่าพระองค์ปรินิพพานแล้ว แต่ทุกคำของเถระ ซึ่งได้กล่าวคำนั้นอย่างมั่นคงก็เป็นเถรวาท ถึงแม้ยุคนี้สมัยนี้ใครที่ได้เข้าใจธรรมแล้ว ก็เข้าใจอย่างมั่นคง ผู้นั้นก็เคารพในเถรวาทะ ซึ่งในการสังคายนาก็พระอรหันต์ทั้งนั้น เป็นถึงท่านพระอานนท์เถระ ท่านพระมหากัสสปะเถระ เพราะฉะนั้นเถระต้องหมายความถึงผู้ที่มั่นคงจริงๆ
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญ ตอนนี้คงไม่ใช่อยู่ที่กฎหมายแล้ว เพราะกฎหมายชัดเจนว่า เป็นพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท แต่ในความหมาย หรือจะเรียกว่าคำนิยาม ซึ่งทั่วไปเราอาจจะไปค้นจากสื่อต่างๆ หรืออะไรต่างๆ ที่ให้ความหมายของคำว่า เถรวาท ไว้ อาจารย์ได้พบ หรือนิยามคำจำกัดความของคำว่า เถรวาท บ้างหรือไม่ แล้วถูกต้องตรงตามพระธรรมวินัยหรือไม่ เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าเข้าใจเถรวาทไม่ถูก กฎหมายก็เลยกลายเป็นการสนับสนุนสิ่งที่ผิด แล้วคนก็ทำผิดกฎหมายด้วย เพราะต้องกฎหมายและพระธรรมวินัย พระธรรมวินัยจะเป็นสิ่งที่บอกไว้ชัดเจนว่า เถรวาทคืออย่างไร ถ้าไม่ทำตามเถรวาท ตามพระธรรมวินัย ก็เป็นการผิดทั้งพระธรรมวินัย แล้วก็ผิดตามวัตถุประสงค์ข้อกฎหมายด้วย แต่ว่าความหมายของเถรวาทหลากหลายมาก
อ.จริยา ถ้าพูดถึงในเรื่องของกฎหมายก่อน คำว่า เถรวาท ไม่มีแน่ๆ ไม่ว่าในกฎหมายคณะสงฆ์ เพิ่งจะมาปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เวลาที่เราเขียนกฎหมาย อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์กล่าวเมื่อสักครู่ว่า ปกติเมื่อไรที่กฏหมายมีคำที่ยังกำกวม ไม่ทราบว่าจะแปลไปทางซ้ายหรือทางขวา ก็จะเขียนนิยาม แต่ก็น่าขำสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงกฎหมาย เพราะบางคำอาจจะนิยามให้มองแล้วอย่างไรก็ไม่เป็นอย่างนั้น สมมติว่าดิฉันจะลองนิยามคำหนึ่ง ดิฉันบอกว่า แก้ว แต่ไม่ใช่แก้ว ดิฉันก็นิยามได้ เพราะอะไร ใช้เฉพาะในกฎหมายนั้นๆ ในเวลานิยาม จะใช้ในเฉพาะกฎหมายนั้นๆ ว่า คำนิยามคำนี้จะใช้ในกฎหมายนี้เท่านั้น เป็นต้นว่า คำว่า รัฐ รัฐบาล ถ้าเราไม่ได้นิยามเลย เราก็จะมีความหมายกันตามพจนานุกรม แต่เมื่อไรที่กฎหมายฉบับไหนต้องการให้คำว่า รัฐบาล มีความหมายต่างไปก็จะนิยามคำนั้น กลับมาหาคำว่า เถรวาท คำว่าเถรวาท นิยามอย่างไรๆ ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่มาจากผู้ที่เข้าใจธรรม
