020 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๒๐
อ.จักรกฤษณ์ เพราะทำให้เห็นว่า มันมีผล มันง่าย
ท่านอาจารย์ คิดว่าทำได้ ค้านกับคำว่า อนัตตา
อ.จักรกฤษณ์ ใช่
อ.อรรณพ เขาคิดว่าทำได้ ค้านอนัตตา ด้วยความไม่รู้ เมื่อมีทุกข์กายทุกข์ใจ คนก็จะแสวงหาสิ่งที่จะช่วยให้เขาบรรเทาทุกข์กายทุกข์ใจ จึงเป็นเหตุให้มีทั้งสำนักผ่อนคลาย แล้วก็บวก เรียกว่าคลาสเข้าไปด้วย อ้างพระพุทธศาสนา เหมือนว่าได้ทั้งรักษากาย แล้วก็สามารถที่จะได้เจริญ แล้วก็จะได้ดับกิเลสไปด้วย เหมือนได้สองอย่าง
ประเด็นที่น่ากราบเรียนสนทนาก็คือว่า เมื่อเกิดมาในภพภูมิมนุษย์ก็ต้องมีทุกข์กายทุกข์ใจ จึงจะแสวงหาหนทางหรือกรรมวิธีที่จะบรรเทาทุกข์กายทุกข์ใจ ก็เลยจะมีรูปแบบของสำนักผ่อนคลายจนไปถึงสำนักปฏิบัติธรรมเหล่านี้ที่ปนๆ กันออกมา
ท่านอาจารย์ แล้วสำเร็จไหม
อ.อรรณพ แล้วสำเร็จไหม เขาก็บอกว่าดี
ท่านอาจารย์ สำเร็จไหม
อ.อรรณพ เขาก็หายคลายเครียดไป
ท่านอาจารย์ แล้วเป็นอีกไหม
อ.อรรณพ บางคนก็เป็นอีก บางคนก็ไม่เป็น
ท่านอาจารย์ ที่จะไม่เป็นอีก มีหรือ ในเมื่อยังมีเหตุที่จะให้เป็นก็ต้องเป็น เพราะฉะนั้นไม่ใช่หนทางที่จะรักษา แค่เยียวยานิดๆ หน่อยๆ ด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ความเข้าใจถูกต้องในเหตุในผลของสิ่งที่เกิดขึ้น
อ.อรรณพ ความเห็นผิด จะทำให้กลายเป็นรูปแบบของการคิดว่า พระพุทธศาสนาหัวใจสำคัญอยู่ที่การปฏิบัติธรรม ถ้าพูดอย่างนี้ถูกไหม
ท่านอาจารย์ นั่นคือทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะปฏิบัติคืออะไร ไม่ได้ให้ความเข้าใจ ไม่ได้ให้ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องเลย เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุด คือต้องรู้ว่าคืออะไร จะได้พิจารณาว่าสิ่งนั้นถูกหรือผิด
อ.อรรณพ ต้องอธิบายให้ชัด มิฉะนั้นเดี๋ยวจะคิดว่าต่อต้านการปฏิบัติธรรม ใช่ไหม คือถ้าไม่เข้าใจว่า ปฏิบัติธรรมคืออะไร ก็คิดกันไปคนละเรื่อง ปฏิบัติธรรมมี การปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ซึ่งอาจารย์คำปั่นธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ใช่ไหม ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็มีคำนี้ในพระไตรปิฎก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นอะไรปฏิบัติ สมควรแก่ธรรมอะไร เห็นไหม ไม่ใช่ไม่ถาม ไม่ถามแล้วจะเข้าใจถูกได้อย่างไร แค่พูดนี่คิดเอาเองหมด ได้อย่างไร แล้วถ้าคำตอบไม่ตรง ก็คือไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะไม่ใช่ใครปฏิบัติ ทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมที่เป็นอกุศลก็ปฎิบัติหน้าที่กิจลักษณะของอกุศลไป จะมาทำกิจของกุศลได้อย่างไร
เพราะฉะนั้นที่จะเป็นธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ธรรม การประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมอะไร ต้องชัดเจน ต้องละเอียด เพราะเหตุว่าถ้าไม่ละเอียดก็คือว่าคิดเองหมด ซึ่งผิด
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์คงต้องกล่าวให้ชัดเจนว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคืออย่างไร
ท่านอาจารย์ มาจากคำภาษาบาลี
อ.คำปั่น ขออนุญาตกล่าวในพยัญชนะก่อน ก็คือมาจากคำว่า ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ โดยการแปลก็คือ ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ซึ่งคำว่าสมควรแก่ธรรมตรงนั้น ท่านก็แสดงสูงสุดก็คือ แสดงถึงความเป็นโลกุตรธรรม ก็คือมัคคจิต ผลจิต แล้วก็พระนิพพาน แล้วก็กล่าวถึงตั้งแต่เบื้องต้นที่จะเป็นเหตุนำไปสู่การประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็คือเริ่มตั้งแต่การศึกษาธรรมอบรมเจริญปัญญา แล้วประพฤติในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะควร ที่จะคล้อยไปสู่การประจักษ์แจ้งความจริง ที่เป็นโลกุตรธรรม การฟัง การศึกษาพระธรรม เป็นเบื้องต้นจริงๆ
อ.อรรณพ ถ้าไม่กล่าวให้ชัดเจนว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมคืออย่างไรให้คนได้เข้าใจกัน คนต้องเข้าใจผิดแน่ว่า ต้องไปทำ ต้องไปปฏิบัติที่หนึ่งที่ใด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงเราพูดว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมที่สมควรที่จะปฏิบัติให้ถึงคือนิพพาน แค่นี้ ยังไม่รู้เลยว่า นิพพานคืออะไร แล้วปฏิบัติกันล่ะ ได้อย่างไร ต้องรู้ก่อนว่านิพพานคืออะไร ถ้าไม่รู้แล้วจะเอาอะไรไปปฏิบัติให้สมควรแก่การที่จะรู้แจ้งนิพพาน ทุกอย่างต้องเป็นเหตุเป็นผลที่สอดคล้อง ต้องถูกต้อง มิฉะนั้นคลาดเคลื่อนทันที ทำลายพระศาสนาทันที
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็ต้องกราบเรียนว่า นิพพานคืออะไร แล้วการที่จะค่อยๆ ดำเนินไปที่จะถึงนิพพานคือปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ธรรมในที่นี้ก็หมายถึงว่านิพพานธรรม ที่จะถึงนิพพานเจริญอย่างไร
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้คืออะไร ยังไม่ต้องไปถึงนิพพาน
อ.อรรณพ ต้องกลับมาก่อน
ท่านอาจารย์ แน่นอน เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้ แล้วไปรู้นิพพานได้อย่างไร ก็เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ปรากฏยังไม่รู้เลย แล้วจะเอาปัญญาอะไรที่ไม่รู้เดี๋ยวนี้ไปรู้นิพพานได้ ไม่เป็นเหตุเป็นผลเลย แล้วปัญญาก็ไม่ใช่เราด้วย แต่เป็นความเข้าใจ และก็ต้องมีเหตุเกิดด้วยว่าความเข้าใจจะเกิดได้อย่างไร อยู่เฉยๆ คิดไปคิดมาจะให้เป็นปัญญาไม่ได้ ใช่ไหม ไม่ใช่ผู้ที่บำเพ็ญพระบารมีที่จะรู้สภาพธรรมด้วยตนเอง ทั้งๆ ที่มีสภาพธรรมปรากฏ ยังต้องอาศัยคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่น้อมเคารพอย่างสูงสุดว่าเป็นที่พึ่ง แล้วพึ่งเมื่อไร จะพึ่งพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อไร ก็คือต้องได้ยิน ได้ฟัง คำนั้นด้วยความเข้าใจ จึงเป็นที่พึ่ง ถ้าไม่เข้าใจก็ไม่ยังไม่ใช่ที่พึ่ง จนกว่าจะเข้าใจ เข้าใจผิดพึ่งไม่ได้เลย ไม่ได้พึ่งคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พึ่งความคิดผิดของตัวเอง
อ.อรรณพ ก็เป็นอันสรุปว่า ถ้าจะไปเอาข้อความในพระไตรปิฎกมา แล้วคิดไปเผินๆ ว่า ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ก็เลยคิดว่าต้องมีกระบวนการทำ ต้องมีสถานที่เป็นสำนักที่จะเข้าไปปฏิบัติ เข้าไปทำ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ ผู้นั้นไม่รู้จักแม้แต่คำว่า ปริยัติ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคืออะไร คือคำจริงที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่างที่กำลังปรากฏ
อ.อรรณพ กล่าวไปแล้วก็คือไม่รู้ว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร
ท่านอาจารย์ ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ซึ่งตอนต้นรายการที่เราสนทนากัน เราก็สนทนาว่าพระศาสนามี ๓ ปริยัติ ปฏิปัตติและปฏิเวธ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีปริยัติ คือการศึกษาที่จะอาศัยแต่ละคำ ค่อยๆ เข้าใจไปด้วยความละเอียด ด้วยความเคารพ ก็ไม่มีวันเลยที่ปัญญาจะเจริญไปถึงขั้นปฏิบัติหรือปฏิปัตติ
ท่านอาจารย์ ได้ยินคำว่า ความเพียร มีใครไม่รู้จักบ้าง ใช่ไหม เพียรอะไร เห็นไหม ไม่ใช่แค่ได้ยินชื่อ แต่เพียรอะไร มีเพียรทั้งนั้นเลยตั้งหลายอย่าง แล้วเพียรอะไรที่เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางคนเขาก็บอกว่าเพียรอบรมเจริญปัญญา เพียรนั่ง เพียรเดิน เพียรทั้งนั้น นี่ไงเพียร รู้อะไร ถ้าไม่รู้ก็ผิดหมดเลย แต่เพียรที่จะรู้ เห็นไหม ต่างกันละ ไม่ใช่ไปเพียรนั่ง เพียรนอนนอน เพียรยืน เพียรอะไร แต่เพียรที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ นั้นประโยชน์สูงสุด ถ้าไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ แล้วจะไปหาความจริงอะไรที่ไหนมารู้
เพราะฉะนั้นเพียรไหมที่จะรู้ว่าเดี๋ยวนี้มีธาตุเห็นเกิดขึ้นเพราะอาศัยตา และสิ่งที่กระทบกัน และจิต เจตสิก ก็เกิดขึ้น เห็นแล้วก็ดับ เพียรอย่างนี้สิ เพียรที่จะฟัง จนกระทั่งค่อยๆ หมดความสงสัย ค่อยๆ ละความเป็นเรา ที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาในสังสารวัฏฏ์ เป็นเรามาโดยตลอด เพราะฉะนั้นเพียรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่าไม่ใช่เรา แต่ไม่ใช่เพียรนั่ง นั่งแล้วเกิดอะไรขึ้น เดินทั้งวันทั้งคืนแล้วเกิดอะไรขึ้น จะสามารถรู้สิ่งที่กำลังปรากฏหรือ เพราะความเห็นถูก ความเข้าใจถูก จะเกิดขึ้นเป็นไปได้ต้องตามลำดับ ไม่รู้จักกอไก่ ขอไข่ แล้วไปอ่านหนังสืออย่างไร
อ.อรรณพ ในบรรดาความเห็นผิด ความเห็นผิดในข้อปฏิบัติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงว่า วิวาทกันเรื่องอื่นยังไม่เท่าไร แต่วิวาทกันด้วยเรื่องของหนทาง เรื่องของหนทางการอบรมเจริญปัญญาเป็นวิวาทะที่มีอันตรายที่สุด
ท่านอาจารย์ วิวาทะ คำพูดที่ต่างกัน เพราะคิดต่างกัน เห็นอย่างไรก็พูดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นทุกคนคิดต่างกัน คำพูดก็ต้องต่างกันไปด้วย ใช่ไหม จึงมีการวิวาทะคือคำพูดที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นก็ต้องแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ต่างกันคือต้องมีถูกกับผิด ใช่ไหม ไม่ใช่ทั้งสองถูก ถ้าทั้งสองถูกไม่วิวาท ไม่มีวิวาทะ ถ้าผิดทั้งหมดก็ไม่มีวิวาทะอีก ใช่ไหม แต่วิวาทะเพราะต่างกัน เพราะฉะนั้นก็พูดออกมาจะได้รู้ว่า อะไรถูกและอะไรผิด ต้องมีเหตุผล เพราะฉะนั้นถ้าเขาวิวาทกัน เรื่องโลภะ เรื่องความต้องการ สีแดงหรือสีชมพูสวยกว่ากันอะไรอย่างนี้ ก็เป็นต่างความเห็นธรรมดา วิวาทะด้วยโลภะ ด้วยความไม่รู้ หรือด้วยโทสะ ด้วยอะไรก็ตามแต่ แต่ยังไม่ถึงกับเห็นผิด แต่ถ้าเห็นผิดว่า คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ต้องศึกษาเลย เริ่มผิดแล้ว
อ.อรรณพ ไปนั่งกันเลย ปฏิบัติกัน
ท่านอาจารย์ ผิดแล้ว ใช่ไหม เพราะฉะนั้นนั่นคือทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดไม่เหลือเลย เพราะฉะนั้นเป็นอันตรายใหญ่หลวงแค่ไหน เพราะว่าคำทุกคำมีค่าที่ประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรจะเทียบได้ แล้วกั้นไม่ให้เขาได้ยินได้ฟังคำที่ถูก เป็นการทำลายคำที่ยากแสนยากที่จะมีโอกาสได้ฟัง ยากที่สุด ก็ไปให้เขาไม่ได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว อย่างชาติต่อๆ ไปอีก เพราะฉะนั้นทำลายประโยชน์มหาศาล จึงได้กล่าวว่าความเห็นผิดเป็นอันตรายที่สุดในบรรดาคำวิวาทที่ต่างกันไป เพราะว่าถ้าผิดจากความจริงก็คือว่าเป็นโทษอย่างยิ่ง
อ.อรรณพ แล้วความเห็นผิดนี้ก็จะสะสมไปในจิตต่อๆ ไป
ท่านอาจารย์ แน่นอน เวลาได้ยินคำจริงก็กลายเป็นคำไม่จริงหมดเลย วิวาทะไปหมด ต่างกับความเห็นที่ถูกว่าไปไหน
อ.อรรณพ ไปเกิดชาติใด ภพใด ก็ไปวิวาทะกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ท่านอาจารย์ เช่นคำถูก พระธรรมลึกซึ้ง ไม่มีโอกาสคิดได้เอง แม้ได้ฟังคำแล้วก็ต้องไตร่ตรองจนกว่าจะเข้าใจมั่นคงขึ้น รอบรู้ในคำนั้นไม่เปลี่ยนแปลง กับคนที่บอกว่าไม่ต้องศึกษา ง่าย คำของพระพุทธเจ้าง่าย อันนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วใช่ไหมว่าต่างกัน เป็นเบื้องต้นที่จะทำลายคำสอน
อ.อรรณพ ทำลายคำสอน กล่าวตู่คำสอน กล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วถ้าพูดจริงๆ จากใจของท่านอาจารย์ เหมือนกับเป็นการทำลายกันชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ ให้ความเห็นผิดสะสมติดตามไปภพชาติต่างๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นโทษจะมากแค่ไหน
อ.อรรณพ แม้จะมีโอกาสได้พบพระศาสนา แต่พระศาสนาก็ไม่สามารถจะเป็นประโยชน์กับบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฎฐิทุกคน ที่อาจารย์คำปั่นได้แปลมิจฉาทิฎฐิ บุคคลที่สะสมความเห็นผิดมา แล้วผมก็รู้สึกว่าน่ากลัวมากว่า ถ้าสะสมความเห็นผิดไป จนความเห็นผิดนั้นมั่นคงดิ่งอยู่แล้ว แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถเกื้อกูลบุคคลนั้นำเ้
ท่านอาจารย์ เหมือนในครั้งพุทธกาล พวกที่มีความเห็นผิด ไม่ไปเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย
อ.อรรณพ เป็นสิ่งที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่งว่า แม้มีการอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังทรงพระชนม์ เขาก็ไม่ไป ในยุคนี้ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่มีพระธรรมวินัยเป็นศาสดา แต่เขาก็ไม่ได้ประโยชน์จากพระธรรม ที่ยังมีอยู่
ท่านอาจารย์ ไม่ฟังก็อย่างหนึ่ง ฟังแล้วยังเห็นผิด คิดดู เข้าใจผิด แล้วพูดง่ายๆ ไม่ต้องศึกษา ปฏิบัติเลยและก็ไม่ได้บอกว่า ปฏิบัติคืออะไร อะไรปฏิบัติ เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็คือค้านคำสอนที่ว่า ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นอนัตตา กลายเป็นมีอัตตาที่จะต้องปฏิบัติ
อ.อรรณพ และอีกประเด็น เพื่อให้ชัดเจนว่า ในพระไตรปิฎกไม่มีสำนักปฏิบัติ อยากให้อาจารย์คำปั่นช่วยแปลว่า สำนัก ซึ่งเป็นภาษาไทยเอามาใช้คำว่าสำนัก ภาษาบาลีจริงๆ มาจากคำว่าอะไร แล้วมีความหมาย ขอคำว่า สำนัก ก่อน
อ.คำปั่น คำว่า สำนัก ก็เป็นคำที่มาจากภาษาบาลีว่า สันติกังหรือว่าสันติกะ หมายถึงที่อยู่ เท่านั้นเอง ไม่ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือว่าใครก็ตามจะอยู่ ณ ที่ใด ที่ตรงนั้นก็เรียกว่าเป็นสำนัก เพราะเป็นที่อยู่ของผู้นั้น ณ ขณะนั้น เพราะฉะนั้นในเรื่องของความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงของผู้ที่มีความเห็นผิด ก็เลยคิดว่าการที่จะเข้าใจธรรม การที่จะประจักษ์แจ้งธรรม ก็ต้องไปอยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดโดยเฉพาะ จึงเรียกว่าสำนักปฏิบัติ หรือว่าสำนักปฏิบัติธรรม ซึ่งไม่ตรงตามความเป็นจริง เป็นการกล่าวคลาดเคลื่อนจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิงเลย
เพราะเหตุว่าการที่จะรู้แจ้งธรรมตามความเป็นจริง ก็คือ เป็นปกติในชีวิตประจำวัน เพราะสภาพธรรมมีจริงอยู่ทุกขณะ เพราะฉะนั้นเมื่อมีปัญญาเกิดขึ้น จากการที่มีโอกาสได้ยินให้ฟังคำจริง เมื่อปัญญาเจริญขึ้นถึงความสมบูรณ์พร้อม ก็สามารถที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ ไม่เลือกสถานที่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใด ไม่เลือกเวลา ไม่เลือกโอกาสด้วย เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ซึ่งถ้าหากว่าได้ศึกษาในชีวประวัติ (นาทีที่15.59 ชีวิตประวัติ) ของพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ก็จะชัดเจนว่า การรู้แจ้งธรรมของท่าน ก็อยู่ในเหตุการณ์ที่ต่างๆ กัน แต่ความสมบูรณ์พร้อมของปัญญานั่นแหละที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ของปัญญา ที่ทำให้ท่านได้รู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง บางท่านก็ในขณะที่ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่พระวิหารเชตวันบ้าง หรือบางท่านกำลังประสบกับความทุกข์ความเดือดร้อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงธรรมตามความเป็นจริงให้ท่านได้ฟัง ท่านก็ได้ประจักษ์แจ้งความจริง ซึ่งไม่ต้องไปอยู่ ณ ที่หนึ่งที่ใดเลย เพราะเป็นชีวิตปกติ แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงได้
เพราะฉะนั้นสำนักปฏิบัติธรรม ไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่เป็นพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ท่านก็มีทรัพย์สินเงินทองมาก อย่างเช่นท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขามหาอุบาสิกาหรือว่าพระราชาทั้งหลายที่ท่านได้เป็นพระอริยบุคคล ท่านก็ไม่มีการสร้างสำนักปฎิบัติ แต่ท่านก็มีการศึกษาธรรม อบรมเจริญปัญญา แล้วก็สามารถที่จะทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นได้
อ.อรรณพ ผมก็เคยค้นคำว่า สำนัก ในพระไตรปิฎก อย่างที่อาจารย์คำปั่นพูด คือเป็นที่อยู่ สำนักของใครก็เป็นที่อยู่ของผู้นั้น ถ้าจะไปหาช่างไม้ก็ไปสำนักของช่างไม้ สำนักของภิกษุวิกลจริต สำนักของใครจะไป สำนักของภิกษุ ภิกษุณี อะไรต่างๆ สำนักก็แปลว่าที่อยู่ สำนักนายช่างไม้ ก็คือเป็นที่อยู่ธรรมดา แต่นี้เรามาคิดโยงเอาเองๆ ที่อาจารย์จักรกฤษณ์ก็พยายามลำดับมาว่า เค้ามูลของการที่จะมีสำนักปฏิบัติคืออย่างไร ก็พอจะได้เห็นว่าคนสมัยนี้เขาคิดกันอย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ ก็เป็นประวัติที่น่าจะมีส่วนที่เชื่อมโยงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ก็จะต้องไปสำนัก เพื่อที่จะปฏิบัติ ชำระล้างจิตใจจากกิเลสอะไรต่างๆ เพื่อจะให้เกิดปัญญา ก็คือเป็นการเชื่อมโยงกันเอาเอง ซึ่งไม่มีในพระไตรปิฎกที่ท่านได้แสดงไว้ ตรงนี้ก็เลยอยากจะขออนุญาตอาจารย์อรรณพ ยกตัวอย่างความเห็นผิดอันหนึ่งเอามาวิเคราะห์นิดหนึ่งว่า เขาคิดอย่างนี้ ที่ถูกต้องน่าจะเป็นอย่างไร อันนี้เป็นสำนักปฏิบัติของเมืองนอก เขาโฆษณาว่าเขาเสนออะไร ออฟเฟอร์อะไรมา ผู้ที่จะเข้าไปในสำนักนี้ เขาบอกว่า เขามีการเสนอการฝึกสมาธิ ซึ่งเป็นสมาธิในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท ใช้คำนี้เลย เพื่อที่จะให้เกิดปัญญาขึ้นจากการที่มีสมาธิ มีความสงบ แล้วก็การปฏิบัติช่วยในการพัฒนาสติ แล้วก็ทำให้เกิดความเมตตา ทำให้เกิดความสงบที่ยิ่งใหญ่ และก็อยู่ในโลกด้วยความสงบสุข
ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่เขาแต่งขึ้นมาใหม่ คิดขึ้นมาเองทั้งหมดหรือเปล่า หรือว่าตรงกับในคำสอนของพระพุทธองค์อย่างไรบ้างไหม เพราะนี่เป็นประโยคที่โฆษณาว่า สำนักของเขาเสนอให้กับผู้ที่เข้ามาปฏิบัติ
ท่านอาจารย์ ก็กล่าวได้เลยว่า ไม่ใช่คำสอนของสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะไม่มีปัญญาอะไรเลย มีแต่ความต้องการความสงบ และหาวิธีที่จะสงบทั้งหมดก็ด้วยความเป็นตัวตน ซึ่งไม่ได้เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมคืออะไร
อ.จักรกฤษณ์ แล้วก็ดูเสมือนว่า ไปเข้าคอร์สของเขาแล้ว ก็จะประสบความสำเร็จอย่างที่เขาบอก
ท่านอาจารย์ คิดว่าไม่ใช่แต่เฉพาะต่างประเทศ ประเทศเราก็อย่างนี้ไม่ใช่หรือ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นเขาเอามาจากเรา ใช่ไหม
อ.จักรกฤษณ์ ก็น่าจะมาจากเรา
ท่านอาจารย์ เพราะอ้างพระพุทธศาสนาเถรวาท เพราะฉะนั้นนี่ก็คือคำไม่ตรง ซึ่งเป็นคำไม่จริง แล้วก็ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย เพราะฉะนั้นยิ่งเผยแพร่ทั่วโลก ประเทศต่างๆ ก็คือว่าทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด
อ.จักรกฤษณ์ ของเราก็ไปชื่นชมด้วยว่า ต่างประเทศเขาก็มีคอร์สนั่งสมาธิ ฝึกสติอะไรเหมือนกับบ้านเรา
ท่านอาจารย์ ใครเป็นผู้นำ ใครเป็นผู้นำความเห็นผิด หัวหน้าความเห็นผิดอยู่ที่ไหน
อ.อรรณพ เราก็สนทนาตรงนี้กันมา ก็เห็นเลยว่า ความเห็นผิด โดยเฉพาะความผิดในข้อปฏิบัติ แล้วก็มาตู่ มาอ้างว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติกันเลย ไม่ต้องศึกษา ก็ข้ามปริยัติศาสนาไป ก็เป็นแบบนี้ได้ มาถึงการที่จะแก้ไขในเรื่องความเข้าใจผิดอย่างนี้ โดยเฉพาะในเรื่องของการปฏิบัติธรรม การที่ต้องมีสถานที่ ซึ่งนับวันก็เพิ่มขึ้นๆ อาจารย์จริยาก็ผ่านมาประสบการณ์เหล่านี้มา แล้วก็ได้มาเจอพระธรรม ตามพระไตรปิฎกที่ถูกต้อง อาจารย์คิดว่าถ้าจะพอธำรงพระศาสนาอยู่ ในเรื่องของความเข้าใจผิด ในเรื่องสำนักปฏิบัติ ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกขึ้น อาจารย์จะมีความเห็นอย่างไร ก็ต้องมีข้อแก้ไข
อ.จริยา ถ้าเรายังไม่ได้ศึกษาพระธรรมเลย เราก็คิดว่าการไปปฏิบัติเป็นสิ่งที่ดีที่สุด อาจจะใช้คำว่า เป็นทางที่เร็ว ทำให้เข้าใจพระธรรม อันนั้นคือสิ่งที่คนที่ไปสำนักปฏิบัติทั้งหลายเข้าใจ แต่เมื่อเราศึกษาพระธรรมแล้ว ก็ทราบว่า ไม่มีทางใดที่เราจะเข้าใจพระธรรมได้ นอกจากการฟัง การฟังนี้รวมถึงการอ่าน การศึกษา ด้วยการศึกษาอย่างถูกต้อง เมื่อศึกษาพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยกันรักษาพระศาสนา แล้วก็ช่วยกันแนะนำผู้ที่หลงผิดหรือผู้ที่เข้าใจผิดให้เข้าใจได้
เมื่อสักครู่มีประเด็นหนึ่ง อยากจะเสริมตรงที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์พูดถึงเรื่องของ การที่เดี๋ยวนี้มีการใช้วิธีของพุทธศาสนา ที่ใช้คำว่า พระพุทธศาสนามาบำบัดรักษาโรค ซึ่งปัจจุบันก็จะมีมาก จริงๆ ก็เป็นเรื่องแนวปฏิบัติในการรักษาสุขภาพ แต่เข้าใจว่าเวลาที่เขาใช้คำว่า การรักษาสุขภาพ มันคล้ายๆ ว่ายุคนี้สมัยนี้ถ้าไม่ใช้คำว่า สมาธิ เข้ามาช่วยด้วย ก็จะเป็นการที่ไม่หนักแน่น เข้าใจอย่างนั้น ก็เลยมักจะเข้าใจกันว่า เมื่อไรที่นักวิจัยทั้งหลาย เขาค้นพบวิธีต่างๆ เป็นต้นว่าการรักษาโรคทางเดินหายใจ หรือการรักษาความดันโลหิตสูง เขาก็จะใช้วิธีบำบัดด้วยวิธีการหายใจ หายใจเข้าหายใจออก จริงๆ ถ้าเขาไม่พูดถึงเรื่องสมาธิเลย คิดว่าก็เป็นการรักษาโรคปกติ ซึ่งการหายใจเข้าแล้วก็หยุด แล้วก็หายใจออก ให้ถูกวิธี ก็จะเป็นการช่วยการรักษา แต่ส่วนใหญ่ก็มักจะบอกว่า นี่เป็นการฝึกสมาธิ แล้วบางแห่งก็อาจจะร้ายไปกว่านั้นก็คือ นี่คือวิถีของพุทธศาสนาที่ถูกต้อง คือการนำเอาอานาปาณสติเข้ามาใช้ ซึ่งตรงนี้คิดว่า ถ้าสมมติว่าให้ความเข้าใจกับท่านผู้ชม ท่านผู้ฟังทั้งหลาย ให้เข้าใจว่า สมาธิคืออะไร อย่างที่ท่านอาจารย์ ท่านวิทยากรได้อธิบายมาตั้งแต่ต้นๆ เสมอๆ ว่า สมาธิมีทั้งมิจฉาสมาธิและสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิก็เป็นสมาธิที่ถูกต้อง มิจฉาสมาธิเป็นสมาธิที่ไม่ถูกต้อง
