021 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๒๑


    อ.จริยา ถ้าสมมติว่า ให้ความเข้าใจกับท่านผู้ชม ท่านผู้ฟังทั้งหลายว่า สมาธิคืออะไร อย่างที่ท่านอาจารย์ ท่านวิทยากร ได้อธิบายมาตั้งแต่ต้นๆ เสมอๆ ว่า สมาธิมีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิก็เป็นสมาธิที่ถูกต้อง มิจฉาสมาธิเป็นสมาธิที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเข้าใจตรงนี้ก็คงจะพอฟังได้ ก็เป็นการรักษาโรคอย่างไรก็เป็นวิธีการของการรักษาโรค แต่อย่าเอาคำในพระพุทธศาสนาไปใช้ เมื่อใช้แล้วเกิดความไขว้เขว แล้วพอใครที่บำบัดอย่างนั้น รู้สึกว่าดีขึ้น โรคบรรเทา ก็เริ่มบอกว่านี่ไงเขาได้ฝึกสมาธิแบบนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่การฝึกสัมมาสมาธิเพราะฉะนั้นคิดว่า สิ่งที่เราจะช่วยกันเยียวยา สิ่งเดียวเลยก็คือศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ค่อยๆ ถ่ายทอดความเข้าใจไปสู่คนทั้งหลาย

    อ.อรรณพ ก่อนหน้านี้ก็ได้สนทนากับอาจารย์จริยา อาจารย์จริยาก็เอาแบบเรียน มาให้ดู เป็นแบบเรียนตั้งแต่ประถม แบบเรียนเกี่ยวกับพุทธศาสนา ไม่ได้ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องของธรรมคืออะไร ไม่มีแน่นอน ที่จะอธิบายให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาที่แท้จริงแสดงถึงสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฎ ไม่ได้ปลูกฝังกับเยาวชนเลย แต่ก็จะมีขั้นตอนในการนั่งสมาธิ ข้างหลังก็มีตัวชี้วัดว่าอย่างไรๆ ก็คือพุทธศาสนา คือการต้องนั่งสมาธิ ต้องทำสมาธิ ทางแก้ไขที่สำคัญก็คือ การปลูกฝังให้เยาวชนได้เข้าใจในพระธรรมวินัยที่ถูกต้อง ซึ่งทำได้ เป็นไปได้ ธรรมตั้งแต่เบื้องต้นในเรื่องของความจริง อะไรเป็นจริงปลูกฝังให้กับเด็กๆ เขาได้

    ท่านอาจารย์ แต่ส่วนใหญ่ คนเพ่งเล็งไปที่เด็ก ลืมผู้ใหญ่

    อ.อรรณพ เพราะถ้าผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ เด็กจะเข้าใจได้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ หวังแต่เด็ก แล้วผู้ใหญ่จำนวนมากกว่าเด็กๆ มาก ก็แล้วแต่ว่าผู้ใหญ่รู้หรือเปล่า หรือคอยฟังจากเด็กที่เด็กรู้ แล้วบอกผู้ใหญ่ให้รู้ ลองคิดสิ ใครควรจะต้องรู้

    อ.จริยา ผู้ใหญ่ต้องรู้ก่อน

    ท่านอาจารย์ แล้วทำไมไปเพ่งเล็งแต่เด็กให้ศึกษา ผู้ใหญ่ไม่มีใครบอกเลยว่า พระธรรมเป็นสิ่งที่สามารถที่จะเข้าใจได้ แต่ว่าลึกซึ้งเป็นประโยชน์ คำไหนที่ไม่ใช่คำที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกคำ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มีจริงนั่นให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะฉะนั้นโรคแม้กายและใจ พระผู้มีพระภาคก็ตรัสไว้ ใช่ไหม โรคซึ่งเกิดจากธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ละโรค เสมหะหรือว่าโรคเดินไม่ได้พวกนี้ มีหมด แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่า โรคทั้งหลายถ้าไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้หายเด็ดขาดเลย เพราะมีสมุฏฐานที่จะให้เกิด และจะกล่าวว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้รักษาโรคก็ไม่ได้ แต่รักษายิ่งกว่าโรค คือสมุฏฐานของโรคทั้งกายและใจ

    เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดว่า เราเพียงแต่ต้องการหายจากโรคอย่างเดียว แล้วไม่มีปัญญาอะไรเลย โรคไม่มีวันหาย ชั่วคราวแล้วกลับเป็นอีก ไม่มีทางที่จะหมดไปได้เลย อย่างนั้นเรียกว่าหายหรือ ในเมื่อกลับเป็นอีกๆ เพราะมีเหตุที่จะให้เป็น แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีคำสอนในเหตุและผลทุกอย่าง โรคกายมีเหตุจากอะไร ผลของเหตุนั้นคืออะไร โรคใจมีจากเหตุอะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่รักษาสมุฏฐานของโรคจริงๆ หายจากโรคไม่ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าให้เรามุ่งไปรักษาโรค แต่ให้รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้นใครจะมาชักชวนว่า พระพุทธศาสนาทำให้หายจากโรค ทำให้เรียนเก่ง ทำให้ทำงานดี ทำให้นอนหลับ ทำให้สุขภาพดี นั่นไม่ใช่จุดประสงค์ นั่นไม่ใช่ผลของการที่เรียกว่ารู้จักพระพุทธศาสนาเลย เพราะถ้ารู้จักพระพุทธศาสนา คือรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏคืออะไร จะบอกว่าคืออะไรไปวิจัยวิจารณ์เข้าห้องทดลอง ก็ไม่รู้เท่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นจะนับถือใคร จะมีใครเป็นที่พึ่ง ถ้ามีความมั่นคงจริงๆ ว่า ในบรรดาบุคคลทั้งหลายพึ่งใครไม่ได้ นอกจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะอะไร ทรงตรัสรู้ ไม่ใช่ว่าเราพึ่งโดยไม่มีเหตุผล ไปนั่งกราบไหว้บูชา แต่ไม่รู้ว่าตรัสรู้อะไร สอนอะไร แต่ทุกคำของพระองค์ทำให้มีความเห็นที่ถูกต้อง จะหาจากที่ไหนไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็เห็นประโยชน์ของการที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่กังวล จะหายจากโรคเมื่อไร เพราะรู้จักว่าโรคคืออะไร ต้องให้รู้ก่อนโรคคืออะไร

    อ.อรรณพ คือที่สุดที่ท่านอาจารย์กล่าว ท่านอาจารย์จริยาได้แสดงความเห็นมา ก็คือว่าถ้าเป็นการรักษาโรค ใช่ไหม หมอเขาก็มีความรู้ของเขาว่า อุตุ อาหารอย่างไรจะเหมาะสม ใช่ แน่นอน การออกกำลังกาย การได้รับอากาศก็เป็นอุตุที่ดี ที่จะทำให้บรรเทาโรคไปตามกรรมด้วยอย่างนี้ แต่คนจะชอบเอามาโยงกับพระพุทธศาสนา แล้วก็บอกว่าเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ดีเหลือเกิน

    ท่านอาจารย์ ให้หมอทั้งหลายแสวงหาโรคไม่ตายให้หน่อยสิ รักษาโรคให้ไม่ตาย

    อ.อรรณพ เขาก็รู้ว่าต้องตาย แต่เขาแบบว่าตอนอยู่ก็อยากให้สุขภาพดีหน่อย อยู่ได้นานหน่อย

    ท่านอาจารย์ แต่เป็นทุกข์ใจ

    อ.อรรณพ ก็ไปสนุกสนาน

    อ.จริยา สุขสภาพดีก็ตายได้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นความไม่รู้ก็เป็นไปตามนั้น ความอยากเขาก็ทำหน้าที่เขาไปเพราะไม่รู้ และความอยากก็ทำหน้าที่ไปอย่างนี้ไปจนกว่าจะจุติจิต

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นทางของความไม่รู้ คือทางของการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เพราะฉะนั้นหนทางนี้ก็พาไปด้วยความเป็นเราตลอด

    อ.อรรณพ ในเรื่องของการปฎิบัติที่ผิด ความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม อาจารย์จักรกฤษณ์จะมีอะไรจะเพิ่มเติม

    อ.จักรกฤษณ์ อันนี้สำคัญมากเลย เพราะว่าเป็นพระดำรัสของพระพุทธองค์ ที่ท่านกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติ แล้วก็ท่านกล่าวถึงทั้งหมด เราก็เป็นตั้งแต่ต้นที่เราสนทนากันมา อันนี้อยู่ในเรื่องในพระสูตรของการตั้งอยู่ในอรหัตผล ซึ่งเป็นการรู้ความจริงก็ส่งผลให้ได้อยู่ในอรหัตผล

    ขออนุญาตอ่านอาจจะยาวสักนิด แต่ว่าพระสูตรนี้สำคัญ พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมกล่าวการตั้งอยู่ในอรหัตผล ด้วยการไปครั้งแรกเท่านั้นหามิได แต่การตั้งอยู่ในอรหัตผลนั้น ย่อมมีด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยการปฏิบัติโดยลำดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็การตั้งอยู่ในอรหัตผลย่อมมีได้ ด้วยการศึกษาโดยลำดับ ด้วยการทำโดยลำดับ ด้วยการปฏิบัติโดยลำดับอย่างไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรในธรรมวินัยนี้เกิดศรัทธาแล้วย่อมเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง เมื่อเงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ดังนั้นฟังธรรมย่อมทรงธรรมไว้ ย่อมพิจารณาเนื้อความแห่งธรรมที่ทรงไว้แล้ว เมื่อพิจารณาเนื้อความอยู่ ธรรมทั้งหลายย่อมทนได้ซึ่งความพินิจ เมื่อธรรมทนได้ เมื่อธรรมทนความพินิจได้อยู่ ฉันทะย่อมเกิด เมื่อเกิดฉันทะแล้วย่อมอุตสาหะ ครั้นอุตสาหะแล้วย่อมไตร่ตรอง ครั้นไตร่ตรองแล้วย่อมตั้งความเพียร เมื่อมีตนส่งไป ย่อมทำให้แจ้งชัดซึ่งบรมสัจจะด้วยกาย และย่อมแทงตลอดเห็นแจ้งบรมสัจจะนั้นด้วยปัญญา

    ดูก่อนภิกษุทั้งหลายศรัทธาก็ดี การเข้าไปใกล้ก็ดี การนั่งใกล้ก็ดี การเงี่ยโสตลงก็ดี การฟังธรรมก็ดี การทรงจำธรรมก็ดี การพิจารณาเนื้อความก็ดี ธรรมอันได้ซึ่งความพินิจก็ดี ฉันทะก็ดี อุตสาหะก็ดี การไตร่ตรองก็ดี การตั้งความเพียรก็ดี นั้นๆ หากมิได้มีแล้ว เธอทั้งหลายย่อมเป็นผู้ปฏิบัติพลาด ย่อมเป็นผู้ปฏิบัติผิด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆะบุรุษเหล่านี้ได้หลีกไปจากธรรมวินัยนี้ไกลเพียงไร

    ตรงนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการปฏิบัติตามลำดับอย่างไร ซึ่งเราได้สนทนามาก็เป็นไปตามลำดับจริงๆ เพราะเราก็เริ่มจากการที่มีศรัทธา แล้วก็มีการฟัง ตั้งใจฟังพระธรรมไปตามลำดับ ซึ่งไม่ได้ไปจู่ๆ ก็เข้าไปสำนักปฏิบัติ ไปทำอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามลำดับอย่างนี้

    อ.อรรณพ ถ้าไม่โดยลำดับก็ต้องหลีกออกไปจากพระธรรมวินัย

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ก็หลีกไปไกลเลย ท่านก็ตรัสไว้ อันนี้แสดงให้เห็นว่าที่ถูก ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ที่ทำกันอยู่โดยไม่เป็นไปตามลำดับ ซึ่งอันนั้นก็ไม่มีทางที่จะตั้งอยู่ในอรหัตผลที่ทรงแสดงไว้นี้ได้เลย

    อ.อรรณพ ถ้าเขาจะอ้าง เขาก็บอกว่าเขาปฏิบัติโดยลำดับ ก็ต้องนั่งก่อน แล้วก็มีเดินอย่างนี้ๆ แล้วก็มีขั้นตอน ใช่ไหม เขาก็อ้างอย่างนั้นคือการปฏิบัติโดยลำดับ

    ท่านอาจารย์ แล้วรู้อะไร

    อ.อรรณพ ไม่รู้อะไรเลย

    ท่านอาจารย์ แล้วจะเป็นคำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าได้หรือ

    อ.อรรณพ แต่ที่ในพระสูตรที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์กรุณาอ่าน เขาลืมตั้งแต่ว่าศึกษาโดยลำดับ กราบเรียนท่านอาจารย์เบื้องต้นยังไม่ต้องพูดปฏิบัติโดยลำดับ การศึกษาโดยลำดับที่เป็นตอนต้น

    ท่าอาจารย์ เชิญกล่าวอีกครั้ง

    อ.จักรกฤษณ์ การศึกษาโดยลำดับ กุลบุตรในธรรมวินัยนี้เกิดศรัทธาแล้ว ย่อมเข้าไปใกล้

    ท่านอาจารย์ เห็นหรือไม่ ทุกวันนี้ไปไหน

    อ.อรรณพ ไปไกลความจริง ห่างความจริง หันหลังให้กับความจริง คือพระสัทธรรม

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจะเข้าใกล้เมื่อไร

    อ.อรรณพ เข้าใกล้เมื่อมีความเข้าใจ ความเห็นประโยชน์และศรัทธา

    ท่านอาจารย์ แล้วคิดว่าเข้าใกล้โดยวิธีไหน

    อ.อรรณพ เข้าใกล้โดยความเข้าใจจากการฟัง

    ท่านอาจารย์ แล้วจะได้ความเข้าใจแต่ไหน

    อ.อรรณพ จากการไตร่ตรองสิ่งที่ฟัง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเข้าใกล้ มีสถานที่ตั้งเยอะแยะไปไหนดี จะเข้าใกล้ที่ไหน

    อ.อรรณพ ที่ๆ มีการศึกษา สนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ ตรงไหนก็ได้ที่มีเสียงของพระธรรม ไม่ใช่เสียงอื่น เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้ว ทุกคำเป็นเสียง ซึ่งเป็นไปตามความหมายของธรรมแต่ละอย่างๆ แต่ละคำ เพราะฉะนั้นจะได้ยินเสียงธรรมทางวิทยุก็ได้ เห็นไหม เข้าไปใกล้ที่ไหนหรือเปล่า นอนอยู่แท้ๆ เปิดวิทยุได้ยินเสียงแล้ว อยู่ที่ว่าจะเข้าใกล้หรือไม่เข้าใกล้ ถ้าไม่เข้าใกล้ก็ปิดเลย หรือว่าเลื่อนไปที่สถานีอื่น ใช่ไหม ฟังเสียงอื่น แต่ถ้าเข้าใกล้เสียงนั้นมาแล้ว มีแล้วตรงนั้น ใจเข้าใกล้ด้วยการเงี่ยโสตลงสดับ ฟังว่าเสียงนั้นคืออะไร

    เพราะฉะนั้นตรงไหนก็ได้ ที่มีคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรงนั้นแหละเป็นที่ๆ ควรเข้าใกล้คือทันที ฟังและก็มีศรัทธาที่จะศึกษาต่อไป เพราะฉะนั้นแม้แต่การที่จะได้ฟังคำ ก็ต้องพิจารณาจริงๆ ว่าจะเข้าใกล้อย่างไร เราอยู่ตั้งไกลแสนไกล อย่างบางคนก็ไกลมากเลย แล้วจะเข้าใกล้ได้อย่างไร แต่ใจไปแล้ว ไปหาแม้ด้วยใจที่จะแสวงหา เหมือนอย่างท่านผู้หนึ่ง ท่านก็อยู่กับปักษ์ใต้ใช่ไหม และก็ได้ฟังเสียงธรรม ไม่รู้อยู่ไหน ท่านก็หาเพื่อที่จะได้รู้ว่าจะได้ฟังเสียงนี้อีกเมื่อไรจากที่ไหน นั่นคือเข้าใกล้

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นแค่สื่อสารโดยลำดับ

    ท่านอาจารย์ เห็นคุณค่า เห็นประโยชน์ ใครก็ห้ามไม่ได้ ใช่ไหม แล้วก็แสวงหาคือเข้าไปแล้วสู่ธรรมที่จะได้ฟัง

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็ไม่พ้นปัญญา ตั้งแต่เริ่มต้น

    ท่านอาจารย์ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะคือรู้ถูกต้อง คือปัญญา ถ้าไม่รู้จะเป็นพุทธะไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าคำไหนมีประโยชน์ คำไหนไม่เคยฟังมาเลยในสังสารวัฏฏ์ แม้ชื่อจะแปลกหู แต่คำนั้นหมายความว่าอะไร สะสมมาที่จะรู้ว่ามีความจริงไหมของคำนั้นที่ได้ยิน และความจริงของคำที่ได้ยินนั่นคืออะไร

    อ.อรรณพ จากพระสูตร เห็นเลยว่าถ้าไม่เข้าใจข้ามลำดับอย่างมากมาย เพราะเพียงการศึกษาโดยลำดับ และเบื้องต้นของการศึกษาโดยลำดับ ก็คือการเข้าไปหา การเข้าไปนั่งใกล้ คือการใส่ใจ

    ท่านอาจารย์ ถ้าเข้าใจผิดก็เข้าไปสำนักปฏิบัติ เห็นไหม ผิดเลย เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ต้องเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผลจริงๆ มีความเข้าใจในสัจจะความจริง ว่าความจริงคืออะไร ความจริงคือสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ และจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อฟังคำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มี ก็เข้าใกล้สู่การที่จะรู้ความจริง ถ้าเผินก็คือไปสำนักปฏิบัติ คิดว่าที่นั่นจะรู้ความจริงได้ ก็ผิดตั้งแต่ต้น

    อ.อรรณพ ที่อันตรายก็คือว่า อย่างพระสูตรผู้ที่เข้าใจและเห็นประโยชน์ ก็จะเห็นชัดเจนเลยว่า จะเป็นการปรุงแต่งของความใส่ใจ ความสนใจด้วยปัญญา แต่ถ้าเขาเข้าใจผิด เขาก็เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว นี่ไงอย่างนี้ก็คือต้องเข้าไปหา ต้องเข้าไปสำนักปฏิบัติ ก็คือเขาก็เอาพระสูตรไปปรับให้เป็นการที่ต้องไปปฏิบัติให้ได้

    อ.จักรกฤษณ์ ประโยคแรก เกิดศรัทธาแล้วเข้าไปใกล้ เมื่อเข้าไปใกล้ย่อมนั่งใกล้ เมื่อนั่งใกล้ย่อมเงี่ยโสตลง

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ถึงแม้ว่าจะใกล้แล้ว คิดเรื่องอื่นแล้ว เสียงมีแท้ๆ ไม่ได้เงี่ยโสต เพราะฉะนั้นของท่าน เพราะความจริงเป็นอย่างนี้ ทรงเตือนโดยการทรงแสดงความไม่ประมาท แม้ว่าอยู่ในที่ๆ มีเสียงธรรมแล้ว ยังไม่ได้เงี่ยโสต

    อ.จริยา ขอท่านอาจารย์อธิบายความละเอียดของคำว่า เงี่ยโสตลงสดับ

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังจะรู้ความหมายไหม ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นเสียงที่ฟังก็ต้องชัดเจนด้วย ถูกต้องด้วย ทั้งอรรถและพยัญชนะ คือทั้งคำและความหมายของเสียงนั้นด้วย นั่นคือตั้งใจ เงี่ยโสตลงสดับเสียง และก็ด้วยการที่พิจารณาคำนั้น

    อ.จริยา ฟังด้วยกันพิจารณา ไตร่ตรอง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง เพราะฉะนั้นจะเห็นได้เลยว่า ละเอียดมากที่เราจะเผินไม่ได้เลยที่จะบอกว่าทำตาม ทำตามแล้วรู้อะไร เพราะอะไร แม้เข้ามาใกล้แล้วคิดดู ทุกคนรับรอง เดี๋ยวใจก็คิดเรื่องอื่นแล้ว เสียงก็มีลืมฟังไปแล้ว ใช่ไหม เพราะขณะนั้นไม่ได้เงี่ยโสตลงฟัง

    อ.อรรณพ ก็ไเป็นประโยชน์มาก

    อ.จักรกฤษณ์ เงี่ยโสตลงแล้วย่อมฟังธรรม ท่านยิ่งเน้นไปว่าฟังพระธรรม ก็ครั้นฟังธรรมแล้วย่อมทรงธรรมไว้ ตรงนี้มีความละเอียดอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วก็ลืม ทุกคนรู้แน่ๆ เลย กลับบ้านลืมแล้ว ออกจากห้องนี้ก็ลืมแล้ว ที่ไหนก็ลืมแล้ว เพราะฉะนั้นเห็นไหม สดับแล้วก็ทรงธรรมนั้นไว้ ถ้ามีเวลาที่ถึงการที่ธรรมจะเกิดขึ้น ระลึกได้ ถ้าลืมจะให้ระลึกได้ก็ไม่ได้ แสดงความเป็นอนัตตาชัดเจนว่า นี่คือผลของการฟังธรรมคือรู้ว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่มีความต้องการ โลภะมาแล้ว อยากที่จะเป็นอย่างนั้น อยากที่จะจำได้ทั้งหมด เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องละด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งต้องรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นโลภะหลอกเก่ง

    อ.วิชัย ถ้าความหมายของการทรงไว้คือ ความมั่นคงของความเข้าใจในการที่ได้สดับคำแต่ละคำ คือทรงไว้ด้วยความมั่นคง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นลืมความเข้าใจมั่นคงว่า ไม่ใช่เรา เป็นอนัตตา มีหรือเปล่าตรงนั้น

    อ.อรรณพ ต้องมั่นคง ไม่ใช่มั่นคงในลัทธิ

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ว่ามั่นคงว่าเราอยากเข้าใจ ใช่ไหม แต่ตรงนั้นเป็นอนัตตาก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นปกติ เพราะว่าธรรมเป็นปกติ เกิดขึ้นเพราะความไม่รู้ พอความรู้เกิดขึ้นก็ต้องรู้สิ่งที่ไม่เคยรู้นั่นแหละ เห็นไหม ต้องรู้สิ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่รู้ จนกว่าจะรู้จริงๆ แล้วจะไปไหน เห็นไหม ไม่ใช่สถานที่เลย ถ้าไม่ได้ฟังคำที่ถูกต้องก็ไปสู่คำผิดๆ แม้แต่ต่างประเทศทั่วโลกก็มีสำนักปฏิบัติ เห็นไหม เพราะไม่เข้าใจ

    อ.คำปั่น ถ้าเป็นผู้ศึกษาใหม่ เริ่มฟังใหม่ การที่แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังคำที่เป็นคำจริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ผู้นั้นก็ยังไม่สามารถที่จะพิจารณาแยกแยะออกว่า อันนี้คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงหรือไม่ ที่จะเป็นเครื่องพิจารณาไตร่ตรองในความเป็นเหตุเป็นผล ที่จะนำไปสู่ความเป็นผู้มีศรัทธามั่นคงยิ่งขึ้นในการศึกษาธรรม คืออย่างไร

    ท่านอาจารย์ พูดถึงสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังมาก่อน เราพูดเรื่องการปลูกต้นไม้ เราพูดเรื่องการทำอาหาร เราพูดเรื่องการตัดเสื้อ ธุรกิจต่างๆ เคยได้ยินมาแล้วทั้งนั้น คำเหล่านั้นไม่เห็นแปลกอะไร แต่คำที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เห็นอะไรแค่นี้ ได้ยินมาก่อนหรือเปล่า มีใครเคยถามใครว่า เดี๋ยวนี้เห็นอะไร ทั้งๆ ที่กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ที่เห็นนั่นเอง ถามว่าเห็นอะไร ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน และคำตอบเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ต่างกับที่เราบอกว่าเห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นคน เห็นเก้าอี้ เรายังต้องคิดเลย จริงไหม ทุกคำที่ได้ฟังจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ให้เชื่อ แต่ว่าความจริงเห็นอะไร ก็ต้องเห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ เห็นแข็งได้ไหม เห็นหวาน เห็นเค็มได้ไหม เห็นโกรธ เห็นจำ ได้ไหม ไม่มีอะไรเลย ธรรมหนึ่งคือหนึ่ง

    เพราะฉะนั้นธรรมหนึ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นทางตา ซึ่งต้องอาศัยตา และธาตุรู้เกิดขึ้นเฉพาะรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาคือเห็นเท่านั้นเป็นหนึ่ง สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่เห็น สิ่งที่ปรากฏทางตาก็ไม่ใช่ตา ธาตุรู้ที่กำลังเห็นก็ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏและไม่ใช่ตา และก็ยังมีสภาพธรรมที่อาศัยให้ธาตุเห็นเกิดขึ้นเห็นอีก ซึ่งไม่ได้ปรากฏ แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงที่ละเอียดยิ่งของทุกอย่างเพื่ออะไร แม้ในเบื้องต้นให้รู้ว่าไม่ใช่เรา ไม่มีเราสักอย่าง หาไป ยิ่งฟังยิ่งไม่มี เจอเราไม่ได้เลย มีแต่ธรรมแต่ละหนึ่งๆ ทั้งหมด ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา นี่เป็นเบื้องต้นของปฏิปัตติ ซึ่งคนไทยเข้าใจผิดคิดว่าทำ แล้วใครทำ ถ้าไม่เข้าใจก็คือเราทำ ทำอะไร ไม่มีความรู้ก็ไปทำอะไรก็ไม่รู้ แล้วจะรู้อะไร ก็ยังไม่รู้อีกว่าจะรู้อะไร แต่เมื่อได้ฟังแล้วรู้ว่าความจริงนี้รู้ได้ แต่ไม่ใช่ด้วยความเป็นเรา รู้ได้ด้วยปัญญา ความเข้าใจถูก แม้แต่ในเบื้องต้นว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ฟังอีกนานเท่าไรไม่ต้องคำนึงถึง เพราะความไม่รู้ในแสนโกฏกัปป์ ทุกครั้งที่เห็น ได้ยิน แม้เดี๋ยวนี้มากมายเกินที่จะประมาณได้ รวมกี่จักรวาลก็ยังไม่เท่า

    เพราะฉะนั้นได้ยินคำจริง รู้ว่าจริง แต่ว่าไม่ถึงกาละที่จะประจักษ์แจ้งว่า เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏ ยังไม่เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย ถ้าไม่มีการคิด จะเป็นอะไรไม่ได้เลย นอกจากเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เท่านั้นเอง ทำอะไรไม่ได้แค่ปรากฏ ไม่ได้ทำให้ใครรัก ไม่ได้ทำให้ใครชัง ลักษณะนั้นก็คือว่า มี อยู่ที่มหาภูตรูป มหาภูตรูปคือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ที่ใดมีที่แข็งๆ อ่อนๆ ที่นั่นมีสิ่งที่กระทบตาได้ โดยแข็งกระทบไม่ได้ แต่สิ่งนั้นที่อยู่ตรงนั้นเท่านั้นที่กระทบตาได้ และแสดงอาการปรากฏ เหมือนนางยักษิณีแปลงตัว ธาตุแข็งนี่แหล่ะแปลงเป็นดอกไม้ แปลงเป็นแก้ว แปลงเป็นสีนั้นสีนี้ อาหารรสต่างๆ ทั้งหมดเลย ความไม่รู้มีแค่ไหน นี่คือก่อนจะถึงปฏิปัตติ ต้องมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นไม่ใช่ตัวตนไปปฏิบัติ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นอย่างนี้ ก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยิ่งเผยแพร่ก็ยิ่งทำลายคำสอนให้หมดไป


    หมายเลข 10917
    25 ต.ค. 2568