018 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑๘


    คุณไชยยศ ทุกอย่างเป็นธรรม เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจความหมายของธรรมในแง่มุมไหน ยกตัวอย่างเรามีพนักงานเยอะมากที่ต้องบริหารคน บริหารงานไม่ยาก บริหารคนนี่ยากจริงๆ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เมื่อรู้ว่าเป็นจิต เจตสิก รูป เขาสะสมมาที่จะทำในสิ่งนั้นซึ่งเราไม่อยากให้ทำ แต่ถ้าเรามีธรรมในใจ เราก็จะเห็นว่าน่าสงสารเขานะ เขาเป็นอย่างนี้ ตรงกันข้ามเรายิ่งเข้าใจ ทำให้เรามีขันติที่จะอดทน ที่จะเผาว่า เพราะตัวเราต้องการอย่างนี้แล้วไม่ได้อย่างนี้ก็เลยเป็นปัญหา ตรงกันข้ามมันกลับจะทำให้เราดีขึ้น มั่นคงขึ้น เพราะเราแก้คนทุกคนไม่ได้ เราไม่มีทางที่จะแก้ใครได้เลย แต่ตรงกันข้ามธรรมนั่นแหละจะทำให้เราค่อยๆ หายไป แล้วสิ่งที่หายไปมันต้องมีสิ่งมาแทนที่ สิ่งที่เข้ามาแทนที่นี่คือความเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วมันไม่ต้องไปที่ไหนทั้งสิ้นทั้งปวง ตราบใดที่ไม่เข้าใจ

    เหมือนในอดีต เพื่อนผม แม่ผมเองที่จังหวัดนครปฐม ใครมีอะไรเดือดเนื้อร้อนใจอยากจะได้อะไร เอาไข่ต้มใส่กระจาดไปบนพระร่วง ยิ่งหลายฟองยิ่งขลังมากเลย ก็พยายามดึงก็ให้เข้ามาเห็นบอกว่า มันไม่ใช่ อย่างสงกรานต์ วัดที่ดังๆ ผมก็ไปตีกอล์ฟบ่อย ที่นั่นก็แก้บนโดยใช้ประทัด แล้วกำลังจะตีกอล์ฟ เปรี้ยง ตกใจ ตีกอล์ฟตกน้ำเลย คือวงการที่แอบอ้างพุทธศาสนาต้องการจะทำให้มันเหมือนเร็วๆ แก้ไขปัญหาได้หมด ทำให้คนติดข้อง น่ากลัวมาก แล้วคนก็ติดข้องเยอะจริงๆ ฉะนั้นเรามีโอกาสที่จะต้องค่อยๆ คลาย มันละไม่ได้ง่าย คลายความไม่เข้าใจไปทีละนิดๆ อะไรๆ มันก็ดีขึ้น เข้าใจธรรมสังคมดีขึ้นแน่ ขอให้เข้าใจจริงๆ มันก็จะแก้อะไรได้เกือบหมดเลย

    ท่านอาจารย์ ต้องเป็นคำจากใจที่ได้เข้าใจธรรม และเห็นประโยชน์จริงๆ ว่า เราไม่สามารถที่จะแก้ไขใครได้เลย แต่ความเข้าใจนั้นต่างหากที่จะแก้ไขกิเลส ซึ่งแต่ละคนสะสม ซึ่งคนอื่นก็แก้ไขไม่ได้ เพราะฉะนั้นหนทางเดียวคือยิ่งทำให้คนได้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจธรรมก็จะเป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกคนต้องแก้ตัวเอง

    อ.อรรณพ แล้วก็ได้รับประโยชน์จากที่ท่านพูดว่า เมื่อได้เข้าใจว่าเป็นธรรม เป็นการสะสมของแต่ละบุคคล เขาก็ยังคงจะเป็นอย่างนั้นอยู่ ก็ทำให้เราไม่ได้มีอกุศล ความโกรธอย่างมากมายเหมือนแต่ก่อน ก็มีกุศลเกิดแทรก มีการที่จะแก้ปัญหาอะไรได้ดีขึ้น

    ท่านอาจารย์ ก็มีทั้งเมตตาและก็มีทั้งความอดทน และก็มีความเข้าใจคนอื่น และยังหวังดีว่า วันหนึ่งเขาก็คงจะได้เข้าใจขึ้น

    อ.อรรณพ อย่างนี้เป็นบารมีหรือไม่

    ท่านอาจารย์ แน่นอน เพราะเหตุว่าบารมีคืออะไร คุณวิชัยค่ะ

    อ.วิชัย บารมีก็คือคุณความดีที่เป็นไปพร้อมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง เห็นโทษของอกุศลคือความไม่ดีทั้งหมด แล้วก็อบรมหนทางที่จะเป็นไปเพื่อการละอกุศลธรรมทั้งหลายเหล่านั้น

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีคุณความดีในชีวิตประจำวัน เห็นไหม ในชีวิตประจำวันจริงๆ ต่อเหตุการณ์จริงๆ แล้วจะไปถึงการดับกิเลส ดับความไม่รู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้น ปา-ระ ฝั่ง ปารมีคือมีคุณความดีที่จะถึงฝั่งที่ดับกิเลส ก็ต้องอาศัยทุกๆ ขณะที่เต็มไปด้วยกิเลส และความไม่รู้ ค่อยๆ มีธรรมฝ่ายตรงกันข้าม ที่จะค่อยๆ ทำลายอกุศลที่สะสมมามาก ถ้าในชีวิตประจำวัน ไม่มีการเข้าใจธรรม ไม่มีกุศลเลย ไม่มีทางเลย ที่จะดับกิเลสได้

    อ.อรรณพ แม้ที่ท่านไชยยศกล่าว เป็นธรรมประจำวันของท่านที่ได้เข้าใจธรรม ที่ก็ต้องบริหารงาน ต้องดำเนินธุรกิจ แล้วความเข้าใจที่เป็นปัญญาในธรรม ซึ่งก็เป็นปัญญาบารมีอยู่แล้ว ก็ยังกลับมาช่วยปรุงแต่งให้เกิดเมตตา เกิดความอดทน ซึ่งก็เป็นบารมีที่จะสะสมไปอีก เหมือนยิ่งเห็นประโยชน์ของการเข้าใจธรรม

    ท่านอาจารย์ คุณความดีก็เป็นประโยชน์ ตรงกันข้ามกับฝ่ายชั่ว แต่เหนือความดีใดๆ ก็คือความเข้าใจที่ถูกต้อง ปัญญาที่สามารถจะเข้าใจว่า แม้ความดีทั้งหลายก็ไม่ใช่เรา แล้วก็ต้องมีปัจจัยจึงสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นบารมีที่เกิดจากความเข้าใจ ก็ยิ่งเพิ่มบารมีในชีวิตประจำวันขึ้น จนกระทั่งสามารถที่จะพร้อมด้วยบารมีทั้ง ๑๐ ซึ่งขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าถ้าคุณไชยยศมีความเข้าใจน้อย คงจะไม่เมตตาเขาถึงอย่างนั้น คงไม่สามารถที่จะอดทน แล้วรู้ว่าวันหนึ่งเขาก็คงจะเข้าใจธรรมได้ ไม่ใช่วันนี้ เพราะว่าธรรมเป็นสิ่งที่ยากมาก

    เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็จะเห็นการเกิดขึ้นของธรรม ซึ่งแต่ก่อนนี้คงจะไม่เป็นอย่างนี้ ใช่ไหม มีแต่อยากให้คนอื่นเข้าใจธรรม พอเขาไม่เข้าใจก็เดือดร้อนเพราะความอยาก แต่ถ้าความเข้าใจว่า จะไปฝืนให้เขาเป็นอย่างที่เราต้องการได้อย่างไร ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชาอะไรได้เลยทั้งสิ้น แต่จากความดีทั้งหลายที่เป็นบารมี จะค่อยๆ ทำให้คนนั้นเป็นตัวอย่าง และสิ่งใดก็ตามที่เป็นการกระทำ ไม่ว่าจะทางโลก ทางธรรม กิจธุระทั้งหลาย บารมีเหล่านี้ก็เป็นผู้ที่กระทำกิจนั้นๆ คนก็ต้องเห็น เพราะฉะนั้นจะละชั่วหรือทุจริตหรืออะไรได้ทั้งหมดก็ด้วยคุณความดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความดีนั้นจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีปัญญา คิดถึงพระเจ้าพิมพิสาร พระมหากษัตริย์ เป็นพระโสดาบัน ความดีของท่านจะยิ่งกว่าพระเจ้าปเสนทิโกศล ซึ่งยิ่งใหญ่ในทางโลก แว่นแคว้นต่างๆ แต่ว่าทางะรรมท่านไม่ได้เป็นพระโสดาบัน เพราะฉะนั้นคุณความดีของผู้ที่ทำดีด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็ต้องมากกว่า

    อ.อรรณพ ที่คุยกันอย่างนี้ แล้วก็เป็นชีวิตประจำวันที่ท่านไชยยศท่านสะท้อนออกมา ก็ยังเห็นคุณค่าของการได้เข้าใจพระธรรม แล้วความเข้าใจนั้นก็จะปรุงแต่งให้กุศลธรรมทั้งหลายค่อยๆ สะสมเพิ่มขึ้น เมตตาเพิ่มขึ้น อดทน ขันติด้วยกุศลเพิ่มขึ้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจพระพุทธสาสนา แล้วก็ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้สะสมความเข้าใจ ก็เป็นการสูญเสียอย่างยิ่งของความดีที่ได้เกิดมาเป็นบุคคลในแต่ละชาติ

    ท่านอาจารย์ ทุกคนอยากมีสิ่งที่ดีทั้งหมด ใช่หรือไม่ แล้วจะด้อย่างไร จนกระทั่งต้องไปเฝ้าทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า อะไรเป็นมงคล คือธรรมที่จะทำให้เจริญพ้นจากความทุกข์ได้ คนอื่นจะตอบได้ไหม เพราะอยู่ดีๆ มงคลจะมาทันทีไม่ได้เลย แต่ต้องมาตามลำดับขั้น ซึ่งทรงแสดงไว้ แต่เราก็สวด มงคลสูตร แต่ประพฤติตามหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้จำแล้วสวดให้ท่อง แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะถ้าไม่เข้าใจแล้วจะประพฤติตามได้อย่างไรในเมื่อไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นก็ต้องเกี่ยวเนื่องกันทั้งหมด แต่ทั้งหมดก็คือว่าเข้าใจธรรม จะนำไปสู่สิ่งที่เจริญด้วยคุณความดีทุกประการ จนถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลส ได้ยินคำนี้เป็นอย่างไร ยิ่งใหญ่แค่ไหน ดับกิเลส ถ้าไม่รู้จักกิเลสก็คิดว่าดับง่ายๆ แต่ไม่มีทางเลยที่จะดับกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญา ความเข้าใจที่ถูกต้อง ค่อยๆ ละความไม่ถูก ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดกิเลส

    อ.อรรณพ คนก็เข้าใจกันว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมาก อาจจะมีวัด มีพระ มีอะไรต่ออะไร กิจกรรม มีพิธีกรรมอะไรที่ท่านรู้สึกจะเป็นท่านไชยยศใช่ไหม ท่านบอกว่ารู้สึกจะมากที่สุดในโลกก็ว่าได้ ก็เลยอยากจะเรียนถามความเห็นของของท่านวิทยากรว่า พระพุทธศาสนากำลังรุ่งเรืองหรือกำลังเสื่อม ท่านไชยยศก่อนดีกว่า

    คุณไชยยศ ผมมีลูกชายสองคน ซึ่งถ้าเป็นประเพณีที่เขาทำกันมา ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่บวช

    อ.อรรณพ ใช่

    คุณไชยยศ เขาก็ไม่บวช แล้วก็ได้คุยกันว่า ต้องตั้งคำถามว่า บวชเพื่ออะไร มีโอกาสบางครั้งคุยกันไปไกลหน่อยบอกรู้ไหม บวชเพื่อความเป็นพระอรหันต์เลย ไม่ใช่เล่นๆ แต่ถ้าเป็นพระอริยบุคคลไม่จำเป็นต้องบวช ก็รู้ได้ เข้าใจได้ แล้วก็ทำสิ่งอื่นๆ ที่เป็นเพศพระแล้วมันทำไม่ได้เลย ฉะนั้นอย่าบวช ศึกษาได้ เข้าใจได้ ถ้าจะถามว่าแล้วที่อื่นๆ เป็นอย่างไร คือตอบไปก็บอกเลยว่า รุ่งริ่งไม่ได้รุ่งเรือง ดูป้ายโฆษณาตลอดทางเลย วิกฤตมากก็ไม่เป็นไร เราถึงแม้จะน้อยเสียง แต่ด้วยความเข้าใจจริง แล้วไม่ท้อถอย มีเมตตาอย่างที่ท่านอาจารย์มีเมตตา ไปทุกที่ไปทุกแห่ง ผมเชื่อว่าตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้น

    อ.อรรณพ อาจารย์จักรกฤษณ์ รุ่งเรืองหรือว่าเสื่อม พระพุทธศาสนาในเมืองไทยก็ได้

    อ.จักรกฤษณ์ ก็ต้องเข้าใจคำว่า รุ่งเรืองในทางพระพุทธศาสนานั้นคืออย่างไรก่อน เพราะถ้าไม่เข้าใจตรงนี้เราก็จะไม่สามารถตอบได้ว่ารุ่งเรืองจริงหรือเปล่า ความรุ่งเรืองที่เราเข้าใจกันก็คือ รุ่งเรืองทางด้านวัตถุ รุ่งเรืองทางด้านจำนวนคนที่เข้ามานับถือ หรือว่ารุ่งเรืองในด้านอื่นๆ

    อ.อรรณพ บวชกันเยอะๆ

    อ.จักรกฤษณ์ ตัวอย่างอย่างนี้เลย บวชกันเยอะ มีพระเยอะ มีพิธีกรรมเยอะต่างๆ ใช่รุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาหรือไม่ เพราะว่า พุทธะคือความรู้ ความเข้าใจ ถ้ารุ่งเรืองจริงต้องมีความรู้ความเข้าใจเยอะๆ ถูกต้อง ตรงนี้ถึงจะรุ่งเรืองจริง ดังนั้นถ้าไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจ ในเรื่องคำสอนของพระพุทธองค์เลย เราก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่ารุ่งเรืองหรือเปล่า ซึ่งเราก็สามารถที่จะตรวจสอบได้ในปัจจุบันว่า ความรู้ความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของชาวพุทธของบ้านเรามีแค่ไหน ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า รุ่งเรืองหรือเปล่า ณ ปัจจุบัน

    อ.อรรณพ อาจารย์จริยา

    อ.จริยา อย่างที่ท่านจักรกฤษณ์กล่าวว่า การที่เราจะพิจารณาว่า พระศาสนารุ่งเรืองหรือว่ารุ่งริ่งตามที่ท่านไชยยศกล่าว ก็อยู่ที่ว่าพระศาสนาจะรุ่งเรืองด้วยอะไร ก็ด้วยผู้ที่บอกว่าเป็นพุทธศาสนิกชน ศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรม ถ้ามีผู้ที่ศึกษาพระธรรม เข้าใจพระธรรมมากเท่าไร ศาสนาก็รุ่งเรือง แต่ถ้าได้พิจารณาในเหตุการณ์บ้านเมืองเราปัจจุบัน โดยเฉพาะเราจะเห็นในสื่อต่างๆ ว่า การให้ความรู้หาเกือบจะไม่ได้ เท่าที่พบก็จะเป็นการที่จะสอนให้เชื่อ สอนบอกว่าให้ทำตาม เพราะฉะนั้นก็กลับมาที่คำถามของท่านอาจารย์อรรณพว่า ขณะนี้เห็นว่าพระศาสนารุ่งเรื่องหรือพระศาสนากำลังเสื่อม ดิฉันคิดว่ากำลังเสื่อม แล้วก็เสื่อมลงไปมากๆ ทุกที อย่างที่เราเห็นจากกิจกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่พุทธองค์ทรงสอน เพราะเหตุที่ว่าเมื่อไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ สิ่งนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรที่เกี่ยวกับศาสนา

    ท่านอาจารย์ มีใครไม่เห็นด้วย เพราะเหตุว่าศาสนาไม่ได้อยู่ที่ไหนเลย นอกจากอยู่ที่ความเข้าใจเท่านั้น เพียงแค่ได้ยินคำ แล้วก็ท่องกันได้ รุ่งเรืองหรือไม่ สวดมนต์ได้ทั้งวันศาสนารุ่งเรืองหรือเปล่า ท่องพระไตรปิฏกได้ทั้ง ๓ ปิฎก รุ่งเรืองหรือไม่ ศาสนาไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือ ไม่ใช่อยู่ที่ตำรับตำรา ไม่ได้อยู่ที่การจำ แต่อยู่ที่ปัญญา ความเห็นที่ถูกต้องในคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถึงความจริงทั้งหมดเลยของสิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีใครสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า ความจริงคืออะไร ธรรม คืออะไร แค่นี้จะเรียกว่าศาสนารุ่งเรืองหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าธรรมคืออะไร และความจริงของธรรมคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่เข้าใจทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ต้น จะบอกว่าชาวพุทธเข้าใจเรื่องปฏิจสมุปบาทเข้าใจเรื่องอริยสัจจะ แต่ไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร อย่างนั้นไม่ใช่ความรุ่งเรืองของพระศาสนา เพราะมีแต่ชื่อและมีแต่คำที่สวด หรือพูดโดยที่ไม่เข้าใจเลย

    เพราะฉะนั้นต้องเป็นคนตรงๆ สัจจะบารมี ถ้าไม่ตรง จะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย เพราะทุกคำเป็นความจริงที่ใครก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ สามารถที่จะฟังแล้วก็ไตร่ตรองว่า ขณะนี้พระธรรมไม่ได้อยู่ที่อื่นเลย แต่เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่ถูกปกปิดให้ไม่รู้ว่าเป็นธรรม คือแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ไม่ต้องไปหาที่อื่นเลย ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มีความเข้าใจสิ่งที่กำลังมี แล้วจะไปเข้าใจอะไรเมื่อไร สิ่งนั้นยังไม่เกิดขึ้นให้รู้ว่าจะเป็นอะไรข้างหน้า และสิ่งที่หมดแล้ว ดับไปแล้ว ใครจะไปหาความจริงได้

    เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงในแต่ละคำ ธรรมคือสิ่งที่มีจริงเมื่อไร เมื่อกำลังปรากฏ ความไม่รู้มีเมื่อไร เมื่อมีสิ่งที่มีจริงแล้วไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่มีจากการที่ไม่เคยรู้ ก็เป็นการที่เข้าใจถูกต้องตามคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อนั้นจึงชื่อว่าพระพุทธศาสนารุ่งเรือง

    อ.อรรณพ อาจารย์วิชัย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสถึงเรื่องศาสนาจะเสื่อมหรือว่าจะรุ่งเรืองไว้อย่างไรบ้างไหม และอะไรที่จะมีเหตุให้ศาสนาหรือพระสัทธรรม คือธรรมที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลสสงบ ที่จะยั่งยืนหรือว่าจะลบเลือนเสื่อมสูญไป

    อ.วิชัย ก็จะมีหลายสูตรที่พระองค์ตรัสถึงเรื่องของความเสื่อม หรือความอันตรธานของพระสัทธรรม ที่จะเห็นได้ว่าในปัจจุบันที่มีการกระทำหลากหลายมากมาย ก็ขึ้นอยู่กับจิตของบุคคลนั้นว่ามีความเข้าใจและมีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ดังนั้นถ้ากล่าวถึงในสมัยครั้งพุทธกาล พระองค์แสดงธรรมแล้วก็วินัยด้วย ก็จะเห็นถึงว่าในยุคปัจจุบันมีคนที่เข้าใจธรรม และประพฤติธรรมมากน้อยแค่ไหน หรือพระภิกษุเข้าใจพระวินัยแล้วก็ประพฤติตามพระวินัยมากน้อยแค่ไหน

    ดังนั้นหลักๆ ก็เป็นเรื่องของการที่บุคคลทั้งหลายไม่ศึกษา ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิจารณาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโดยละเอียด ไม่เผินและไม่ประมาท และบางส่วนก็แสดงเรื่องของความไม่เคารพในพระศาสดา พระธรรมและพระสงฆ์ และในสิกขา ท่านผู้ชมก็ต้องพิจารณาว่า เป็นไปตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า หรือเป็นคำสอนของบุคคลนั้น เพราะพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง เป็นการแสดงความจริงว่า สิ่งใดเป็นความดี สิ่งใดเป็นความชั่ว เมื่อมีความรู้ความเข้าใจ ความเข้าใจก็เริ่มเห็นความไม่ดีที่เกิดขึ้น อย่างที่ท่านไชยยศกล่าวถึงว่า เมื่อศึกษาธรรมบางคนก็ถามว่าได้อะไร ใช่ไหม แต่จริงๆ ขณะที่ฟังเริ่มมีปัญญาเกิดขึ้น และปัญญาจะทำกิจละความไม่ดี ซึ่งถ้าบุคคลรู้จริงๆ ว่าความไม่ดีประทุษร้ายใจของบุคคลนั้น ที่มีความไม่ดีเกิดขึ้นแล้ว

    ดังนั้นนี่คือคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แสดงเปิดเผยความจริงของบุคคลที่ไม่รู้มาก่อนเลยว่า อกุศลในแต่ละวันมากสักแค่ไหน แต่จากการได้ฟังธรรมได้พิจารณา เป็นเหตุให้ปัญญาของบุคคลนั้นได้เข้าใจถูกต้อง เพราะวันนึงอกุศลเยอะมาก และจะละได้อย่างไร พระองค์ก็แสดงหนทางว่าไม่ใช่มีตัวเรา หรือมีใครๆ หรือมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดจะมาแก้ไขได้ แต่ต้องเป็นปัญญาของบุคคลนั้นที่เกิด แล้วเข้าใจความจริง และปัญญาก็จะละสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีการศึกษา ไม่มีการไตร่ตรอง พิจารณาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงโดยรอบคอบ โดยไม่เผินก็จะเป็นเหตุให้พระศาสนาค่อยๆ อันตรธานไป

    อ.อรรณพ ถ้าได้ยินได้ฟังว่าขณะนี้เป็นธรรม ขณะนี้ไม่ใช่ดอกไม้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่คนพูดแต่เป็นเสียงที่เพียงปรากฏทางหู ถ้าอย่างนี้ยังไม่สนใจ ก็ชื่อว่าเสื่อมไปจากพระศาสนาแล้ว

    ท่านอาจารย์ คนนั้นไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ใครจะบอกได้ว่าขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แค่นั้นเอง แค่หลับตาก็พิสูจน์ความจริงแล้ว ไม่มี เพราะฉะนั้นใครรู้ความจริงของสิ่งที่เกิดขึ้นและปรากฏว่า มาจากไหน อยู่ที่ไหนและปรากฎได้อย่างไร ทั้งหมดมีคำตอบ จากการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงโดยละเอียดยิ่ง ไม่ใช่ให้หมดกิเลสทันที แต่ให้รู้ว่าหนทางนี้ยากแค่ไหนกว่าจะเข้าใจ แม้แต่เพียงคำว่า เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เพราะอะไร คิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วติดข้องทันที ทุกอย่างที่มีแสวงหาเพราะเห็นใช่ไหม ถ้าไม่เห็นจะมีความติดข้องหรือไม่ ไปติดข้องในอะไร ก็ไม่เห็น แต่เพราะเห็นต่างหาก แล้วก็ไม่รู้ความจริงว่าสิ่งที่ปรากฏ ผู้ที่ได้ตรัสรู้ ตรัสถึงความจริงเกิดแล้วดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ ฟังแล้วเหมือนเหลือเชื่อ ก็ไม่เห็นปรากฏว่าดับ แต่ว่าสิ่งที่ปรากฎทางตาไม่ใช่เสียง เพราะฉะนั้นขณะที่เสียงปรากฏ จะมีสิ่งที่ปรากฏทางตาปรากฏได้ไหม แต่ก็มองเห็นว่า ยังไม่ได้ดับไปเลย นี่แสดงว่าถูกปกปิดไว้ด้วยความไม่รู้ ซึ่งแสนยากที่ใครจะรู้ได้ แล้วยังประมาทว่าจะรู้ไปทำไม นี้ก็ชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดมาแล้วก็ต้องเห็น แต่เพราะไม่รู้ก็จำรูปร่างสัณฐานของสิ่งที่ปรากฏ ติดข้องในสิ่งที่พอใจ ก็เร่าร้อน แสวงหา อยากจะได้ ภาษาบาลีก็ต้องตามลำดับเลย แต่ว่าเราก็พูดภาษาไทยก็ได้ พอเห็นแล้วมีใครไม่ต้องการบ้าง เพราะต้องการแล้วจะอยู่เฉยหรือ เป็นไปได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นก็มีตลาด มีอะไร ทั่วบ้านทั่วเมือง สำหรับเป็นที่แสวงหาให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ จนได้ คิดอยู่นะกว่าจะได้ลำบากไหม ถึงจะยากสักเท่าไรในที่สุดก็จนได้ เพราะฉะนั้นจนได้แล้วจะไม่ติดข้องได้อย่างไร ว่านี่อุตส่าห์แสวงหาขวนขวายมา เพื่อที่จะให้เป็นของเราตลอดเวลา แต่ความจริงเป็นเมื่อเห็น คุณไชยยศมีทรัพย์สมบัติมากมายไหม อยู่ไหน ไม่คิด ไม่มีเลย ตรงไหน นี่ก็แก้วน้ำ ไหนทรัพย์สมบัติ ทุกคนหมด ลืมด้วยซ้ำไปว่ามีอะไรบ้าง

    อ.อรรณพ วันนี้มาสนทนาอยู่บ้านท่านอาจารย์จริยา ก็มีบ้านเป็นสมบัติ

    ท่านอาจารย์ ไม่คิด มีไหม

    อ.อรรณพ ไม่คิด ขณะนั้นก็ไม่ได้คิดถึง

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นมีเมื่อคิด หลับสนิทมีอะไรบ้าง หลับสนิทเลย ตัวก็ไม่มี ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไหนหล่ะตื่นมาเป็นเรา ก็เมื่อสักครู่ไม่มี ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริง สิ่งที่มีเมื่อเกิดขึ้นต่างหาก ลองไม่เกิดสิ


    หมายเลข 10914
    14 ต.ค. 2568