เพราะเหตุใดจึงตรัสเรียกว่าเป็นมหาโจร *
อ.จักรกฤษณ์ กราบเรียนพระอาจารย์ครับ จากที่ท่านอาจารย์และทางมูลนิธิได้มีการเผยแพร่ในเรื่องคำว่า เถรวาท และก็เรื่องสำนักปฏิบัติทำลายพระพุทธศาสนา ก็มีคนที่เขาเอาไปประกาศต่อๆ กัน ในตอนนี้ก็รู้สึกว่าจะเป็นที่สนใจมากในแวดวงทางอินเทอร์เน็ตหรือทางเฟซบุ๊ก ก็จะมีคำถามหนึ่งที่เกิดขึ้นว่า เราในฐานะฆราวาส เรามาสนทนากันเกี่ยวกับภิกษุเรื่องพระวินัย ในนั้นก็บอกว่าไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นเรื่องของภิกษุที่จะต้องดูแลในหมู่สงฆ์ ส่วนฆราวาสเราก็ศึกษาธรรมไปในส่วนของฆราวาส ไม่ต้องไปติเตียนโพนทะนา หรือทำอะไรที่ไม่ดีกับวงการพระสงฆ์ ตรงนี้ท่านอาจารย์มีความเห็นอย่างไร
ท่านอาจารย์ นั่นจะเป็นความเห็นส่วนตัว เพราะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า พุทธบริษัท หมู่ของผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ หมายความว่า ทั้งภิกษุและคฤหัสถ์ เป็นผู้ที่เห็นภัยในสังสารวัฏฏ์ จึงศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ และก็รู้ว่าสิ่งใดควรหรือไม่ควรแก่พระภิกษุ ไม่ใช่ว่าพระภิกษุไม่ให้คฤหัสถ์ศึกษา เพราะเหตุว่าวินัยก็เป็นธรรม ธรรมก็เป็นวินัย แยกไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ทรงแสดงทั้งธรรมฝ่ายดี ฝ่ายไม่ดี เพราะฉะนั้นวินัยก็กล่าวว่า ข้อใดควรและไม่ควรสำหรับพระภิกษุ เพราะเหตุใด และถ้าไม่มีความเข้าใจพระธรรม ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยได้ เพราะเหตุว่าพระวินัยทุกข้อเป็นเรื่องขัดเกลากิเลสอย่างยิ่ง ที่จะถึงความเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ได้ แสดงให้เห็นความต่างกันของเพศคฤหัสถ์กับบรรพชิต
เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ไม่รู้จักบรรพชิต ไม่รู้จักภิกษุ จะรู้ไหมว่าใครเดินมา แต่งตัวอย่างนั้น เขาอยู่อย่างไร แล้วเราสมควรที่จะอนุเคราะห์ให้เขามีชีวิตที่ประเสริฐต่อไป โดยการที่เขาไม่ต้องหุงหาอาหาร ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น สละชีวิตของคฤหัสถ์ทั้งหมด ไม่มีเงินและทอง และไม่ยินดีในเงินและทองด้วย เพราะเหตุว่าสละแล้ว ถ้ายังคิดว่ามีประโยชน์ก็ไม่สละ ก็ไม่ต้องเป็นภิกษุ ก็สามารถที่จะศึกษาพระธรรมวินัยได้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าคฤหัสถ์ไม่รู้จักภิกษุ พุทธบริษัททั้งหมด แม้แต่ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ที่เป็นพระอริยบุคคลถึงความเป็นพระอรหันต์เมื่อไร จึงสละอาคารบ้านเรือน บวชเป็นภิกษุ เพราะฉะนั้นเพศภิกษุ เป็นเพศเฉพาะของพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าคฤหัสถ์ก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไม่ต้องบวช แต่เมื่อบวชแล้ว การประพฤติปฏิบัติตามทั้งหมดแสดงถึงความเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างยิ่ง และเพื่อจุดประสงค์ของการที่จะขัดเกลากิเลสยิ่งกว่าคฤหัสถ์ เพื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้นคฤหัสถ์จะรู้เลยว่านั่นใครเดินมา ถ้าเป็นคนที่ไม่รู้จักภิกษุ ใช่ไหม ชาวบ้านเขาก็ไม่รู้ เพราะว่าเครื่องแต่งกายของคนอินเดียในครั้งโน้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ เห็นใครเดินอยู่กลางทุ่งนา ไม่รู้เลยว่าหญิงหรือชาย เป็นภิกษุหรือเปล่า ใส่สีเหลืองด้วย บางคนก็อาจจะเข้าใจว่า นั่นภิกษุรูปหนึ่งอยู่ที่กลางทุ่งนาไกล แต่ความจริงก็คือว่า เป็นเครื่องแต่งกายซึ่งคล้ายคลึง แต่ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นเพศบรรพชิตก็มีเสื้อผ้าที่เราใช้ว่า จีวร จำกัดกว่าคฤหัสถ์ เครื่องประดับต่างๆ ก็ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นถ้าคฤหัสถ์ใดไม่รู้จักธรรม ไม่เข้าใจธรรม จะรู้ไหมว่านั้นภิกษุ แต่เพราะรู้เลยว่ามีบาตร คฤหัสถ์ไม่มี สำหรับทำอะไร สำหรับให้ผู้ที่มีศรัทธา เห็นประโยชน์ของการเป็นบรรพชิต ได้มีโอกาสอนุเคราะห์ ซึ่งการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น โดยเฉพาะผู้ที่มีชีวิตที่เป็นประโยชน์ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์สักแค่ไหน ยิ่งกว่าให้คนอื่นใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นบุคคลนั้น ก็มีศรัทธาที่จะถวายสิ่งที่เป็นประโยชน์ เช่น อาหาร คิดดู ชาวบ้านเห็นคุณของภิกษุอย่างนี้ แม้อาหารที่ถวายแก่ภิกษุก็เลิศ ดีกว่าที่ตนเองบริโภค ไม่ว่าใครทั้งนั้น เพราะเห็นคุณอย่างนี้จึงสละให้ได้ แต่ถ้าภิกษุผู้รับ ไม่ได้ศึกษาธรรมเลย ก่อนบวชก็ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม รู้ไหมว่า บวชพราะอะไร บวชเพราะไม่รู้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นกิเลส และบวชแล้วก็ไม่ศึกษาธรรมด้วย ไม่ประพฤติตามพระวินัยด้วย นั่นหรือคือภิกษุ เพราะฉะนั้นพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก มหาโจร เพราะเหตุว่าถ้าเป็นคนธรรมดา ปล้นเขา ชิงเขา เอาของเขามา ใครๆ ก็เห็นพฤติกรรมนั้นว่าเป็นโจร แต่นี่เป็นผู้ที่รับสิ่งของ ซึ่งเขาให้แก่ผู้ที่สมควร คือผู้ที่มีชีวิตที่ศึกษาพระธรรมวินัย ขัดเกลากิเลส แต่ไม่มีความประพฤติอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับลักขโมย เอาของที่เขาให้คนอื่น คือผู้ที่มีคุณอย่างนั้นมาเป็นของตน ซึ่งไม่มีคุณอย่างนั้นเลย
ด้วยเหตุนี้ ในครั้งพุทธกาล คฤหัสถ์เห็นภิกษุใดไม่ประพฤติตามธรรมวินัย คฤหัสถ์เพ่งโทษ คนไม่รู้เพ่งได้ไหม ที่จะกล่าวว่าคฤหัสถ์ไม่เกี่ยว คฤหัสถ์ก็อยู่ไป ไม่ต้องพูดเรื่องบรรพชิต นั่นผิด เพราะว่าบริษัททั้ง ๔ ต้องอาศัยกัน ถ้าภิกษุไม่มีคฤหัสถ์ที่นับถือพระพุทธศาสนา จะได้อาหารจากใคร ก็ได้ในฐานะขอทานจากคนอื่น ซึ่งไม่มีคุณความดี แต่นี่ภิกษุนั้นเองเมื่อบวชแล้ว บิณฑบาตเป็นวัตร คิดดู ไม่ใช่เพียงเพื่ออาหารอย่างเดียว แต่เพื่ออนุเคราะห์คฤหัสถ์ เพื่อที่จะให้เขาได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ชีวิต คือการสละสิ่งที่เป็นอาหารที่จะต้องเลี้ยงชีพแก่บุคคลอื่น
เพราะฉะนั้นถ้าภิกษุไม่ทำตามพระวินัย ข้อความในพระไตรปิฎกมีว่า คฤหัสถ์เพ่งโทษติเตียน แสดงว่าต้องมีความรู้ ถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจจะติเตียนได้ไหมว่า นี่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทำไม่ได้ ไม่เหมาะแก่เพศบรรพชิต แล้วยังโพนทะนา คือกระจายข่าวให้รู้ทั่วกัน ว่าการกระทำใดไม่สมควรแก่บรรพชิต และภิกษุรูปใดทำอย่างนั้น ทำสิ่งที่ไม่สมควร
เพราะฉะนั้นพุทธบริษัททั้ง ๔ มีหน้าที่จะอนุเคราะห์กัน คฤหัสถ์รู้จักตนเองตามความเป็นจริง เป็นผู้ตรงว่าไม่สามารถที่จะมีชีวิตขัดเกลากิเลสอย่างชีวิตของบรรพชิต ซึ่งสะอาดดุจสังฆัส สังก็ขาวอยู่แล้ว แต่ว่ายังมีฝุ่นละอองมาได้ แปดเปื้อนได้ เพราะฉะนั้นชีวิตแต่ละวันทั้งกาย ทั้งวาจาและใจ ต้องขัดเกลากิเลสตั้งแต่ตื่นจนหลับ คฤหัสถ์บริโภคอาหารธรรมดา บรรพชิตก่อนบริโภคต้องพิจารณาว่าบริโภคเพื่ออะไร เห็นไหม ชีวิตทุกขณะไม่ว่าจะลืมตา ไม่ว่าจะเดินไป ไม่ว่าจะทำอะไรทั้งหมด ต้องเป็นผู้ที่รู้ว่าตนเองเป็นภิกษุ ต้องสำนึกเลยว่าตนเองเป็นภิกษุตลอด เพื่อที่จะได้ขัดเกลากิเลส โดยการฟังพระธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่เห็นคุณของพระธรรมจะบวชหรือ เพราะเห็นคุณของพระธรรมมิใช่หรือ จึงสามารถสละชีวิตของคฤหัสถ์ แล้วก็บวชเป็นบรรพชิตได้ เมื่อบวชแล้ว ต้องฟังธรรมใช่ไหม เพื่อเข้าใจ แต่ถ้าบวชแล้วไม่เข้าใจธรรม ไม่ศึกษาธรรม การบวชนั้นเพื่ออะไร
