022 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๒๒


    อ.จักรกฤษณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โมฆะบุรุษเหล่านี้ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเพียงไร ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการปฏิบัติตามลำดับอย่างไร ซึ่งเราได้สนทนามาก็เป็นไปตามลำดับจริงๆ เพราะว่าเราก็เริ่มจากการที่มีศรัทธา แล้วก็มีการฟัง ตั้งใจฟังพระธรรมไปตามลำดับ ซึ่งไม่ได้จู่ๆ ก็เข้าไปสำนักปฏิบัติ ไปทำอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามลำดับอย่างนี้

    อ.อรรณพ ไม่รู้ ถ้าไม่โดยลำดับก็ต้องหลีกออกมาจากพระธรรมวินัย

    อ.จักรกฤษณ์ ก็หลีกไปไกลเลย ท่านก็ตรัสไว้ แสดงให้เห็นว่าที่ถูก ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ที่ทำกันอยู่โดยไม่เป็นไปตามลำดับ ซึ่งอันนั้นก็ไม่มีทางที่จะตั้งอยู่ในอรหัตตผลที่ทรงแสดงไว้นี้ได้เลย

    อ.อรรณพ ถ้าเขาจะอ้าง เขาก็บอกว่า เขาปฏิบัติโดยลำดับ เขาต้องนั่งก่อนแล้วก็มีเดินอย่างนี้ๆ แล้วก็มีขั้นตอนอย่างนี้ ใช่ไหม เขาก็อ้างอย่างนั้นคือการปฏิบัติโดยลำดับๆ

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้อะไร

    อ.อรรณพ ไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือ

    อ.อรรณพ แต่ที่ในพระสงฆ์ ที่อาจารย์จักรกฤษณ์กรุณาอ่านมา เขาลืมตั้งแต่ว่าศึกษาโดยลำดับ กราบเรียนท่านอาจารย์เบื้องต้น ยังไม่ต้องพูดถึงปฏิบัติโดยลำดับ การศึกษาโดยลำดับซึ่งเป็นตอนต้น

    ท่านอาจารย์ เชิญกล่าวอีกครั้งหนึ่ง

    อ.จักรกฤษณ์ การศึกษาโดยลำดับ กุลบุตรในธรรมวินัยนี้เกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปใกล้

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ ทุกวันนี้ไปไหน

    อ.อรรณพ ไปไกลความจริง ห่างความจริง หันหลังให้กับความจริงคือพระสัทธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเข้าใกล้เมื่อไร

    อ.อรรณพ เข้าใกล้เมื่อมีความเข้าใจ ความเห็นประโยชน์และศรัทธา

    ท่านอาจารย์ แล้วคิดว่าเข้าใกล้โดยวิธีไหน

    อ.อรรณพ เข้าใกล้โดยความเข้าใจจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะได้ความเข้าใจแต่ไหน

    อ.อรรณพ จากการไตร่ตรองสิ่งที่ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใกล้ มีสถานที่ตั้งเยอะแยะ ไปไหนดี จะเข้าใกล้ที่ไหน

    อ.อรรณพ ที่ๆ มีการศึกษา สนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ ตรงไหนก็ได้ที่มีเสียงของพระธรรม ไม่ใช่เสียงอื่น เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ทุกคำเป็นเสียง ซึ่งเป็นไปตามความหมายของธรรมแต่ละอย่างๆ แต่ละคำ เพราะฉะนั้นจะได้ยินเสียงธรรมทางวิทยุก็ได้ เห็นไหม เข้าไปใกล้ที่ไหนหรือเปล่า นอนอยู่แท้ๆ เปิดวิทยุ ได้ยินเสียงแล้ว อยู่ที่ว่าจะเข้าใกล้ หรือไม่เข้าใกล้ ถ้าไม่เข้าใกล้ก็ปิดเลย หรือว่าเลื่อนไปที่สถานีอื่น ใช่ไหม ฟังเสียงอื่น แต่ถ้าเข้าใกล้ เสียงนั้นมาแล้ว มีแล้วตรงนั้น ใจเข้าใกล้ด้วยการสดับ เงี่ยโสตลงสดับ ฟังว่าเสียงนั้นคืออะไร เพราะฉะนั้นตรงไหนก็ได้ที่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงนั้นแหละเป็นที่ที่ควรเข้าใกล้คือทันที ฟัง แล้วก็มีศรัทธาที่จะศึกษาต่อไป

    เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่จะได้ฟังคำ ก็ต้องพิจารณาจริงๆ ว่าจะเข้าใกล้อย่างไร เราอยู่ตั้งไกลแสนไกล อย่างบางคนก็ไกลมากเลย แล้วจะเข้าใกล้ได้อย่างไร แต่ใจไปแล้ว ไปหาแม้ด้วยใจที่จะแสวงหา เหมือนอย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็อยู่ปักษ์ใต้ ใช่หรือไม่ แล้วก็ได้ฟังเสียงธรรม ไม่รู้อยู่ไหน ท่านก็หาเพื่อที่จะได้รู้ว่าจะได้ฟังเสียงนี้อีกเมื่อไร จากที่ไหน นั่นคือเข้าใกล้

    อ.อรรณพ ศึกษาโดยลำดับ

    ท่านอาจารย์ เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ใครก็ห้ามไม่ได้ ใช่ไหม แล้วก็แสวงหาคือเข้าไปแล้วสู่ธรรมที่จะได้ฟัง

    อ.อรรณพ ก็ไม่พ้นปัญญา ตั้งแต่เริ่มต้น

    ท่านอาจารย์ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือรู้ ถูกต้อง คือปัญญา ถ้าไม่รู้จะเป็นพุทธไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าคำไหนมีประโยชน์ คำไหนไม่เคยฟังมาเลยในสังสารวัฏฏ์ แม้ว่าชื่อจะแปลกหู แต่คำนั้นหมายความว่าอะไร สะสมมาที่จะรู้ว่ามีความจริงไหมของคำนั้นที่ได้ยิน และความจริงของคำที่ได้ยินนั้นคืออะไร

    อ.อรรณพ จากพระสูตรนี้ เห็นเลยว่าถ้าไม่เข้าใจข้ามลำดับมากมาย เพราะว่าเพียงการศึกษาโดยลำดับ และเบื้องต้นของการศึกษาโดยลำดับ คือการเข้าไปหา การนั่งใกล้ก็คือการใส่ใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจผิดก็เข้าไปสำนักปฏิบัติ เห็นไหม ผิดเลย เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลจริงๆ มีความเข้าใจในสัจจะ ความจริง ว่าความจริงคืออะไร ความจริงคือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ และจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อฟังคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มี ก็เข้าใกล้สู่การที่จะรู้ความจริง ถ้าเผินก็คือไปสำนักปฏิบัติ คิดว่าที่นั่นจะรู้ความจริงได้ ก็ผิดตั้งแต่ต้น

    อ.อรรณพ ที่อันตรายก็คือว่า อย่างพระสูตรนี้ ผู้ที่เข้าใจและเห็นประโยชน์ก็จะเห็นชัดเจนเลยว่า จะเป็นการปรุงแต่งของความใส่ใจ ความสนใจด้วยปัญญา แต่ถ้าเข้าใจผิดก็อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว ก็คือต้องเข้าไปหา แล้วเข้าไปสำนักปฏิบัติ เขาก็เอาพระสูตรนี้ไปปรับให้เป็นการที่ต้องไปปฏิบัติ

    อ.จักรกฤษณ์ ประโยคแรก เกิดศรัทธาแล้วเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหมคะ ถึงแม้ว่าจะใกล้แล้ว คิดเรื่องอื่นแล้ว เสียงมีแท้ๆ ไม่ได้เงี่ยโสต เพราะฉะนั้นของท่าน เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ ทรงเตือนโดยการทรงแสดงความไม่ประมาท แม้ว่าอยู่ในที่ๆ มีเสียงธรรมแล้ว ยังไม่ได้เงี่ยโสต

    อ.จริยา ขอท่านอาจารย์อธิบายความระเอียดของคำว่า เงี่ยโสตลงสดับ ถ้าไม่มีการฟัง จะรู้ความหมายไหม ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเสียงที่ฟังก็ต้องชัดเจนด้วย ถูกต้องด้วย ทั้งอรรถและพยัญชนะ และทั้งคำ และความหมายของเสียงนั้นด้วย นั่นคือตั้งใจ เงี่ยโสตลงสดับเสียง และก็ด้วยการที่พิจารณาคำนั้น

    อ.จริยา ฟังด้วยการพิจารณาไตร่ตรอง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เลยว่า ละเอียดมากที่เราจะเผินไม่ได้เลยที่จะบอกว่าทำตาม ทำตามแล้วรู้อะไร เพราะอะไร แม้เข้ามาใกล้แล้วคิดดู ทุกคนรับรอง เดี๋ยวใจก็คิดเรื่องอื่นแล้ว เสียงก็มี ลืมฟังไปแล้ว ใช่ไหม เพราะขณะนั้นไม่ได้เงี่ยโสตลงฟัง

    อ.อรรณพ ก็เป็นประโยชน์มาก อาจารย์จักรกฤษณ์ จะมีข้อความอะไร

    อ.จักรกฤษณ์ เงี่ยโสตลง เงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ท่านยิ่งเน้นไปว่าฟังพระธรรม ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงธรรมไว้ ตรงนี้มีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ลืม ทุกคนรู้แน่ๆ เลย กลับบ้านลืมแล้ว ออกจากห้องนี้ก็ลืม ที่ไหนก็ลืม เพราะฉะนั้นเห็นไหม สดับแล้วก็ทรงธรรมนั้นไว้ ถ้ามีเวลาที่ถึงการที่ธรรมจะเกิดขึ้นระลึกได้ ถ้าลืมจะให้ระลึกได้ก็ไม่ได้ แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจนว่า นี่คือผลของการฟังธรรม คือรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่มีความต้องการ โลภะมาแล้ว อยากที่จะเป็นอย่างนั้น อยากที่จะจำได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องละด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งต้องรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นโลภะหลอกเก่ง

    อ.วิชัย ท่านอาจารย์ครับ ถ้าความหมายของการทรงไว้ คือความมั่นคงของความเข้าใจในการที่ได้สดับคำแต่ละคำ คือทรงไว้ด้วยความมั่นคง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลืม ความเข้าใจมั่นคง ว่าไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา มีหรือเปล่าตรงลืม

    อ.อรรณพ ไม่ใช่มั่นคงในลัทธิ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่มั่นคงว่าเราอยากเข้าใจ แต่ตรงนั้นเป็นอนัตตาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นปกติ เพราะว่าธรรมเป็นปกติ เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้พอความรู้เกิดขึ้นก็ต้องรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้นั่นแหละ เห็นไหม ต้องรู้สิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้รู้ จนกว่าจะรู้จริงๆ แล้วจะไปไหน เห็นไหม ไม่ใช่สถานที่เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำที่ถูกต้องก็ไปสู่คำผิดๆ แม้แต่ต่างประเทศทั่วโลกก็มีสำนักปฏิบัติ เห็นไหม เพราะไม่เข้าใจ

    อ.คำปั่น ถ้าเป็นผู้ศึกษาใหม่ เริ่มฟังใหม่ การที่แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังคำที่เป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่าผู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะพิจารณาแยกแยะออกว่า นี้คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่ ที่จะเป็นเครื่องพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นเหตุเป็นผล ที่จะนำไปสู่ความเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงยิ่งขึ้นในการศึกษาธรรม คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน เราพูดเรื่องการปลูกต้นไม้ เราพูดเรื่องการทำอาหาร เราพูดเรื่องการตัดเสื้อ ธุรกิจต่างๆ เคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น คำเหล่านั้น ไม่เห็นแปลกอะไร แต่คำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นอะไรแค่นี้ ได้ยินมาก่อนหรือเปล่า มีใครเคยถามใครบ้าง ว่าเดี๋ยวนี้เห็นอะไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ที่เห็นนี่เอง ถามว่าเห็นอะไร ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน และคำตอบ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ต่างกับที่เราบอกว่าเห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นคน เห็นเก้าอี้ เรายังต้องคิดเลย จริงไหม ทุกคำที่ได้ฟัง จริงหรือเปล่า ไม่ใช่เชื่อ แต่ว่าความจริงเห็นอะไร ก็ต้องเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เห็นแข็งได้ไหม เห็นหวาน เห็นเค็ม ได้ไหม เห็นโกรธ เห็นจำ ได้ไหม ไม่มีอะไรเลย ธรรมหนึ่งคือหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นธรรมหนึ่งที่สามารถจะปรากฏให้เห็นทางตา ซึ่งต้องอาศัยตา และธาตุรู้เกิดขึ้นเฉพาะรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา คือเห็นเท่านั้นเป็นหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่ตา ธาตุรู้ที่กำลังเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏและไม่ใช่ตา และก็ยังมีสภาพธรรมที่อาศัยให้ธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นอีก ซึ่งไม่ได้ปรากฏ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่ละเอียดยิ่งของทุกอย่าง เพื่ออะไร แม้ในเบื้องต้นให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเราสักอย่างหาไป ยิ่งฟังยิ่งไม่มี เจอเราไม่ได้เลย มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งๆ ทั้งหมด ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา นี่เป็นเบื้องต้นของปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยเข้าใจผิดคิดว่าทำ แล้วใครทำ ถ้าไม่เข้าใจก็คือเราทำ ทำอะไร ไม่มีความรู้ก็ไปทำอะไรก็ไม่รู้ และจะรู้อะไร ก็ยังไม่รู้อีกว่าจะรู้อะไร แต่ว่าเมื่อได้ฟังแล้วรู้ว่าความจริงนี่รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา รู้ได้ด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกแม้แต่ในเบื้องต้นว่า มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ฟังอีกนานเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึง เพราะว่าความไม่รู้ในแสนโกฏิกัปป์ทุกครั้งที่เห็น ได้ยิน แม้เดี๋ยวนี้มากมายเกินที่จะประมาณได้ รวมกี่จักรวาลก็ยังไม่เท่า

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำจริง รู้ว่าจริง แต่ว่าไม่ถึงกาลที่จะประจักษ์แจ้งว่า เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏ ยังไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าไม่มีการคิด จะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เท่านั้นเอง ทำอะไรไม่ได้ แค่ปรากฏ ไม่ได้ทำให้ใครรัก ไม่ได้ทำให้ใครชัง ลักษณะนั้นก็คือว่ามี อยู่ที่มหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่ใดมีที่แข็งๆ อ่อนๆ ที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตาได้ โดยแข็งกระทบไม่ได้ แต่สิ่งนั้นที่อยู่ตรงนั้นเท่านั้นที่กระทบตาได้ แล้วแสดงอาการปรากฏ เหมือนนางยักษ์สินีแปลงตัว ธาตุแข็งแปลงตัวเป็นดอกไม้ แปลงเป็นแก้ว แปลงเป็นสีนั้นสีนี้ อาหารรสต่างๆ ทั้งหมดเลย ความไม่รู้มีแค่ไหน นี่คือก่อนจะถึงปฏิปัตติ ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตัวตนไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเผยแพร่ก็ยิ่งทำลายคำสอนให้หมดไป

    อ.อรรณพ จริงๆ ถ้าจะย่อหน่อย ถ้าไม่มีปริยัติศาสนา ก็ไม่มีทางที่จะถึงปฏิปัตติของศาสนา

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นต่างหาก ที่จะทำให้ค่อยๆ ชินกับการที่ไม่ลืมว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วยิ่งได้ฟังว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เกิดแล้วดับทันทีไม่เหลือ หมายความว่าอย่างไร ความไม่รู้ยังไปจำไว้ผิดๆ ว่ายังอยู่ ความไม่รู้ยังไปจำความพอใจในสิ่งที่แค่ปรากฏแล้วหมดไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย หมายความว่าพอใจในสิ่งที่ไม่มี ไม่มีอีกเลยก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะค่อยๆ คลายความติดข้องและความไม่รู้ จนกระทั่งสภาพธรรมปรากฏกับปัญญาตามความเป็นจริง เกิดขึ้นแล้วดับไปแล้วไม่กลับมาอีก กว่าความไม่รู้จะคลายจนกระทั่งการยึดถือสภาพธรรมนั้นคลายลง เป็นวิปัสสนาญาณ เพราะฉะนั้นแต่ละคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นปัญญา ไม่ใช่เรา ความเห็นผิด ความไม่รู้จะไปทำอะไรให้เกิดปัญญาได้ แต่ปัญญาก็ต้องเจริญขึ้นตามลำดับขั้น

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้ใส่ใจในปริยัติก็จบแต่แรก แต่ถ้าจะละเอียดอย่างพระสูตรที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ได้อัญเชิญมาว่า ถ้าไม่ศึกษาโดยลำดับ ตั้งแต่เข้าไปหา นั่งใกล้ เงี่ยโสตที่จะใส่ใจฟัง ไม่มีสิ่งนี้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงปฏิบัติ

    อ.จักรกฤษณ์ ขออนุญาตย้ำตรงนี้ เป็นพระดำรัสว่า ถ้าไม่ได้มาตามลำดับศึกษาตามลำดับ กระทำตามตามลำดับดังที่ได้สนทนากัน ท่านตรัสว่า เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ต้องขีดเส้นใต้คำนี้ ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด สองคำท่านอาจารย์ครับ ท่านทรงแสดงเอาไว้ ตรงนี้ท่านย้ำมีความสำคัญอย่างไร ท่านจึงย้ำว่าปฏิบัติทั้งพลาด ปฏิบัติทั้งผิด

    ท่านอาจารย์ เพราะตัวตน เพราะไม่รู้ จะถูกได้อย่างไร ต้องมีความเข้าใจที่มั่นคง ปริยัติมั่นคงเป็นสัจจญาณ ญาณะคือปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง ที่มั่นคง ไม่มีใครมาชักชวนไปในทางที่ขณะนี้ไม่เกิดดับ ก็ฟังมาแล้ว เข้าใจแล้วในธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งจะเกิดพร้อมกันไม่ได้เลย ใช่ไหม เสียงจะปรากฏพร้อมกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ เพราะธาตุที่ได้ยินเสียง เกิดเพราะอาศัยการกระทบกันโดยผัสสเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพเจตสิกที่กระทบอารมณ์ เพราะอยู่อย่างนี้ไม่มีใครไปรู้อะไรได้เลย ใช่ไหม จนกว่าธาตุรู้ซึ่งไม่ใช่จิต แต่อาศัยเจตสิกเกิดขึ้นรู้แจ้ง เพราะผัสสเจตสิกกระทบสิ่งใด จิตจึงรู้เฉพาะสิ่งที่ผัสสะกระทบ

    ในห้องมีตั้งหลายอย่าง ใช่ไหม แต่ว่าขณะนี้อะไรปรากฏ เพราะเจตสิกหนึ่งเป็นธาตุรู้ แต่ไม่ใช่จิต มีหน้าที่อย่างเดียวคือกิดขึ้นกระทบ พร้อมจิตที่รู้สิ่งที่ผัสสะกระทบ ใครจะแยกออก เหมือนแม่น้ำที่ปนกันหมดกี่สายๆ แล้วจะมาบอกว่า นี่แม่น้ำสายนี้สายนั้น เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นให้เห็นพระปัญญาคุณ ผู้ที่ได้ฟังพระธรรมแล้ว ที่จะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีไหม แล้วเคารพแค่ไหน ในสังสารวัฎฏ์เคยได้ยินคำเหล่านี้ไหม แม้ว่าสิ่งที่มีจริงยังไม่ได้ประจักษ์แจ้ง แต่ก็รู้ว่าเมื่อเข้าใจขึ้นต่างหาก จึงจะค่อยๆ คลายความไม่รู้และการยึดถือ และสภาพธรรมจึงจะปรากฎได้ ไม่มีใครไปดลบันดาลให้สภาพธรรมปรากฏอย่างนี้ได้

    อ.จักรกฤษณ์ คำสุดท้าย แสดงให้เห็นว่าทำลายพระศาสนาอย่างไร ที่เราได้สนทนากันว่า พระศาสนาเสื่อม พระศาสนาสูญสลายก็จากความไม่เข้าใจ พระธรรมวินัย นี้เป็นจุดสำคัญของพุทธศาสนา สุดท้ายท่านก็ตรัสเอาไว้เลยว่า ที่ไม่ได้ศึกษาตามลำดับดังที่กล่าวไว้นั้น ท่านบอกว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายโมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเพียงใด ตรงนี้คือทำลายพระพุทธศาสนาแล้ว ขีดเส้นใต้ ทำลายที่สุดแล้ว

    ท่านอาจารย์ แค่สูตรเดียวไม่กี่คำ แต่ทุกคำเป็นคำจริง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเริ่มจากไม่เข้าไปนั่งใกล้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นย้ำอีกทีก็ได้ บรรทัดสุดท้าย เห็นไหม จะได้รู้อันตรายอย่างใหญ่หลวง

    อ.จักรกฤษณ์ ดูกรภิกษุทั้งหลายโมฆบุรุษเหล่านี้ ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเพียงไร

    ท่านอาจารย์ โมฆบุรุษ ว่างเปล่าจากประโยชน์ เพราะไม่ได้เข้าใจความลึกซึ้งของพระธรรม แค่ได้ยินว่าพระพุทธศาสนา และคิดว่าตัวเองเป็นชาวพุทธ เห็นไหม แต่ว่าว่างเปล่า เพราะไม่ได้มีความเข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ว่างเปล่า ยังห่างไกล หันหลังให้พระสัทธรรม เพราะเหตุว่าไม่มีทางที่จะเข้าใกล้ความจริงที่ได้ทรงแสดงไว้เลย เพราะทั้งหมดไม่ได้เข้าใกล้เลย การเงี่ยโสตลงสดับด้วยการพิจารณา ด้วยการเข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ทำลายคำสอน ถ้าเข้าใจผิด

    อ.อรรณพ ผู้ที่มีความเห็นผิดในหนทางปฏิบัติแล้วก็จะไม่เป็นไปโดยลำดับตั้งแต่ศึกษาธรรม

    ท่านอาจารย์ อย่างน้อยที่สุด เริ่มเข้าใจคำว่า โมฆบุรุษ เห็นไหม ว่าง ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย คิดว่ามี แต่หามีไม่ เพราะว่าไม่ได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริง และต่อจากโมฆบุรุษ

    อ.จักรกฤษณ์ โมฆบุรุษเหล่านี้ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเพียงไร

    อ.อรรณพ โมฆบุรุษนี้ ก็คือว่างจากปัญญา หลีกไปไกลเพียงไร เหมือนกับติดลบเข้าไปอีก เหมือนว่าคนที่เขาไม่ได้มีความเข้าใจธรรมอะไร เขาก็ทำมาหากินไปวันๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องพุทธศาสนา แต่คนที่เข้าใจผิดคิดว่าสิ่งที่เป็นอธรรมเป็นธรรม สิ่งที่มีความเห็นผิดว่าเป็นความเห็นถูก ก็ยิ่งจะไกล ไกลออกไปอีก

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอะไร โมฆบุรุษก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย จากการที่ได้ยินคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และยิ่งมีความเห็นผิด ปฏิบัติผิด ก็ยิ่งห่างไกลจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงไร คิดดู ประมาณไม่ได้เลย ห่างไกลเพียงไรตามความประพฤติผิด เข้าใจผิด เพราะฉะนั้นกล่าวได้เลย สำนักปฏิบัติทำลายคำสอนของพระพุทธศาสนา ด้วยความที่เข้าใจในความถูกต้องในพระธรรมวินัย ด้วยความหวังดีที่จะให้คนได้เข้าใจถูกต้อง ในคำว่า สำนัก ในคำว่า ปฏิบัติธรรม ซึ่งเข้าใจผิด จึงชักชวนกันให้ผิดไปทั่วโลก

    เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะได้แก้ไขยุติ การที่จะเข้าใจผิดๆ โดยเห็นว่าไม่ควรจะเป็นโมฆบุรุษ มีโอกาสได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ควรที่จะได้เข้าใจให้ถูกต้อง จะได้ไม่ค่อยๆ ห่างไกลไป มากเพียงไรบอกไม่ได้เลย

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดจริงๆ เพราะเป็นไปเพื่อที่จะละคลาย ขัดเกลากิเลส ความไม่รู้ต่างๆ จนกว่าปัญญาจะเจริญ แล้วก็ดับกิเลสได้จนหมดจด เพราะฉะนั้นในเรื่องของหนทาง หรือข้อปฏิบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงแสดงไว้ดีแล้ว เป็นสิ่งที่ควรที่จะศึกษาให้เข้าใจถูก แต่ถ้ามีความเข้าใจผิด ความเห็นผิด โดยเฉพาะความเห็นผิดในข้อปฏิบัติ เช่น ต้องไปสำนักปฏิบัติ ต้องมีการไปทำอย่างนั้น ก็จะเป็นการทำลายให้พระธรรมเสื่อมลบเลือนไป แล้วผู้นั้นเองก็จะเป็นผู้ที่เปล่าจากปัญญา เป็นโมฆบุรุษ แล้วก็จะห่างไกลออกไปจากพระพุทธศาสนา นั่นก็คือโทษอย่างยิ่ง

    นี่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการสนทนา เรื่องความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา ซึ่งในครั้งต่อไปเราก็จะได้สนทนาในประเด็นนี้ โดยขยายความไปอีก เพราะก็ยังมีอีกหลายๆ ประเด็นที่แสดงการไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนา ที่ยกมาแสดงก็เพื่อที่จะเป็นประโยชน์ ไตร่ตรองถึงความเป็นจริง แล้วก็เห็นประโยชน์ที่จะศึกษาพระธรรมวินัยให้ถูกต้อง ก็จะเป็นการธำรงพระศาสนา แต่ถ้าเราอยากจะธำรงพระศาสนา โดยที่เราเข้าใจผิด ไม่ใช่ธำรง เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา

    การสนทนาพิเศษในวันนี้ก็ได้ประโยชน์มากๆ เลยครับ แล้วคราวต่อไปก็คงจะต้องสนทนากันเรื่องนี้อีก เพราะว่าธรรมไม่มีวันจบ กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ท่านวิทยากรทุกท่านครับ


    หมายเลข 10918
    27 ก.ค. 2568