003 สนทนาพิเศษ เรื่อง ธรรมเบื้องต้น
สนทนาพิเศษ เรื่อง ธรรมะเบื้องต้น
ที่ บ้านคุณจักรกฤษณ์ และคุณชฎาพร เจนเจษฎา
วันพุธที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๓
ท่านอาจารย์ เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม ศีลก็เป็นธรรม แต่พอจำแนกออกแล้ว เห็นเป็นจักขุวิญญาณธาตุ ในขณะที่ตาเป็นเพียงจักขุธาตุ แต่ว่าเห็นไม่ใช่ตา เพราะฉะนั้นเห็นต้องอาศัยตา จึงใช้คำว่าสภาพรู้ที่อาศัยตา ธรรมดาที่สุดเลย แต่อีกภาษาหนึ่งใช้คำว่าจักขุวิญญาณธาตุ
เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไรก็ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นโลกปรากฏตั้งแต่เกิด เพราะมีธาตุรู้ปรากฏ เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดก็ไม่ปรากฏ เดี๋ยวนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่คุณจักรกฤษณ์ ไม่ใช่ใครเลย ธาตุรู้กำลังรู้ กำลังเห็น กำลังฟัง กำลังคิด กำลังจำ ทั้งหมด ไม่ใช่เรา
คุณทวีศักดิ์ ก็คือไม่มีตัวตน
ท่านอาจารย์ ไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วจะพูดว่าตนเป็นที่พึ่งแก่ตนก็ได้ เพราะเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้คัดค้านกันเลย แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด ที่ต้องเข้าใจตั้งแต่ต้นโดยชัดเจน ไม่ปะปนกัน ว่าตนที่นี่หมายความถึงธาตุรู้ แต่ว่าเราก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะธาตุรู้ เรามีรูปธาตุด้วย ใช่ไหม
คุณทวีศักดิ์ ธาตุที่ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ธาตุที่ไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่เราบอกว่า กาย ร่างกาย ก็คือธาตุที่ไม่รู้อะไร แต่ก็ไม่ใช่ของเรา และก็มีธาตุรู้ด้วย เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีชีวิตทั้งหมดต้องมีสองอย่างในโลกนี้ คือมีธาตุรู้ ซึ่งมองไม่เห็นเลย ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสีสัน ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส จับต้องไม่ได้ กับรูปร่างกาย ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นเห็นต้องอาศัยตา ได้ยินต้องอาศัยหู ได้กลิ่นต้องอาศัยจมูก ทุกอย่างเลย จะเกิดตามลำพังไม่ได้เลยสักอย่างเดียว ให้มีความเข้าใจที่มั่นคงอย่างนี้ แล้วจะตอบคำถามทุกคำถามได้
คุณทวีศักดิ์ ถ้าเช่นนั้นก็จะมาพูดถึงสิ่งที่มีจริง ท่านผู้พิพากษาจักรกฤษณ์ ที่บอกว่าเห็น ถ้าเป็นตัวตนเราก็บอกว่าเราเห็น แต่ถ้าไม่ใช่ตัวตนก็คือ มีธาตุรู้ เห็นที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่า จักขุวิญญาณจิต
อ.จักรกฤษณ์ เป็นภาษาบาลี
คุณทวีศักดิ์ ถ้าจะถามต่อไป สิ่งที่ถูกเห็น หรือว่าเห็นนั้น เห็นอะไร อยากให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยกรุณาอธิบายด้วยครับ
ท่านอาจารย์ อันนี้ยิ่งยาก เพราะอะไร เพราะว่าเห็นมามากมายมหาศาลทุกวันด้วย แต่ไม่รู้
คุณทวีศักดิ์ ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน เห็นมาตลอด
ท่านอาจารย์ และต่อไปอีก เห็นเปลี่ยนได้ไหม เมื่อแสนโกฎิกัปป์ เห็นก็ต้องเป็นเห็น แล้วก็จะเห็นต่อไปข้างหน้าด้วย แต่ก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้ฟังด้วยความไตร่ตรองจริงๆ เราต้องคิดถึงสิ่งที่เราได้ยิน และก็ไตร่ตรองว่าจริงไหม ต่างจากที่เราเคยคิดมาก่อน ใช่ไหม ถ้าก่อนฟังธรรมเราบอกว่า เราเห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ แต่ถ้าไม่มีเห็น จะมีความคิด ความจำไหมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
คุณทวีศักดิ์ ไม่มี
ท่านอาจารย์ ก็ต้องไม่มี เพราะฉะนั้นเวลาที่เห็นก็ต้องมีสภาพที่กำลังรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรกำลังปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหม กำลังมีอะไรปรากฏให้เห็น
คุณทวีศักดิ์ มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพราะเห็น เห็นสิ่งนั้น สิ่งนั้นจึงปรากฏว่ามี และก็มีให้เห็นด้วย ไม่ใช่มีให้ไม่เห็น หรือจำเอา แต่มีให้เห็นเมื่อเห็น ในขณะเห็นเท่านั้น ลองหลับตา
คุณทวีศักดิ์ หลับตาก็จะไม่เห็น ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรเลย เห็นไหม เพราะฉะนั้นแม้แต่คำว่า เห็นสิ่งที่เพียงปรากฏให้เห็นได้ ถูกไหม
คุณทวีศักดิ์ เป็นสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ให้เห็นได้ และสิ่งนั้นที่ปรากฏให้เห็นได้ คือสิ่งที่มีจริงแน่ๆ ถูกต้องไหม กำลังเห็นอย่างนี้ต้องมีจริง แต่สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่กระทบตาได้ ถ้ากระทบตาไม่ได้จะเห็นไม่ได้ เห็นแข็งไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ ไม่มีทาง เห็นกลิ่นไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเสียง
คุณทวีศักดิ์ ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นรส
คุณทวีศักดิ์ ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เห็นเย็น
คุณทวีศักดิ์ ไม่เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นในบรรดาธรรมทั้งหมด คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปลี่ยนไม่ได้เลย
คุณทวีศักดิ์ ฉะนั้นที่ว่าถึงทีละขณะ ทีละอย่าง ก็คืออย่างนี้ใช่ไหม
ท่านอาจารย์ แน่นอน
คุณทวีศักดิ์ เพราะเวลาเห็นก็เห็นสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ทันทีที่เห็น ทุกอย่างเลย แสดงว่าเห็นเกิดดับนับได้ไหม กว่าจะเป็นแต่ละหนึ่ง จนกว่าจะเป็นดอกไม้แต่ละดอก เป็นแก้ว หรือว่าเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ มากมายมหาศาล ใครรู้ ถ้าไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีทางเลยที่จะมีแสงสว่าง ที่จะทำให้หายจากความมืดซึ่งเกิดมานับชาติไม่ถ้วน แล้วไม่รู้อะไรเลย แล้วทั้งหมดก็หมดไป แต่ละชาติๆ จำชาติก่อนไม่ได้เลย เห็นชาติก่อนต้องมีแน่ แต่จำไม่ได้ว่าเห็นอะไร แล้วชาติหน้า ก็จำไม่ได้ว่ากำลังเห็นสิ่งนี้เดี๋ยวนี้ เพราะทุกอย่างเกิดแล้วดับไป เร็วสุดที่จะประมาณได้ แล้วไม่กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้นแต่ละชาติก็เป็นแต่ละหนึ่งขณะ หนึ่งขณะ หนึ่งขณะ รวมกัน แล้วก็เป็นคนบ้าง เป็นอะไรบ้างก็แล้วแต่ เเล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นเพียงแค่หนึ่งอย่าง ไม่ใช่เห็นดอกไม้ ไม่ใช่เห็นคน เพราะว่าถ้ารู้ว่าเป็นคนกับดอกไม้ ต้องมีคิดแล้ว และคิดถึงอะไร คิดถึงสีสันวัณณะที่หลากหลาย จนกระทั่งสามารถรู้ได้ว่าในแจกันมีดอกอะไรบ้าง ยังไม่ต้องไปถึงคน เห็นไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นก่อน จะรู้ไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ไม่รู้ แต่พอเห็นแล้ว นั่นสีม่วง นั่นสีขาว นี่ต่างกัน นั่นสีเขียวเป็นใบไม้ เพราะจากเห็นก็จำ ถ้าไม่จำก็มีแต่สิ่งที่ปรากฏ และจำไม่ใช่เห็น ในขณะที่เห็นมีจำด้วย และจำสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นด้วย แต่ไม่ใช่ขณะที่รู้ว่าเป็นดอกไม้ นั่นต้องเป็นอีกหลายขณะ เพราะฉะนั้นแสดงความรวดเร็วของธรรม เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือยัง นี่คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณทวีศักดิ์ ยังไม่รู้ธรรม ยังไม่รู้ความจริงดังที่ท่านอาจารย์กล่าวถึง โดยปกติแล้ว เราเห็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มันจะรวดเร็วมากจนไม่รู้ เห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นดอกไม้สีเหลือง สีโน้น สีนี้ ชอบไม่ชอบ สวย ไม่สวยอะไรต่างๆ ขณะอะไรต่างๆ มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา แต่เราไม่รู้ มันเร็วมากอย่างที่อาจารย์กล่าว
ท่านอาจารย์ ใครให้จะรู้ได้ ถ้าพระสัมมาสัมเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ก่อน แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งนี้ ก็ไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้นเริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพยิ่ง เพียงแค่หลับตาก็ไม่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา หลงติดยึดมั่นว่ายังมีอยู่ แต่เร็วยิ่งกว่านั้นคือ กำลังเห็นอย่างนี้สิ่งที่ปรากฏเกิดดับนับไม่ถ้วน
คุณทวีศักดิ์ ก็เอาเรื่องของความเกิดดับทีละขณะ การเห็นเรายังจะไม่ไปพูดถึงความรู้สึก ความจำอะไรใดๆ เห็น แล้วก็ต้องมาคิด ใช่ไหม ข้ามมาเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่า คิดต้องไม่ใช่เห็นแน่ๆ เพราะไม่เห็นก็คิด จำได้เลย จำคุณจักรกฤษณ์ได้เลย นึกถึงหน้า นึกถึงอะไรก็แล้วแต่ เพื่อนคนไหนก็ได้ อะไรก็ได้ สิ่งของอะไรก็ได้ แม้ไม่เห็นก็คิดถึงสิ่งนั้น เพราะจำ เพราะฉะนั้นจำไม่ใช่เห็น จำเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดพร้อมกันกับจิต จิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ที่เรากล่าวถึงเมื่อสักครู่ ธาตุรู้ ภาษาไทยเราใช้คำว่า ธาตุรู้ หรือจะรวมใช้คำว่า นามธาตุ ก็ได้ แต่นามธาตุก็มีมากมายหลายอย่าง ในนามธาตุทั้งหมด จิตเป็นนามธาตุซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ใช่ความจำ ไม่ใช่ความชอบ ไม่ใช่ความไม่ชอบ นั่นเป็นสภาพธรรมที่เป็นนามธาตุหรือนามธรรมที่เกิดพร้อมจิต รู้อย่างเดียวกับจิต แต่โดยฐานะต่างกัน เป็นแต่ละประเภท
เพราะเหตุว่านามธรรมทั้งหมดมี ๕๒ ประเภทที่เป็นเจตสิก ที่เกิดกับจิต โดยจิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน ถ้าไม่มีจิต สภาพที่เกิดกับจิตก็เกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นสภาพที่เกิดกับจิตใช้คำว่า เจตสิกะ หมายความถึงธรรมที่เกิดในจิต เกิดพร้อมจิต อาศัยจิต เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน และโดยนัยเดียวกัน จิตก็ต้องอาศัยเจตสิก ถ้าไม่มีเจตสิก จิตเกิดไม่ได้ ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่สามารถจะเกิดได้โดยไม่มีสิ่งที่อาศัยกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้น
คุณทวีศักดิ์ เกิดร่วมกัน
ท่านอาจารย์ เกิดร่วมกัน ถ้าเป็นธาตุรู้ ก็รู้ในขณะเดียวกัน รู้สิ่งเดียวกัน แต่ต่างฐานะ คือจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้ง แล้วเจตสิกที่เกิดร่วมด้วยก็จำสิ่งที่จิตกำลังรู้แจ้ง เพราะเป็นธาตุรู้ด้วย
คุณทวีศักดิ์ ก่อนหน้านั้นได้พูดถึงความดี ความชั่วอะไรต่างๆ เป็นเจตสิกหรือไม่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง นี่เริ่มเข้าใจแล้ว ที่ว่าเป็นเราดี เราชั่ว คือเป็นธรรมทั้งหมดคือจิตและเจตสิก ถ้าไม่กล่าวถึงรูป รูปไม่รู้อะไร ถ้ามีคนบอกว่า ถูกตีเจ็บ เจ็บเป็นธรรมหรือเปล่า
คุณทวีศักดิ์ เป็น
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมอะไร
คุณทวีศักดิ์ เป็นเวทนา เป็นความรู้สึก
ท่านอาจารย์ นี่ศึกษามาแล้ว แต่คนที่ไม่ศึกษาเลย ก็จะตอบว่ารู้สึกเจ็บหรืออาจจะเจ็บก็เป็นเจ็บ แต่เจ็บมีจริงๆ เจ็บเกิดเองได้ไหม ถ้าไม่ตี เจ็บก็ไม่เกิด
คุณทวีศักดิ์ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรทั้งนั้นสักนิดสักหน่อย เล็กสักเท่าไรก็ตาม เกิดขึ้นเพราะมีสภาพที่อาศัยกันและกันปรุงแต่งให้เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น นี่คือความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใครจะไปดลบันดาลให้เกิดขึ้น ให้หมดไป ให้ตั้งอยู่ แต่ธรรมแม้เป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ เพราะความไม่รู้มีจริงๆ เป็นธรรมหรือเปล่าความไม่รู้
คุณทวีศักดิ์ เป็นความจริง
ท่านอาจารย์ เมื่อสักครู่เรากล่าวแล้ว เป็นอวิชชา ขณะที่กำลังเข้าใจเป็นอวิชชาหรือเปล่า กำลังเข้าใจ
คุณทวีศักดิ์ เป็นวิชชา
ท่านอาจารย์ เป็นวิชชา ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง เป็นธรรมอะไร จิต หรือเจตสิก หรือรูป ความเข้าใจ
คุณทวีศักดิ์ ความเข้าใจเป็นเจตสิก
ท่านอาจารย์ เป็นเจตสิก นี่ก็คือว่าเริ่มเข้าใจธรรม เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เริ่มรู้ทุกคำว่าที่พระองค์ตรัสถึงธรรมทั้งหมด แม้ละชั่วก็ไม่ใช่ว่าเราทั้งหมดต้องเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเป็นจิต หรือเจตสิก หรือรูปอย่างหนึ่งอย่างใด ก็เป็นผู้ที่ตรงต่อความจริง ซึ่งมีจริง แต่ถูกปกปิดไว้นานแสนนาน จนกว่าผู้เปิดคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
คุณทวีศักดิ์ เกี่ยวกับผู้ที่สนใจธรรม จะมีในเรื่องที่กล่าวกันว่ามีการสะสมมา อย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าผู้ที่ไม่สนใจก็ไม่ได้มีการสะสมมา
ท่านอาจารย์ เราก็พูดอย่างที่เราเข้าใจ มีการสะสมมา แต่ไม่มีเราใช่ไหม
คุณทวีศักดิ์ ไม่มี
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจิตแต่ละหนึ่งขณะเกิดแล้วดับ ถูกต้องไหม
คุณทวีศักดิ์ ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ จิตที่ดับไปแล้วนั่นแหละเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที เร็วสุดที่จะประมาณได้ไม่มีระหว่างคั่น ทีละหนึ่งขณะ เพราะฉะนั้นสิ่งใดที่อยู่ในจิตที่เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด จิตที่เกิดเพราะจิตนั้นก็มีสิ่งนั้นแหละที่สะสมอยู่ในจิต สะสมหมายความว่า จำ ครั้งแรกที่เห็น จำแล้วใช่ไหม
คุณทวีศักดิ์ จำแล้ว
ท่านอาจารย์ ครั้งต่อมาพอเห็นก็รู้ นั่นก็คือเพราะจำ
คุณทวีศักดิ์ รู้เพราะจำ
ท่านอาจารย์ สะสมมาแล้ว ใช่ไหม รับประทานอาหารอย่างหนึ่ง ชอบมาก รับประทานบ่อยๆ แสวงหาบ่อยๆ เพราะจำ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่าการสะสม สะสมดีและชั่ว
ถ้าโกรธคนนั้น ไม่ลืมยังจำได้ว่าโกรธอะไร แต่ถ้าโกรธมากๆ บ่อยๆ คนที่โกรธเป็นคนเจ้าโทสะ เห็นอะไรก็ไม่ถูกใจไปหมดเลย ส่วนอีกคนหนึ่งก็เจ้าโลภะ เห็นอะไรก็ชอบไปหมด อยากจะได้ไปหมด ไปตลาดอยากซื้อหมดเลย ผักก็ดี ปลาก็สด ผลไม้ก็น่ารับประทานทั้งหมดเลย แสดงว่ามีเราหรือไม่ หรือมีจิตที่สะสมสิ่งต่างๆ เหล่านี้มาแต่ละหนึ่งหลากหลายมาก ถ้าจะนับเป็นคนหนึ่งคน ก็ประมาณไม่ได้เลยว่าอัธยาศัยต้องต่างกันตามการสะสม เช่นเดียวนี้ ฟังธรรมเข้าใจแค่ไหน เทียบกันได้ไหม ขอยืมกันได้ไหม แลกกันได้ไหม เข้าใจที่เกิดและดับสะสมอยู่ในจิตที่ได้เกิดแล้วต่อไป
เพราะฉะนั้นเมื่อวานนี้ได้ฟังธรรมเข้าใจแล้ว วันนี้ฟังอีก เห็นไหม ความจำจากสิ่งที่ได้เคยฟังเข้าใจเพิ่มขึ้น ไม่ลืม ทุกอย่างดีชั่วสะสมอยู่ในจิต เปลี่ยนใครไม่ได้เลย เขาสะสมมาอย่างนั้นที่จะไม่สนใจธรรม แค่เกิดมาสบายแล้ว สนุกไปไม่มีทุกข์ก็พอแล้ว บางคนคิดอย่างนั้น แต่คนที่สะสมมาเพียงได้ยิน รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่มีค่ามาก พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นไม่เคยฟังมาก่อน จะเป็นอย่างนี้หรือไม่ มีตั้งหลายคน อย่างเวลาที่เราไปสนทนาธรรมที่ต่างๆ ใครสนใจแค่ไหน รู้ได้เลย ยิ่งเป็นเยาวชนก็ยิ่งหลากหลายมาก แสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เคยสะสมมาแล้ว เปลี่ยนได้ไหมเพราะไม่มีเรา แต่จิตต่างหากที่รู้และจำ รู้และจำ รู้แล้วสะสมต่างๆ มีเด็กหลายวัยที่สนใจฟังธรรม
ที่มูลนิธิก็มีเด็กที่ตามคุณพ่อไปคนหนึ่งก็อายุ ๑๔ บางคนก็ยังเล็กกว่านั้นอีก และฟังด้วยจริงๆ ในขณะที่เพื่อนฝูงคงไม่ได้ฟัง แต่ว่าสิ่งแวดล้อมก็สำคัญ เพราะเหตุว่าถ้าพ่อแม่ไม่ฟัง ลูกไม่มีโอกาสได้ยิน แต่ถ้าฟังบ่อยๆ ไม่ชวนเลยสักคำ เข้าใจเองค่อยๆ ใส่ใจ ค่อยๆ สนใจ มีคนหนึ่งเขาฟังธรรมมาก เป็นปีๆ หลายสิบปี เขาไม่รู้เลยว่าลูกเขาฟังด้วย จนกระทั่งลูกเขาบอกหรือว่าเข้าใจธรรมดีมาก ก็แสดงให้เห็นว่าระหว่างที่พ่อฟัง แม่ฟัง ลูกฟังด้วย เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่อาศัยที่มีกำลัง ที่จะทำให้เป็นอย่างนั้น
คุณทวีศักดิ์ แสดงว่าเด็กคนนี้มีการสะสมมามาก
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ชาติหน้าเด็กคนไหน ถ้าได้ฟังธรรมเดี๋ยวนี้มาก เข้าใจมาก เกิดอีกถ้าเป็นคนอีก เด็กคนไหน เข้าใจธรรม สนใจธรรม
อ.จักรกฤษณ์ ตรงที่ท่านอาจารย์กล่าว ท่านอาจารย์ไปบรรยายที่เชียงใหม่ แล้วก็มีสมาชิกท่านหนึ่งท่านก็อายุเยอะ ก็มาสนทนา มากราบอาจารย์แล้วก็ได้คุยกันว่า ท่านได้ฟังธรรมมาเป็นเวลาหลายสิบปีแล้วลูกชายก็อยู่ในบ้าน แต่ท่านไม่ได้สนใจว่าฟังหรือเปล่า มีอยู่วันหนึ่งลูกชายเขาทำเกี่ยวกับทางด้านหุ้น ก็มาถาม มาบอกคุณพ่อว่า มีสิ่งที่ไม่ดีเกี่ยวกับที่ทำงานเขาในเรื่องหุ้นก็มาปรึกษา แต่เขาตัดสินใจทำสิ่งที่ถูกต้อง คุณพ่อก็ถามว่าแล้วทำไมมีความคิดอย่างนี้ เขาก็อธิบายว่าเด็กๆ คุณพ่อเปิดท่านอาจารย์บรรยายเรื่องความดีอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร ความชั่วเป็นอย่างไร ก็อธิบายในลักษณะที่เราสนทนากัน เด็กที่ฟังมาแต่เด็ก แต่เราไม่รู้ว่าเขาฟัง สนใจ หรือว่าจะมีความคิดอย่างไร แต่ว่าพอถึงเวลาสะท้อนให้เห็นว่า การละความชั่วนี้เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ไปบังคับให้เขาต้องทำดี ทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่เกิดจากความเข้าใจจริงๆ เป็นเรื่องที่อธิบายได้ชัดเจนถึงธรรมที่เขาเกิดขึ้น มีเหตุปัจจัยที่ท่านอาจารย์อธิบายโดยละเอียด ถึงเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปเป็นปกติอย่างนั้นเลย นี่เป็นตัวอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงเมื่อสักครู่
ท่านอาจารย์ ธรรมจำกัดเชื้อชาติหรือไม่
คุณทวีศักดิ์ ไม่จำกัด
ท่านอาจารย์ เพราะเป็นธรรม คนที่เกิดเมืองไทย ที่เรียกตัวเองว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่สนใจธรรมเลย เพราะไม่ได้สะสมมา มากหรือไม่ แต่ต่างชาติแม้สะสมมาอยู่ไกลแสนไกล เขาก็สามารถเข้าใจและสนใจธรรม และศึกษาธรรมได้ พ่อแม่ก็ไม่เคยให้เขาได้เข้าใจธรรมอะไรเลย แต่ว่าเขาเปิดเว็บไซต์ แล้วพ่อแม่ไม่รู้เลย แต่พ่อเป็นคนที่เข้าใจธรรมดี แต่เขาก็เล่นเหมือนเล่นเว็บไซต์ ใครจะรู้ว่าเขาฟังธรรม แล้วเข้าใจดี แล้วฝากคำถามมาถาม โดยที่ไม่มีใครรู้ด้วย
คุณทวีศักดิ์ เข้ามาที่เว็บไซต์ ดัมมะโฮมดอทคอม ใช่หรือไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นธรรมไม่ใช่ว่าจำกัดว่าจะต้องเป็นคนนี้คนนั้น จะเกิดที่สวรรค์ มนุษย์ ประเทศไหน ชาติไหน ถ้ามีการสะสมมาแล้ว ผันมาสู่การที่จะได้ฟังอีก ซึ่งแต่ละท่านที่นี่ก็คงจะเป็นอย่างนั้น ซึ่งไม่ได้เคยคิดมาตั้งแต่เด็กว่าจะสนใจธรรม หรือว่าจะได้ฟัง ได้เข้าใจธรรม
คุณทวีศักดิ์ เรื่องธรรม เมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวถึง ท่านผู้พิพากษาพูดถึงเรื่องการฟังธรรม ท่านอาจารย์เคยใช้คำว่า ฟังธรรมด้วยดี เรื่องนี้อยากให้ท่านอาจารย์ได้ช่วยชี้แนะด้วย
ท่านอาจารย์ ด้วยดี คือไม่ใช่เพียงแค่ได้ยินคำแล้วผ่านไป แต่ละคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่คำนี้ก็ทำให้เราต้องไตร่ตรองที่จะต้องเข้าใจคำนั้นให้ถูกต้อง เพื่อตัวเองจะไม่เข้าใจผิด และไม่ไปทำให้คนอื่นเข้าใจผิดตามเราด้วย ถ้าเราจะกล่าวถึงธรรมที่ไม่ตรง ไม่ถูกต้อง แล้วก็ผิวเผิน ก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา เพราะเหตุว่าพระพุทธศาสนาสอนถึงสิ่งที่มีจริง เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีค่าใดจะเทียมได้ แต่ถ้าเราศึกษาเพียงผิวเผิน ไม่เข้าใจ ทำลายพระพุทธศาสนา ขอยกตัวอย่างสำนักปฏิบัติธรรม ทำลายพระพุทธศาสนา ฟังแล้วตกใจไหม
คุณทวีศักด์ มีมากมายเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ คุณจักรกฤษณ์มีความเห็นว่าอย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ ผมก็ผ่านมาแล้วสำนักปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะว่าส่วนใหญ่ ๙๐% ท่านสอนอย่างนั้น ก็คือเวลาศึกษาพระธรรม ก็สอนว่าต้องมีทฤษฎี มีปฏิบัติ ทฤษฎีก็เรียนบ้างแล้วก็ไปปฏิบัติ หรือบางที่ก็บอกว่าไม่จำเป็นทฤษฎีไม่ต้องศึกษาคำสอน แต่ไปปฏิบัติเลย หมายความว่าไปเดิน ไปนั่ง ไปทำอะไร เป็นการปฏิบัติเลย ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่สอนกันส่วนใหญ่ ถ้าศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ ท่านอธิบายไว้หลากหลายนัยยะ ท่านจะอธิบายไว้ชัดเจนว่า ต้องเริ่มเป็นลำดับ ตั้งแต่ขั้นปริยัติ คือต้องมีความรอบรู้ปริยัติ ความรู้ทั้งหมดต้องรอบรู้จริงๆ แล้วปฏิบัติจะเกิดขึ้น ปฏิบัติในนี้ก็มีความหมายที่ไม่ใช่ที่เราเข้าใจทั่วไป เราเข้าใจว่าปฏิบัติก็คือการไปลงมือทำ แต่ปฏิบัติที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เป็นการเข้าถึงสภาวธรรม เป็นการเข้าถึงเฉพาะสภาวธรรมที่เรากล่าวเมื่อสักครู่ว่า สิ่งที่มีจริงมีสภาวะอะไรบ้าง การปฏิบัติของท่านหมายถึงเข้าไปถึงสภาวะนั้น เนื่องจากมีปัญญาในขั้นปริยัติที่เพียงพอแล้วเป็นลำดับไป
