ยังมีหนทางในการรักษาพระพุทธศาสนา


    อ.อรรณพ อยากให้ท่านอาจารย์และท่านวิทยากร ได้ร่วมกันสนทนาว่า ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธพอจะฟัง พอจะเข้าใจแล้วว่า เถรวาทคืออย่างไร จะช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทได้อย่างไรบ้าง ทั้งในเรื่องของทางกฎหมาย จากท่านอาจารย์นักกฎหมายทั้งสองท่าน แล้วก็ในเรื่องของพระธรรมวินัย จากท่านอาจารย์และท่านวิทยากร ในข้อกฎหมาย อาจารย์จริยาท่านก็เป็นกฤษฎีกา ร่างกฎหมายมาเยอะ อาจารย์จะสรุปให้พวกเราได้เข้าใจกันว่า ตอนนี้ในทางกฎหมายควรที่จะดำเนินการอะไรต่อไป ถ้าได้เข้าใจแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไร ทางบ้านเมืองควรที่จะปรับกฎหมายหรือร่างกฎหมายอย่างไร

    อ.จริยา รัฐธรรมนูญได้กำหนดเรื่องว่า พุทธศาสนาเป็นแบบเถรวาท หน้าที่ของเราก็คือให้พิจารณาว่า บัดนี้มีกฎหมายอะไรบ้างที่ขัดกับพุทธศาสนาแบบเถรวาท จะต้องเรียนทำความเข้าใจอย่างนี้ว่า กฎหมายเมื่อไรที่สภาพของข้อเท็จจริง หรือสภาพบ้านเมือง หรือว่าสภาพของสังคมเปลี่ยนแปลงไป กฎหมายแก้ไขได้เสมอ เมื่อกฎหมายแก้ไขได้เสมอ หน้าที่ของผู้ที่จะแก้ไขกฎหมายคือใคร ก็คือผู้รับผิดชอบบ้านเมือง ถ้าเป็นในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ง่าย เมื่อพระมหากษัตริย์ท่าน

    อ.อรรณพ มีความเข้าใจ

    อ.จริยา ท่านทรงเข้าใจ ก็สามารถที่จะแก้กฎหมายได้ทันที แต่บัดนี้อยู่ในสมัยประชาธิปไตย การแก้ไขกฏหมายก็มีริเริ่มได้ทั้งทางสภา ใช้คำว่า สภา เพราะว่าในแต่ละสมัยก็เรียกไปต่างๆ และทางฝ่ายรัฐบาล และรัฐธรรมนูญก็อาจจะให้สิทธิประชาชนด้วย ถ้าทุกฝ่ายตระหนักว่า บัดนี้สถานการณ์ของพุทธศาสนาไม่ตรงตามหลักธรรมตามพระธรรมวินัยของพุทธศาสนาเถรวาท หน้าที่ของรัฐบาลก็ควรที่จะรีบดำเนินการให้มีการแก้ไขกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่ารัฐบาลไม่สนใจที่จะแก้ เพราะเหตุที่ว่ามีกฎหมายที่จะต้องแก้ไขอยู่ในขณะนี้มากมาย โดยเฉพาะกฎหมายที่ถูกบังคับตามรัฐธรรมนูญ

    เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ของทุกๆ ภาคส่วน โดยเฉพาะเราภาคเอกชน ก็สามารถที่จะริเริ่มในการที่จะเสนอด้วย เพราะเหตุที่ว่าในรัฐธรรมนูญมาตรา ๖๗ ได้พูดชัดว่า เป็นหน้าที่ของทุกคน ที่จะต้องธำรงรักษาไว้ในพุทธศาสนาแบบเถรวาท โดยการที่เผยแผ่ความถูกต้อง ความเข้าใจในพุทธศาสนาแบบเถรวาท เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ววิธีที่ง่ายที่สุดก็คือ ถ้าภาครัฐเข้าใจแล้วคิดว่าเป็นปัญหาสำคัญของบ้านเมือง ก็ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะในกฎหมายรัฐธรรมนูญท่านก็เขียนไว้รอบคอบมากเลย ในเรื่องแนวนโยบายของรัฐว่า เมื่อไรที่มีบทบัญญัติของกฎหมายที่ไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ก็ให้ดำเนินการ รีบดำเนินการแก้ไขเสีย แต่ถ้าท่านทราบถึงการแก้ไขกฎหมายแต่ละฉบับใช้เวลานานมาก เพราะว่าในกระบวนการแก้ไขกฎหมายโดยเฉพาะรัฐธรรมนูญนี้ มีกระบวนการมากมาย โดยเฉพาะเรื่องการทำประชาพิจารณ์ กว่าที่จะให้ทุกภาคส่วนเห็นด้วย ท่านลองนึกถึงภาพว่า จะมีใครเห็นด้วยสักกี่คน ในกรณีที่ว่าพุทธศาสนาในขณะนี้กำลังเสื่อมโทรม แต่ว่ามีทาง เมื่อไม่มีใครคิดจะแก้ไข ถ้าเราได้สนทนากันแล้ว เราเห็นว่าตรงนี้มีส่วนที่เราจะต้องช่วยเหลือทางภาครัฐก็ทำหน้าที่ของเรา ก็คือรวบรวมประเด็นต่างๆ ที่เราเห็นว่าควรที่จะแก้ไขทั้งกฎหมายคณะสงฆ์ ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งที่ทางมูลนิธิเคยนำเรียนไปแล้ว

    เพราะฉะนั้นถ้าได้ร่วมมือร่วมใจกันทำ ดิฉันคิดว่าในขณะนี้ทางมูลนิธิก็พยายามให้ความรู้ประชาชนเพื่อให้เข้าใจ เมื่อประชาชนเข้าใจพุทธศาสนาเถรวาทคืออย่างไรแล้ว คิดว่าหนทางพอมีอยู่ แล้วถ้าภาครัฐท่านเข้าใจในบทบาทของท่าน เข้าใจเรื่องพุทธศาสนาแบบเถรวาทแล้ว ก็น่าจะต้องรีบดำเนินการแก้ไข

    การแก้ไขกฎหมายคณะสงฆ์ ซึ่งเป็นกฎหมายในเรื่องของการดูแลปกครองสงฆ์ ปกติถ้าตามประวัติศาสตร์แก้ไขยากมาก แต่ละครั้งๆ ท่านจะเห็นว่า ถ้าไม่ได้แก้โดยสามวาระรวดจากสภา แทบจะไม่เคยแก้ได้เลย แม้ทำร่างแล้วก็มีอันไม่ได้ แต่ดิฉันเรียนอย่างนี้ก็อย่าเพิ่งไปรู้สึกว่า แก้ไขไม่ได้ แก้ได้เพราะว่ากฎหมายแก้ไขได้เสมอ โดยเฉพาะแก้ไขเพื่อให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

    อ.อรรณพ ก็เป็นความรู้และข้อมูลที่ท่านอาจารย์จริยา ที่ท่านร่างกฎหมายมาก ท่านก็ได้ให้ความรู้ถ่ายทอดให้กับเรา ในเรื่องของข้อกฎหมาย อาจารย์จักรกฤษณ์มีอะไรจะเสริมหรือไม่ ที่จะเป็นการช่วยรักษาพระพุทธศาสนาเถรวาทเอาไว้ ด้วยกฎหมายส่วนหนึ่ง

    อ.จักรกฤษณ์ ที่อาจารย์จริยาได้กล่าวไว้ค่อนข้างครอบคลุมหมด ก็คือเมื่อรัฐเข้าใจ ก็ต้องปรับกฎหมายให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องยาก เพราะที่รัฐธรรมนูญเขียนว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือมาช้านาน แต่ว่านับถือมาช้านาน โดยยังไม่เกิดความเข้าใจ เพราะตอนนี้จะกล่าวว่าเก้าสิบกว่าเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่พุทธศาสนาแบบเถรวาท เราต้องเริ่มทำความเข้าใจตรงนี้ให้ชัดเจนก่อน แล้วเราจะเริ่มแก้ไขได้ หนทางที่เราจะทำได้โดยไม่ต้องรอแก้กฎหมายตอนนี้คือ ให้ความรู้กับประชาชน ให้ความรู้กับหน่วยงานของรัฐ เริ่มที่หน่วยงานของรัฐก่อน ตอนนี้มีสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่รับผิดชอบในเรื่องของการศาสนาโดยตรง แล้วก็ภาระหน้าที่ตอนนี้ก็เยอะ แต่ข่าวของพระพุทธศาสนาตอนนี้ เริ่มเป็นที่สนใจของประชาชนมาก เพราะมีปัญหาหลายๆ จุด ตอนนี้ถ้าเขาให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน ให้รู้ชัดเจนว่าเถรวาทคืออย่างไร ตอนนี้สามารถที่จะทำได้ ทำได้เลย เพราะว่าในรัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ว่า ให้ส่งเสริมสนับสนุนการศึกษาและเผยแพร่พระธรรม ของพระพุทธศาสนาเถรวาท ตอนนี้เราทำตามรัฐธรรมนูญได้ทันที คือให้ความรู้ที่ถูกต้องไปให้ครบถ้วน ให้สมบูรณ์

    อ.อรรณพ กล่าวได้หรือไม่ว่า การที่ศึกษาพระธรรมวินัยตรงตามเถรวาท แล้วก็มีการเผยแพร่พระธรรม เป็นการกระทำตามรัฐธรรมนูญ

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่ รัฐธรรมนูญก็เขียนไว้ชัดเจน ตรงนี้ค่อนข้างชัดเจน ในนี้ก็บอกว่าส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชน แม้เราจะไม่ได้เป็นหน่วยงานราชการ หรืออะไรก็ตาม มีส่วนร่วมในการดำเนินการมาตรการหรือกลไกที่จะสนับสนุนพระพุทธศาสนา ส่งเสริม อุปถัมภ์ คุ้มครอง เราก็ทำหน้าที่ตรงนี้ได้ด้วย ดังนั้นสองด้านคือ หน่วยงานของรัฐทำความเข้าใจให้ถูกต้อง โดยเฉพาะหน่วยงานของรัฐเองส่วนหนึ่ง แล้วก็ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องกับประชาชน พุทธบริษัท เรื่องนี้ให้ถูกต้อง ส่วนพุทธบริษัทเองก็ต้องเริ่มที่จะหันมาศึกษาสิ่งที่ถูกต้อง ก็คือเถรวาทที่ถูกต้อง ที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวไปมากมาย เหมือนกล่าวได้ว่าเราถือผ้าดำอยู่ แล้วก็ถูกปิดตา แล้วมีคนมาบอกว่านี่ผ้าขาวๆ ท่านอาจารย์เหมือนเปิดผ้าออกให้เห็นว่า ที่ถืออยู่ผ้าดำ ไม่ใช่ผ้าขาว ที่ทำๆ กันอยู่ เข้าวัดเข้าวา ทำทาน ถือศีล ตรงตามคำสอนหรือไม่ ถูกต้องหรือไม่ เพียงพอหรือไม่ ใช่หรือเปล่า ถือผ้าดำอยู่ พอรู้ว่าเราถือผ้าดำอยู่ ตอนนี้เราก็ต้องเริ่ม

    อ.อรรณพ ทั้งนี้เราไม่ได้บอกว่าทาน ศีลไม่ดี

    อ.จักรกฤษณ์ ใช่

    อ.อรรณพ แต่เพียงทาน ศีล ที่ไม่มีความเข้าใจความเป็นธรรมเท่านั้น ศาสนาอื่นก็มี

    อ.จักรกฤษณ์ ศาสนาอื่นเยอะ ดีกว่าที่จะทำกันอยู่ด้วย

    อ.อรรณพ พระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ก็มีอยู่ นี่ก็เป็นความละเอียด

    อ.จักรกฤษณ์ ตื่นเถิดชาวพุทธ ถ้ายังไม่ตื่นก็ยังแก้อะไรไม่ได้ จะเขียนกฎหมายสวยหรูอย่างไรก็ตาม ทำอะไรไม่ได้

    อ.อรรณพ ด้วยความไม่รู้

    อ.จักรกฤษณ์ ไม่มีทาง หมดหนทาง

    อ.อรรณพ ก็ต้องค่อยๆ ปลุกกันไป

    อ.จักรกฤษณ์ ให้ความรู้ที่ถูกต้อง เน้นย้ำตรงนี้ให้เข้าใจได้

    อ.อรรณพ อาจารย์คำปั่นก็ศึกษาและเผยแพร่พระธรรม อาจารย์คิดว่าพระพุทธศาสนาเถรวาท มีคุณค่าสูงสุด จะธำรงรักษาไว้อย่างไรบ้าง

    อ.คำปั่น ทั้งหมดที่ได้ศึกษา เป็นคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งก็เป็นคำจริงแล้วเป็นประโยชน์เกื้อกูลจริงๆ กล่าวได้เลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงมอบมรดกที่ล้ำค่าก็คือคำจริงแต่ละคำให้กับพุทธบริษัทไว้ แต่ใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ไม่เข้าใจ ผู้นั้นก็จะไม่ได้รับมรดกที่ล้ำค่านี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่ได้ฟังและศึกษา ก็ย่อมจะเป็นผู้ได้รับมรดกที่สำคัญนี้ และผู้ที่เข้าใจธรรมด้วยการศึกษาโดยละเอียดในคำแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อมีความเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็เป็นชาวพุทธที่แท้จริงด้วยที่ได้เข้าใจธรรม ได้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเมื่อมีความเข้าใจแล้ว ก็คือทำกิจที่ควรทำ ด้วยการเผยแพร่คำจริง เผยแพร่ก็คือประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ซึ่งก็จะเป็นการ ให้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ผู้อื่น ตรงตามพระธรรมคำสอน ก็จะเป็นการช่วยกันดำรงรักษาพระพุทธศาสนาให้มั่นคงต่อไป ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องของแต่ละบุคคลต่อไป เพราะฉะนั้นก็กลับมาเริ่มเห็นคุณค่าของพระธรรมแต่ละคำจริงๆ

    อ.อรรณพ อาจารย์วิชัยมาศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาทำไม

    อ.วิชัย เพราะเหตุว่ามีโอกาสได้ฟังพระธรรมแล้วเกิดความรู้ความเข้าใจ ว่าความจริงที่มีไม่สามารถคิดได้เองแน่นอน แต่ต้องอาศัยพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ และมีพระมหากรุณาแสดงธรรม และคิดถึงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากว่าจะตรัสรู้ทรงมีความเพียรอันยิ่งใหญเหลือเกิน บำเพ็ญบารมีไม่ใช่ปีสองปีสิบปียี่สิบปี แต่ถึง ๔ อสงไขยแสนกัปป์ และถ้าคิดถึงตรงนี้ เห็นถึงความยากลำบากของการที่จะได้ตรัสรู้ธรรม กับการที่พระเถระต่างๆ ที่ตรัสรู้ตามพระองค์และได้มีการรักษา มีการกระทำสังคายนาอย่างที่เราได้สนทนามาแล้ว แต่ละท่านไม่ละเลย แม้จะถึงความเป็นพระอรหันต์ เสร็จกิจที่ท่านพึงกระทำแล้ว ดับกิเลสหมดแล้ว แต่ท่านยังช่วยเหลือจะดำรงรักษาพระศาสนาไว้ ก็เพื่อให้แก่คนต่อๆ ไป

    แน่นอน ท่านตรัสรู้ธรรม ท่านเห็นคุณค่าของพระธรรมอย่างแท้จริง เพราะว่าได้รู้ตามพระองค์แล้ว ก็ดับสิ่งที่มีโทษภัยก็คือ อกุศลภายในของแต่ละบุคคลได้หมด ดังนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของพระธรรมที่เป็นสิ่งที่มีค่า ที่จะนำเอาความไม่ดีของแต่ละบุคคลออกไปได้ ด้วยปัญญาที่เกิดขึ้นจากการฟังพระธรรม ดังนั้นแต่ละท่านเมื่อรู้ว่าสิ่งใดไม่ถูกต้อง อย่างเช่น ท่านยสกากัณฑกบุตรเห็นความไม่ถูกต้อง แม้ท่านจะถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ท่านไม่ละเลยที่จะชี้แจง อธิบายสิ่งใดถูกต้อง สิ่งใดไม่ถูกต้องอย่างไร ให้บุคคลเกิดความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้อง สิ่งนั้นจึงจะดำรงไว้ซึ่งพระศาสนาได้

    อ.อรรณพ ด้วยความเห็นประโยชน์เป็นที่สุดของพระธรรมวินัยเถรวาท แล้วก็ระลึกถึงว่าพระเถระในสมัยก่อนนั้นซึ่งทรงคุณ เราไม่เทียบท่าน แต่เป็นแนวทางว่า ท่านก็มีความเพียร มีความอนุเคราะห์ที่จะกล่าวคำจริง ความจริงจนกระทั่งชาวเมืองหรือประชาชนในยุคนั้นเข้าใจ

    อ.วิชัย มีความเข้าใจ

    อ.อรรณพ จะกราบเรียนท่านอาจารย์ถึงสิ่งที่ใหญ่หลวงยิ่ง ว่าตอนนี้แม้ในข้อกฎหมายจากที่ท่านอาจารย์นักกฎหมายทั้งสองท่าน ท่านจะได้ให้ความชัดเจนแล้วว่า พระพุทธศาสนาเถรวาทก็มีกล่าวไว้ตั้งแต่กฎหมายหลักของประเทศสูงสุดคือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ว่าพระพุทธศาสนาในเมืองไทยเป็นแบบเถรวาท แล้วก็ควรที่จะมีการสนับสนุนค้ำจุน มีการเผยแพร่การศึกษาต่างๆ แล้วก็ป้องกันการบ่อนทำลาย แต่เมื่อสักครู่ที่ได้ฟังจากอาจารย์จริยาว่า กระบวนการของการที่จะดำเนินการเพิ่มเติมในเรื่องของกฎหมายให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยยิ่งขึ้น ก็ต้องเป็นเรื่องที่ใช้เวลา และต้องทำประชาพิจารณ์ ก็ความเห็นของประชาชน

    เพราะฉะนั้นในการที่จะเผยแพร่พระธรรมให้ประชาชนเข้าใจ เป็นเรื่องที่ผมใช้คำว่า ยากที่สุด และถ้าได้เข้าใจธรรมก็รู้ว่า แต่ละคนสะสมมาต่างกัน ผู้ที่จะสะสมมาที่จะเข้าใจถูก เห็นถูก มีปริมาณน้อยจริงๆ อย่างที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงว่า เหมือนจำนวนขนที่ขึ้นที่เขาโคน้อยกว่าขนที่ขึ้นเต็มโคทั้งหมดเลย

    เพราะฉะนั้นในเมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้ที่เข้าใจถูกมีน้อยกว่า ในการเผยแพร่จะเป็นไปได้เพียงใด เพราะถ้าประชาชนไม่เข้าใจ เมื่อทำประชาพิจารณ์ เขาก็จะคิดแบบเดิมๆ ของเขาที่ไม่ใช่เป็นเถรวาท เพราะฉะนั้นอย่างไรดี เป็นปัญหาที่ไม่รู้ว่าจะมีทางออกหรือไม่

    ท่านอาจารย์ สถานการณ์ของพุทธศาสนาเวลานี้ เหมือนคนป่วยหนัก รุมเร้าด้วยโรคมากมาย แล้วการที่จะหายารักษาโรค ยาก อย่างที่จะให้ทุกคนได้มีความเข้าใจในพระธรรมที่ถูกต้อง ยานั้นคือยาที่จะเข้าใจธรรมอยู่แสนไกล เหมือนอยู่ที่ป่าเขาหิมพานต์ กว่าจะได้มา แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ผู้ที่มีความหวังดีก็ต้องรู้ว่า เราไม่ทอดทิ้งธุระเลย เราไม่สิ้นความหวัง แต่เราต้องรู้ว่าถ้าเป็นผู้ที่มีความมั่นคง มีความจริงใจ ที่จะธำรงรักษาพระศาสนา เพราะเหตุว่าถ้าเราเพียงคนเดียวทำไม่ได้ แต่ถ้าเราจะช่วยกันทุกองค์กรทุกด้าน แม้แต่รัฐบาลหรือว่าองค์กรต่างๆ ก็ตามแต่ เรื่องความรู้ความเข้าใจ กว่าจะได้มาแต่ละหนึ่งก็แสนยากและก็แสนไกล เพราะฉะนั้นโรคใดที่ร้าย เป็นพิษ ก็รักษาโรคนั้นเสียก่อน โรคหนึ่งซึ่งคนจะมองเห็นได้แม้ในยุคนี้ก็คือว่า ภิกษุมีเงินทอง ซึ่งเป็นการทำลายพระศาสนา เพราะเหตุว่าพระศาสนาเริ่มต้นจากการสละขัดเกลากิเลส แต่การมีเงินทองเป็นการติดข้องมากมายไม่รู้จักพอ เพราะฉะนั้นก็ทำให้เกิดการผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงมากเท่าที่เห็น ทุกหย่อมหญ้าก็ว่าได้

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่น ถ้าตระหนักถึงว่าอะไรต้องแก้ก่อน ก็คือต้องเห็นโทษของการที่ภิกษุมีเงินและทอง ซึ่งในพระธรรมวินัย ถ้ายังคงมีเงินทองอยู่ไม่มีทางที่จะรักษาความเป็นพุทธศาสนาเถรวาทไว้ได้เลย ด้วยเหตุนี้ท่านสามารถที่จะช่วยกันคิดถึงภัยนี้ แล้วก็เริ่มคิดหนทาง อย่าสิ้นหวังและอย่าคิดว่าทำไม่ได้ หนทางก็คือว่าต้องให้เข้าใจให้ถูกต้องอยู่ทุกคนว่า พระภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง แล้วก็ลองถามดู ไม่ใช่ว่าเราต้องการมีภิกษุมากๆ บวชเยอะๆ และก็ไม่เข้าใจพระธรรมเลยว่า บวชทำไม ไม่มีจุดประสงค์ ไม่มีความหมาย เพียงแค่ต้องการคำว่าภิกษุ ที่ต้องการให้บวช รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่เป็นความปรารถนาที่สูงสุด ที่จะให้มีการบวช แต่ลืมว่าบวชไม่ใช่ว่าใครให้ใครบวช แต่ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจพระศาสนาอย่างมั่นคง แล้วก็เห็นประโยชน์จริงๆ ที่จะเป็นภิกษุในธรรมวินัย ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ผู้ที่บวชโดยที่ว่าไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็ไม่ประพฤติขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ทำลายพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะเมื่อมีเงินและทอง ภิกษุรับเงินและทอง ถ้าตราบใดยังเป็นอย่างนี้ไม่มีการที่จะรักษาโรค และไม่มีการที่จะให้พุทธศาสนาเถรวาทดำรงมั่นคงได้

    ด้วยเหตุนี้ ถ้าเห็นโทษภัยอย่างนี้ ต้องหาทางแก้ไขที่จะไม่ให้ภิกษุมีเงินและทอง เป็นการที่อนุเคราะห์พระธรรมวินัย เพื่อที่จะให้เถรวาทมั่นคง ยั่งยืนได้สิ่งนี้เป็นประการที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่พิจารณาเรื่องนี้ ไม่ทำเรื่องนี้ ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้ ก็เป็นแต่เพียงความคิด ความหวัง เหมือนคนที่หวังจะให้โรคหาย แต่ไม่รู้ว่าจะรักษาโรคนั้นได้อย่างไร ใช่ไหม

    เพราะฉะนั้นถ้าจะมีกฎหมายที่อนุเคราะห์ให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยก็คือว่า ให้ภิกษุทุกรูปไม่มีเงินและทอง ตามพระธรรมวินัยที่มีอยู่แล้ว รัฐก็สามารถที่จะอนุเคราะห์ โดยอนุเคราะห์พระธรรมวินัยข้อนี้ว่า ทำตามพระธรรมวินัยคือ ริบเงินทองของพระภิกษุทุกรูป แล้วก็ค่อยๆ คิดหาทางที่ว่าจะทำอย่างไร ไม่ต้องห่วงว่าภิกษุจะอยู่อย่างไร เพราะว่าศรัทธาของชาวบ้านมีเสมอ แต่ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าพระภิกษุคือผู้ที่จะต้องศึกษาธรรม เพียงแค่เห็นผ้าเหลืองก็เข้าใจว่า เป็นพระพุทธศาสนา ทำนุบำรุง ซึ่งทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม เพราะไม่ได้ทำนุบำรุง ผู้ที่เข้าใจพระธรรมแต่กลับไปทำนุบำรุงผู้ที่ไม่เข้าใจพระธรรม แล้วก็ยังยินดีในเงินและทองเหมือนคฤหัสถ์ แล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร

    ด้วยเหตุนี้ ถ้ามีการปรึกษาหารือเรื่องที่จะทำอย่างไรที่จะให้ภิกษุไม่มีเงินและทอง เพราะเหตุว่าตามพระธรรมวินัยต้องอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หมายความว่าอะไร ปาจิตตีย์ คือโทษที่มีกิเลส ที่ออกมาทางกาย ทางวาจา แล้วก็มีกิเลสมากถึงกับยินดีที่จะรับในเงินและทอง ถึงแม้ว่าไม่รับ ยินดีก็ยังเป็นอาบัติ เพราะเหตุว่าพระธรรมวินัย ขัดเกลาทั้งกาย วาจาและใจ ไม่ใช่ว่า ไม่รับจริง แต่อยากได้และก็พยายามหาทางที่จะได้ อย่างนั้นไม่ใช่ภิกษุในธรรมวินัย

    ด้วยเหตุนี้ทั้งหมดก็คือว่า ให้มีภิกษุจริงๆ ที่ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เพราะฉะนั้นถ้าตามพระธรรมวินัย ต้องสละเงินและทองทุกรูป จึงจะเป็นภิกษุในธรรมวินัย จึงจะรักษาเถรวาทหรือพุทธศาสนาเถรวาทให้ดำรงมั่นคงอยู่ต่อไปได้ แต่ถ้าตราบใดภิกษุยังมีเงินและทอง ไม่มีทางเลย ไม่ได้มีการรักษาโรคที่กำลังป่วยหนัก และก็มีหลายโรค แต่โรคที่สำคัญคือโรคนี้ เพราะเหตุว่าถ้ารักษาโรคนี้ได้ก็รักษาโรคอื่นๆ ได้ มีการเห็นประโยชน์ของการที่จะเข้าใจให้ถูกต้อง รู้ว่าพุทธบริษัทซึ่งไม่ใช่ภิกษุก็ยังสามารถที่จะรู้ว่า ภิกษุรับเงินทองไม่ได้

    เพราะฉะนั้นการที่จะให้ภิกษุสละ เป็นการถูกต้องตามพระธรรมวินัย แต่รับกันมาตั้งนาน รับกันมาเยอะมาก ร่ำรวยมหาศาล ต้องใช้คำนี้ แล้วจะสละอย่างไร มีหนทางใช่ไหม คือต้องสละ ตามพระวินัยคือไม่ใช่ไปให้ญาติพี่น้อง ไม่ใช่ให้เพื่อนฝูง ไม่ใช่ทำอย่างอื่น สละคือไม่ยินดีในเงินทอง พร้อมที่จะทิ้งหรือสละ โดยไม่ใยดีว่าจะไปไหน จะทำอะไร เพราะฉะนั้น จะสละทิ้งไป แต่ว่าจะเป็นประโยชน์มาก ถ้ารัฐบาลเป็นผู้รับเท่ากับว่า แทนประชาชนทั้งหมด เพราะสละไปตรงไหน คนที่เก็บเงินเก็บทองนั้นก็สามารถที่จะใช้เงินใช้ทองนั้นให้เป็นประโยชน์ได้ เพื่อประโยชน์ในการที่ทำนุบำรุงประเทศ ไม่ใช่เป็นสมบัติส่วนตัวของใคร

    เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ที่จะมีกฎหมาย ที่จะทำให้ริบเงินทองของพระภิกษุ แล้วก็ความละเอียดต่างๆ ต้องเป็นไปตามธรรมวินัย ก็จะทำให้พระพุทธศาสนามีผู้ที่ศึกษาเพื่อที่จะเข้าใจธรรม ด้วยเหตุนี้เราช่วยกันได้ ช่วยกันคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร ใช่ไหม นักกฎหมายก็ปรึกษาผู้ที่รู้พระวินัย ก็สามารถที่จะรู้ได้ว่าจะเริ่มต้นทำอย่างไร แล้วต้องทำจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่พูดว่า จะรักษาพุทธศาสนาเถรวาท แต่ไม่รู้วิธี แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย พอจะเป็นไปได้ใช่ไหมคะ คุณจักรกฤษณ์

    อ.จักรกฤษณ์ เป็นไปได้ครับท่านอาจารย์ ทุกฝ่ายช่วยกัน ผู้ที่เกี่ยวข้อง แล้วก็ได้รับความรู้นี่ก็ช่วยกันแก้ไข เริ่มจากจุดตรงนี้ก่อน จึงเป็นไปได้

    ท่านอาจารย์ ดีกว่าปล่อยไว้ ถ้าปล่อยไว้ก็ไม่มีหนทาง รับรองได้ว่า ไม่มีหนทางที่จะดำรงรักษาพระพุทธศาสนา

    อ.อรรณพ อาการหนักรุมเร้าหลายโรค แต่ก็ต้องรักษาโรคสำคัญ

    ท่านอาจารย์ ทีละโรค

    อ.อรรณพ ถ้ารักษาโรคไม่รับเงินรับทองได้ ให้เป็นภิกษุที่ไม่เกี่ยวกับเงินกับทองได้ ผมเชื่อว่าคนไข้คงฟื้นขึ้นพอสมควร แล้วพร้อมที่จะรักษาโรคอื่นต่อไป

    การสนทนาพิเศษในวันนี้มีคุณค่าอย่างมหาศาล มหาศาลอย่างไร เพื่อความเข้าใจถูกในพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งได้รับการกล่าวในกฎหมายสูงสุดของประเทศชาติ ก็คือรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แล้วก็มีหนทางแนวทางทางกฎหมายอีกมากมายที่จะทำให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัย แต่ทุกวันนี้เนื่องจากเราไม่ได้เข้าใจความเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทอย่างแท้จริง จึงมีการทำลายด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้องและด้วยความเข้าใจผิดต่างๆ ซึ่งเป็นที่ปรากฏกันมากมาย โดยเฉพาะเอาเรื่องเดียวเรื่องรับเงินรับทอง ถึงขนาดมีการฆาตกรรมกัน สามเณรก็ถูกฆาตกรรมก็ไม่พ้นเรื่องเงินเรื่องทอง เรื่องของอะไรก็เพราะว่ามีการรับเงินรับทองต่างๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าชาวพุทธได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมวินัย แล้วได้เข้าใจความเป็นพุทธศาสนาเถรวาท และประกอบกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว และก็จะ สามารถที่จะเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับพระธรรมวินัยได้อีก ก็มีโอกาสที่จะฟื้นฟูพระธรรมวินัย พระพุทธศาสนาเถรวาทต่อไปได้ เพราะฉะนั้นความเข้าใจเรื่องภิกษุในธรรมวินัยไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง เป็นประการสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนาเถรวาท ให้พอมีโอกาสที่จะสืบต่อไปได้


    หมายเลข 10930
    20 มิ.ย. 2568