เป็นชาวพุทธด้วยปัญญา


    เป็นชาวพุทธได้ด้วยปัญญาจากการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่ทำอะไรด้วยความไม่รู้ เช่น สวดมนต์ตามๆ กัน โดยไม่ได้มีความเข้าใจในแต่ละคำที่สวดเลย หรืออยากจะบวช หรือไปสำนักปฎิบัตินุ่งขาวห่มขาว ด้วยความไม่รู้ทั้งสิ้น ซึ่งก็ไม่ใช่เป็นชาวพุทธเลย


    อ.อรรณพ สวดมนต์ เพื่อให้พ้นภัย ได้หรือไม่

    ท่านอาจารย์ ทั้งสองคนตอบดู ว่าคำตอบเหมือนกันหรือไม่ เชิญเลย

    ผู้ฟัง ๑ ไม่ได้

    ผู้ฟัง ๒ ไม่ได้

    อ.อรรณพ ไม่ได้เพราะอะไร

    ผู้ฟัง ไม่ได้เพราะเราไม่รู้ ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

    อ.อรรณพ ไปตามเหตุตามปัจจัย และจะพ้นภัยได้ด้วยอะไร

    ผู้ฟัง ด้วยความรู้

    อ.อรรณพ ความรู้

    ท่านอาจารย์ กลัวผีไหม

    ผู้ฟัง กลัว

    อ.อรรณพ ตรงมากเลย

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ สอบถามเพิ่มเติม การสวดมนต์ สวดมนต์เพื่อที่จะให้พ้นจากภัยพิบัติต่างๆ ก็มี หรือตอนนี้กำลังกระทำกันทุกปี จะให้สวดมนต์ข้ามปี เพื่อสิริมงคลขึ้นปีใหม่

    ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักสักคำ แต่ก็พูด สวดคืออะไร มนต์คืออะไร สิริมงคลคืออะไร รู้หรือไม่ ถ้ารู้จะไม่พูดคำนี้เลยว่า สวดมนต์เพื่อสิริมงคล เพราะจริงๆ แล้ว เข้าใจไหมคำที่พูด หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นพูดคำที่ไม่รู้จักแล้วจะพ้นภัยหรือ เป็นไปได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นผู้ที่มีเหตุผล ก่อนจะทำอะไรต้องรู้ ว่าคำพูดนั้น ถูกหรือผิด เป็นประโยชน์หรือเปล่า

    คนไทยคุ้นหูกับคำนี้มาก คือพูดคำที่ใครก็ไม่รู้จัก แล้วพูดหลายๆ คำด้วย แล้วก็เป็นทำนองไปด้วย พอได้ยิน เสียงก็ไม่เหมือนปกติ คำก็ไม่ใช่คำที่คุ้นหู ก็บอกว่านั้นสวดมนต์ เพราะฉะนั้นก็เข้าใจว่าสวดมนต์คือ พูดคำที่ไม่รู้จัก แต่ตามความเป็นจริง สวดคืออะไร มนหรือมันตะ มันตาคืออะไร เชิญคุณคำปั่น

    อ.คำปั่น ที่กล่าวถึงสวด มาจากคำภาษาบาลีว่า สัด ชา ยะ คือการสาธยายซึ่งในที่นี้ หมายถึงการกล่าวเป็นลำดับด้วยดี ทบทวนเป็นลำดับด้วยดี แสดงว่าต้องเป็นผู้ได้ฟัง ได้เข้าใจในคำที่กล่าวถึงนั้น นี่คือความหมายของ สัด ชา ยะ หรือว่าการสาธยาย ก็คือเป็นการกล่าว ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ในคำที่ได้ยิน ได้ฟัง เป็นการทบทวนไม่ให้ลืม ในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จะด้วยการออกเสียง หรือว่าไม่ออกเสียงก็ได้ นี่คือความหมาย ส่วนคำว่ามนต์ มาจากคำว่า มันตะ (มนฺต) หมายถึงปัญญาตรัสรู้ ซึ่งก็เป็นพระปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    เพราะฉะนั้นพระธรรมแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นมนต์ เพราะว่าเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระสูตรต่างๆ ที่ได้ยิน ได้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของมงคลสูตร ในเรื่องของกรณียเมตตสูตร รัตนสูตร เป็นต้น ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ใช่เพียงแค่เอามากล่าว มาสวดกันเท่านั้น แต่ว่าทั้งหมดเพื่อความเข้าใจความจริง ด้วยการศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำ ที่ได้ยิน ได้ฟัง สาธยายมนต์ก็คือกล่าวทบทวนในพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังนั่นเอง ไม่ใช่การทำอะไรด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่กล่าวคำที่ไม่รู้จัก

    ท่านอาจารย์ เราอยากจะนั่งฟังคำที่เราไม่รู้เรื่องไหม เหมือนกับว่าเราอยากไปสวดมนต์ คือพูดคำที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้จักเลยทั้งสิ้น แต่คำใดก็ตามที่บอกว่าสวดมนต์เป็นสิริมงคล ก็ต้องรู้ว่ามนต์ มันตะ เป็นปัญญา เพราะฉะนั้นต้องพูดเรื่องสิ่งที่มี ให้เข้าใจถูกต้อง จึงเป็นการสมควร ในภาษาของตนๆ เพราะฉะนั้นทั้งหมด ตัวอย่างที่ใช้คำว่าสวดมนต์ และสวดอะไร มงคลสูตรข้อที่หนึ่ง สวดได้ไหม อเสวนา จ พาลานํ ไม่เสวนา ไม่คบคนพาล ถ้าไม่รู้ความหมายจะเป็นมงคลหรือไม่ ก็คบคนพาลอยู่นั่นเอง แล้วไม่รู้ด้วยว่าใครเป็นพาล และใครเป็นบัณฑิต คือไม่ใช่พาล

    เพราะฉะนั้นพระธรรมทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันตะเป็นปัญญาทั้งหมด ไม่มีซักคำซึ่งไม่ให้เข้าใจความจริง ของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ ใช้ภาษาที่คนที่ฟังขณะนั้น สามารถเข้าใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน พูดกับใคร ก็ต้องใช้ภาษาที่คนสามารถฟังเข้าใจ ถ้าเราจะไปพูดภาษาบาลีกัน ทั้งๆ ที่เราก็ไม่เข้าใจ จะมีประโยชน์ไหม ผิดก็ไม่รู้ ถูกก็ไม่รู้ รับรองได้ มีตั้งหลายคนที่เขาพูดคำภาษาบาลีผิดๆ ลองใจ คนฟังก็สาธุ ทั้งๆ ที่ผิด ก็เป็นไปได้ ทั้งหมดเพราะความไม่รู้

    ด้วยเหตุนี้ในบรรดาสิ่งทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งสิ้นที่เกิด ปัญญาประเสริฐสุด เพราะเหตุว่าสามารถจะเข้าใจสิ่งซึ่งถูกปกปิดไว้ ด้วยความไม่รู้ อยู่ดีๆ จะให้ใครสามารถที่จะเข้าใจ ว่าเห็นขณะนี้แค่เกิด และดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลย ตั้งนานแสนนานก็เป็นอย่างนี้ ต่อไปก็เป็นอย่างนี้ ใครสามารถจะรู้เองได้ ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ปัญญาจึงมีหลายระดับ ปัญญาที่สูงสุด คือปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ละยุคสมัย จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์ไม่ได้ เพราะเหตุว่าพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ ไม่ว่าใคร จะอยู่แสนไกล แต่ว่าถ้าพระองค์เสด็จไปให้เขาได้ฟังคำ ฟังคำ คิดดู คำนั้นจะมีประโยชน์ไหม เขาสามารถที่จะเข้าใจรู้ความจริงได้ พระมหากรุณาเสด็จไปให้เขาได้ฟังคำ แล้วเรามีโอกาสที่จะได้ฟังเมื่อไร อาจจะไม่ยากเลย แค่เปิดวิทยุ เปิดโทรทัศน์ หรือทราบว่าที่ไหนมีสนทนาธรรม ก็เห็นประโยชน์ว่าเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่มานั่งพูดคำที่ไม่รู้จัก หรือมานั่งชักชวนให้นุ่งขาว ห่มขาว แล้วก็ไปทำอะไร เดิน ยืน และก็นอน แล้วก็นั่ง แล้วก็เพ่งจ้องอะไร ทั้งหมดไม่ได้มีความเข้าใจ สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้

    แต่ว่าพระธรรมคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ พูดถึงสิ่งที่กำลังมี จากการที่ไม่เคยรู้เลย จนกระทั่งค่อยๆ รู้ขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ผู้นั้นรู้เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่รู้ตามไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นสาวก คือผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเมื่อมีผู้แสดงความจริงกับผู้ใดที่ฟัง แล้วเข้าใจเห็นถูก ก็จะมีผู้ที่มีศรัทธา จิตผ่องใส รู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด มีความเห็นถูกต้องเกิดขึ้น ก็สามารถที่จะรู้จักตัวเอง รู้จักตัวเองแค่ไหนทุกคน ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่รู้จักเลย ไม่รู้จักจริงๆ ทุกอย่างเป็นเราไปหมดเลย แต่ความจริงไม่มีเราเลย เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมแล้ว ไม่มีทางที่ใครจะรู้ความจริง ของสิ่งซึ่งถูกปกปิดไว้นานแสนนาน ถ้าจะเปรียบเทียบ อุปมาความหนาของความไม่รู้ ก็ยิ่งกว่าจักรวาล

    เพราะฉะนั้นแต่ละคำที่ได้ฟังแต่ละชาติ ก็จะค่อยๆ มีความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย มั่นคงขึ้น เช่นวันนี้ถ้าถามว่า รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย ไม่เข้าใจเลย ก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นหนทางเดียว ที่จะรู้จักพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงเรื่องเห็น เรื่องได้ยินอย่างนี้แหล่ะ ธรรมดาอย่างนี้ เกิดขึ้น และดับไป นี่คือให้เห็นว่าไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความจริงด้วยตนเอง แต่ต้องอาศัยการฟังแล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น

    แค่รู้ว่าเป็นธรรม มีประโยชน์ไหม หรือใครบอกว่าเสียเวลาวันนี้ทั้งวัน ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าเป็นผู้ตรง จากการที่เคยคิดว่าธรรมคืออย่างนั้น ธรรมคืออย่างนี้ แต่ธรรมถึงที่สุด ก็คือสิ่งที่มีจริงทั้งหมดไม่ว่าอะไร เป็นสิ่งที่เกิดขึ้น และก็ดับไป และก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วทั้งหมดก็ต้องจากไป แม้แต่รูปร่างกายที่ถือว่าเป็นเราเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รักมากเลย ทะนุถนอม จะอ้วน จะผอม จะท้องเสีย จะตามองไม่เห็น มืดมัว ทั้งหมดเป็นที่รักอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่เราเลยสักอย่าง และก็ไม่มีเรา แล้วก็ไม่ใช่ของเราด้วย

    ฟังเริ่มต้นจากการไตร่ตรอง ว่าจริงไหม เมื่อเป็นความจริง การเข้าใจความจริงคือความเห็นที่ถูกต้อง มีมากน้อยตามที่ได้ฟัง ถ้าได้ฟังอีก เพิ่มความเข้าใจขึ้นอีก ละคลายความไม่รู้ และความเป็นเรา ซึ่งเป็นเหตุของความทุกข์ ซึ่งเป็นภัย ทีละเล็กทีละน้อย ประโยชน์ของการฟังธรรมคือเข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม จะบวชหรือไม่ จะปฏิบัติธรรมไหม ไปสำนักปฏิบัติ นุ่งขาว ห่มขาวหรือไม่

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ อยากให้คนอื่นบวชไหม

    ผู้ฟัง ถ้าเขาไม่รู้ว่า บวชคืออะไร ก็ไม่ไห้ปวช

    ท่านอาจารย์ มีหลายคน ที่อยากให้มีคนบวชมากๆ ถูกต้องไหม

    ผู้ฟัง ไม่ถูกต้อง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม แม้แต่เด็กยังรู้ ว่าไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าจะไปชวนใคร บอกใครให้บวชมากๆ จำนวนเท่านั้น เท่านี้ แต่ถ้าไม่รู้ว่าบวชคืออะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ไม่รู้สักอย่างเดียว แล้วบวชอะไรกัน

    อ.อรรณพ น้องเคน ถ้าเขาเกณฑ์กันมาบวชสักล้านคน โดยที่เขาไม่ได้เข้าใจว่า การบวชคืออะไร จะเป็นการรักษาพระพุทธศาสนาได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    ท่านอาจารย์ แม้เด็กอายุ ๘ ขวบ ยังสามารถที่จะเข้าใจเหตุ และผล และความถูกต้องได้ เพราะว่าถูกต้องถูก และก็ผิดก็ต้องผิด

    อ.คำปั่น น้องเคน แล้วอะไร ที่จะเป็นการดำรงรักษาไว้ซึ่งพระพุทธศาสนา

    ผู้ฟัง ต้องรักษาโดยใช้ความรู้

    อ.อรรณพ ความรู้ ความเข้าใจ จากการศึกษา การฟังการพิจารณาไตร่ตรอง ซึ่งตอนนี้กำลังทำอย่างนี้กันอยู่ใช่ไหม ที่เรามาคุยธรรม

    ผู้ฟัง ใช่

    อ.อรรณพ กำลังเข้าใจขึ้นใช่ไหม เข้าใจเรื่องว่า ถ้าไม่รู้อะไร ก็ไม่ควรบวช ถ้าไม่รู้อะไร ไปสวดมนต์ก็ไม่สามารถที่จะได้ผลตามที่ต้องการ ใช่ไหม เช่นนี้ก็เป็นความเข้าใจ ที่เกิดเพิ่มขึ้น จากการฟัง และสนทนา เพราะฉะนั้นการฟัง และคุยธรรม เป็นประโยชน์ไหม

    ผู้ฟัง เป็น

    อ.อรรณพ เป็นประโยชน์เพราะให้เกิดความเข้าใจขึ้น

    ท่านอาจารย์ ไม่ทราบมีใครเห็นด้วยกับคุณเคนหรือไม่ จะบวช ต่อเมื่อเข้าใจแล้ว รู้จักตัวเองด้วย ว่าสมควร เหมาะสม สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติในเพศบรรพชิต ที่จะศึกษาพระธรรมวินัย ได้ไหม หรือว่าสามารถที่จะศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเมื่อไรก็ได้ ที่ว่าง ที่มีโอกาส แล้วก็รู้จักเข้าใจตนเองว่า เป็นผู้ที่สะสมมา ที่จะเป็นพระภิกษุ หรือเป็นผู้ที่บวชหรือเปล่า เพราะว่าผู้ฟัง สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยโน้น มี ๔ คือภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑ อุบาสก ๑ อุบาสิกา ๑ อุบาสกคือคนที่นั่งใกล้พระศาสนา นั่งใกล้เพื่ออะไร เพื่อฟัง ฟังเพื่ออะไร ฟังเพื่อเข้าใจ เพราะฉะนั้นอุบาสกต้องเข้าใจ เพราะเหตุว่าถ้าไม่เข้าใจ จะเป็นผู้ที่นั่งใกล้พระศาสนาได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถามอีกคำ คุณเคนเป็นชาวพุทธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ แน่ใจนะ

    ผู้ฟัง แน่ใจ

    ท่านอาจารย์ คนที่ไม่รู้จัก ไม่เข้าใจ ไม่ฟังธรรมเลย เป็นชาวพุทธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า พุทธะคือปัญญา ความเข้าใจถูก ถ้าไม่รู้ว่าพระพุทธรัตน พระธรรมรัตน พระสังฆรัตนคืออะไร พระพุทธรัตนคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมรัตนคือธรรมที่จะนำไปสู่การรู้ความจริง ซึ่งก็ต้องเป็นปัญญาด้วย เพราะว่าถ้าไม่ใช่ปัญญา ธรรมอื่นๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้จริงๆ คนนั้นเป็นชาวพุทธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาวพุทธมีมากหรือไม่

    ผู้ฟัง มีไม่ค่อยมาก

    ท่านอาจารย์ เพราะอะไร

    ผู้ฟัง เพราะว่าบางคนเขาไม่รู้จักศาสนาพุทธ

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้ฟังคำสอน

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ เพียงแต่ว่าไปนุ่งขาว ห่มขาว ใช่หรือไม่

    ผู้ฟัง ใช่

    ท่านอาจารย์ คนที่นุ่งขาวห่มขาว ไปสู่สำนักปฏิบัติ แต่ไม่ได้เข้าใจธรรม เป็นชาวพุทธหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่


    หมายเลข 10957
    2 เม.ย. 2567