017 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๗
ท่านอาจารย์ การฟังธรรมต้องสมัครหรือไม่ ไม่ต้องเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ใช่หนทาง และก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะยังไม่ได้ฟัง จึงไม่มีการที่เราจะสามารถไตร่ตรองด้วยตัวเองได้ เพราะเขาว่าต้องปฏิบัติ จะศึกษาไปแล้วไม่ปฏิบัติแล้วจะรู้อะไร จะละกิเลสได้อย่างไร นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง จากไม่รู้เลย ไม่เข้าใจสักคำ แล้วก็จะเผิน ไม่เข้าใจต่อไปอีก แล้วไปนั่งปฏิบัติ แล้วก็ไปสมัคร พฤติกรรมทั้งหมด ก็ไม่ใช่ชีวิตซึ่งเป็นธรรม ซึ่งพร้อมที่เมื่อปัญญามีความเห็นถูกมีความเข้าใจถูก ก็จะเกิดขึ้นรู้เมื่อไรก็ได้ แต่จะเห็นการสะสม คุณจริยาสามารถที่แม้ฝนตก หรือว่าเสียงกรนก็ยังเกิดความเข้าใจได้ถูกต้องว่า บังคับบัญชาไม่ได้ ซึ่งขณะนั้นแม้แต่พังแล้วคิดแล้วหลับ ก็บังคับบัญชาไม่ได้ ธรรมเป็นอย่างนี้ แต่ยากที่จะเห็น เป็นอนัตตาบังคับบัญชาไม่ได้อยู่ตลอดเลย ทุกขณะเลย แต่ยังไม่เปิดเผยให้รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงสามารถที่จะเห็นตามความเป็นจริงได้ ว่าใครบังคับอะไรได้
เพราะฉะนั้นการสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ทั้งของคุณไชยยศ คุณจริยา ก็ทำให้ได้ฟังแล้ว แม้ว่าขณะนั้นยังไม่ได้ฟังความละเอียดของธรรมจริงๆ แต่การสะสมมาพิจารณาได้ ว่าอะไรถูกต้อง โดยที่ไม่ต้องมีใครบอกว่านี่ฝนตกโดยไม่มีใครบังคับ แต่ขณะนั้นก็สามารถที่จะเริ่มเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เหมือนท่านพระสารีบุตร ชีวิตของท่าน ท่านไม่รู้เลยว่าในชาตินั้น ท่านจะได้เป็นพระโสดาบัน ท่านก็ไปดูมหรสพกับเพื่อนสหายของท่าน แล้วก็มีความคิดซึ่งจากการสะสมก็รู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแสนที่จะชั่วคราว คนเล่นมรสพก็ตาย ตัวท่านก็ต้องตาย เมื่อไรก็ไม่รู้ เป็นเหตุให้ท่านได้พบท่านพระอัสสชิ ซึ่งก่อนนั้นท่านพบอาจารย์สัญชัย ซึ่งเห็นผิด แต่ถึงจะเป็นการที่พบใครก็ตาม เห็นผิดอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อมีปัจจัยที่จะทำให้ได้ยินได้ฟังธรรม สิ่งที่เคยสะสมมาแล้วสามารถที่จะเห็นได้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ซึ่งคนใกล้ชิดอาจจะยังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไม่สะสมมาพอที่จะเห็นความต่างกันของคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับคำของคนอื่น
อ.อรรณพ อีกท่านที่ต้องมีการสะสมมาที่จะเข้าใจในความถูกต้อง และก็ทิ้งในสิ่งที่ผิดเช่นกัน ก็คืออาจารย์จักรกฤษณ์ ทราบว่าอาจารย์ก็เคยไปสำนักปฏิบัติ จนกระทั่งทำที่บ้านเป็นสำนักปฏิบัติ แล้วอย่างไร การสะสมในจิตที่สะสมมาในทางที่ดี จะได้มีโอกาสเกิดความเข้าใจพิจารณาจากพระธรรมแล้วก็ดำเนินในสิ่งที่ถูก ทิ้งในสิ่งที่ผิด
อ.จักรกฤษณ์ เมื่อได้ฟังท่านไชยยศเล่าให้ฟังความเป็นมาของท่าน ก็รู้สึกละอายใจตัวเอง เพราะว่าไปทำสิ่งที่ผิดๆ มาเยอะมาก ไปมาตั้งแต่อายุ ๑๐ ขวบ ตอนนั้นไปที่วัดแถวภาษีเจริญ ก็นั่งสมาธิ และก็ให้กำหนดลูกแก้วศูนย์กลางกาย กำหนดลูกแก้วก็นั่งประมาณชั่วโมง ตอนนั้นเราเด็กอายุ ๑๐ ขวบก็ไม่รู้เรื่อง เพราะคุณพ่อพาไป คุณพ่อสนใจทางด้านนี้ ก็พาไป นั่งกำหนดดูลูกแก้ว ก็ด้วยความเป็นเด็ก ตอนนั้นคงจะไม่มีเรื่องที่จะคิดหรือพะวงอะไรมาก ก็เห็นลูกแก้วตามที่เขาบอก ใส ใสมาก จะให้เล็กให้ใหญ่ทำได้หมดตอนนั้น ใช่ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นพระพุทธรูปแก้วก็ได้ จะให้เล็กใหญ่ก็คือนั่งทำแบบนี้เป็นชั่วโมง เด็กๆ ก็ไม่ได้คิดอะไรเมื่อยก็เมื่อย แต่ว่าพอถึงช่วงนั้น ก็จะรู้สึกว่ามีความสุขในระดับหนึ่ง สุขซึ่งไม่ใช่สุขทางธรรมที่ถูกต้อง คือตรงนี้โชคดีมากๆ ว่าไม่ได้ไปติดตรงนั้น เพราะถ้าไปติดตรงนั้นคงจะจะไปยาวไปอีกไกล เพราะตอนหลังคุณพ่อก็ไม่ได้พาไปเลยเลิกที่จะไปทำอย่างนั้น แต่ก็มีความสนใจในพระธรรมอยู่ เพราะชอบเรื่องปรัชญา ชอบเรื่องคำที่ท่านอธิบายเหตุผลที่มีความลึกซึ้ง ก็ติดตามอ่านพระธรรมอะไรมาต่อเนื่อง แล้วก็ได้ไปฝึกปฏิบัติหลายที่ เข้าป่าไปก็มี ก็ไปนั่งสมาธิ ตามที่เขาบอก ไม่ได้อธิบายมาก ก็มีวิธีการที่จะนั่งกำหนดลมหายใจเข้า หายใจเข้าหายใจออก ก็ทำอย่างนี้ ท่านก็บอกว่าทำไปเรื่อยๆ ในที่สุด เกิดความสงบแล้วปัญญาจะเกิด เราก็ไม่ได้ตรวจสอบคือตอนนั้น ด้วยความที่ทำกันส่วนใหญ่ ตรงนี้เป็นปัญหาสำหรับชาวพุทธไทยส่วนใหญ่เลยก็คือ ถ้ามีคนที่ทำกันเยอะๆ ก็เชื่อว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดี
อ.อรรณพ ตามๆ กัน
อ.จักรกฤษณ์ ตามๆ กันมา อันนี้เป็นวัฒนธรรมไทย ดูตั้งแต่เด็กเวลาสอนหนังสือแล้วก็ให้ท่องจำ และก็มีอะไรซักถามนี้ก็ไม่ค่อยจะอธิบายมาก ให้ทำตามกันมาอย่างนั้น คือเป็นวัฒนธรรม จนเป็นประเพณีต่างๆ เราก็ทำตามกันไปโดยไม่ทราบต้นสายปลายเหตุอะไรทั้งสิ้น ก็คิดว่าทำไปแล้ว ถึงที่สุดแล้ว ปัญญา ความรู้อะไรต่างๆ จะเกิดขึ้นจากตรงนั้น ซึ่งถ้าไม่เกิดจะไปถามอาจารย์ผู้สอนก็บอกว่าทำไปเรื่อยๆ ทำไปจนสักวันหนึ่งคงจะเกิดปัญญาขึ้นเนื่องจากความสงบที่มั่นคงแล้ว ก็จะทำให้เห็นสภาวธรรมก็ไม่ได้อธิบายอะไรเลยว่า สภาวธรรมที่ว่านั้นคืออะไร อธิบายง่ายๆ ว่า เหมือนน้ำที่ขุ่นอยู่ ถ้า ตะกอนนอนก้นแล้ว ก็จะใส เห็นสิ่งต่างๆ แต่กับเอามาเทียบโดยที่ไม่ได้อธิบายว่าจริงๆ แล้วไปเทียบกับอะไร คือธรรมจริงๆ ท่านเทียบอย่างไรกับน้ำที่ตะกอนนอนก้นแล้วใส ซึ่งเราก็พูดอย่างนี้ คล้ายๆ ว่าดูน่าจะดี คือก็เป็นความจริงเพราะน้ำใสจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ก็เอามาเทียบกับการเห็นสภาวธรรมจากความสงบ แล้วก็ไม่ได้อธิบายให้เข้าใจอะไรที่ชัดเจน เราก็ติดอยู่ตรงนี้เป็นวังวน
ผมยังชอบที่ท่านไชยยศกล่าวสักครู่ว่า ธรรมพื้นฐานเรายังไม่ทราบเลย เราไปปฏิบัติก็คือข้ามสิ่งที่เราต้องควรเข้าใจไปหมดทุกอย่าง ตรงนี้เราข้ามไปหมดเลย ไม่มีทางที่จะเจอของจริงแล้ว ถ้าเราไม่ทราบพื้นฐานของธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแจกแจงอย่างละเอียดว่ามีอะไรบ้าง ถ้ายังไม่เข้าใจตรงนี้มันก็ไม่มีทางที่จะค้นพบได้
อ.อรรณพ ที่ว่าข้ามก็ตั้งแต่ได้เรียนสนทนากับอาจารย์คำปั่น ท่านอาจารย์ว่า พระศาสนามี ๓ ปริยัติศาสนา ปฏิปัตติศาสนาและปฏิเวธศาสนา จะไปปฏิบัติกันเลยโดยที่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมที่จะเป็นปริยัตติ ก็ข้ามก็ผิด เพราะไม่ได้เริ่มสะสมปัญญาปรุงแต่งตั้งแต่ต้นเลย
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ข้ามไปอย่างน่าเสียดาย ที่ท่านไชยยศกล่าวว่า พระธรรมก็ต้องคอยสะสมไปทีละเล็กทีละน้อย มีกล่าวไว้เหมือนกับชายหาดริมทะเล ชายหาดจะลาดไปตามลำดับ จะไม่มีอยู่ดีๆ ลึกลงไป ชายหาดก็จะใช้คอยลาดไป ความเข้าใจพระธรรมก็คล้ายๆ กันก็คือ ต้องค่อยๆ ทีละนิดๆ ลาดลงไปจนลุ่มลึกตามลำดับ ดังนั้น พระปริยัติธรรม ก็ต้องค่อยๆ สะสมไปจนลึกๆ ตามลำดับ จะไม่มีการไปปฏิบัติและกระโดดข้ามรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งต่างๆ ตรงนี้เราจะเรียกว่า ชาวพุทธเราพลาดตรงนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะว่าพื้นฐานไม่มี แล้วก็ไปทำสิ่งที่เข้าใจผิดว่า ทำแล้วจะเห็นถูกให้เกิดปัญญา ซึ่งไม่มีทางที่จะค้นเจอความเป็นจริงนั้นได้เลย ซึ่งตรงนี้สำคัญมากๆ เลยเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ผ่านมาแล้วจนปัจจุบันก็ทิ้งทั้งหมด ต้องทิ้งทั้งหมดเพราะไม่มีประโยชน์ นั่งสมาธิแต่ก่อนก็นั่งเกือบทั้งวัน เช้า กลางวัน เย็น นั่งสมาธิเป็นชัวโมง เช้าชั่วโมง กลางวันชั่วโมง เย็นชั่วโมง
อ.อรรณณพ ไม่เสียดายบ้างหรือ
อ.จักรกฤษณ์ แรกๆ ก็มีนิดหน่อยว่า พอเข้าไปแล้วก็จะเกิดความผ่อนคลายออกมาก็สบาย แต่เมื่อเราเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง และจุดสุดท้ายเราต้องการคืออะไร เราต้องการที่จะทราบความจริงใช่ไหม ไม่ได้ต้องการที่จะไปสงบ เพราะสิ่งเหล่านั้นมันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง
อ.อรรณพ คือไม่ใช่เป็นการสงบจริงๆ
อ.จักรกฤษณ์ ตอนนั้นก็ยังไม่ทราบว่าสงบจริงๆ เป็นอย่างไร จนกระทั่งได้ฟังคำที่ท่านอาจารย์อธิบายแจกแจงโดยละเอียด จึงเห็นว่าสิ่งที่ผิด ใช้คำว่ามิจฉามีเยอะมาก และก็ตรงข้ามกับสิ่งที่ถูก คือคู่กันเลย ถ้าเราไม่ทราบว่าสิ่งที่ถูกเป็นอย่างไร สิ่งที่ผิดเป็นอย่างไร ไม่มีทางที่เราจะเดินทางที่ถูกต้องได้ ซึ่งตรงนี้สำคัญมากเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจพื้นฐานตรงนี้ให้เข้าใจถูกต้องก่อน
ดังนั้นสำนักปฏิบัติไม่ได้สอนอะไรในลักษณะที่ให้เข้าใจให้ถูกต้องเสียก่อน ไปถึงก็จะไปปฏิบัติ ไปทำสิ่งที่ตามๆ กันมา ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้ไปคนละทาง ออกท่าผิดเลย ไปไกลเลย ย้อนกลับมาสิ่งที่ถูกต้อง ยาก ถ้าไม่เริ่มต้นที่จะต้องเข้าใจคำสอนของพุทธองค์โดยละเอียด และให้ถูกต้องเสียก่อน
อ.อรรณณพ จากการที่ได้ฟังทั้ง ๓ ท่าน ที่กล่าวถึงความสนใจในพระธรรมและจากการศึกษาพระธรรม ก็เห็นความหลากหลายของการสะสม อัธยาศัยของแต่ละคนว่าเป็นธรรมอะไรอย่างไร
ท่านอาจารย์ เห็นได้ทุกวัน ทุกเวลา ทุกสถานที่ แม้แต่ขณะนี้ ไม่ต้องไปหาตัวอย่างที่ไหนเลย เพียงแต่ไม่รู้ว่าแต่ละหนึ่งต่างกันเพราะการสะสมของธาตุรู้คือจิต ซึ่งเกิดดับ จิตที่เกิดดับแล้วเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากจิตนั้น ก็สะสมตามที่จิตนั้นได้สะสมมาสืบต่อกัน แสนโกฏกัปป์มาแล้วจนถึงวันนี้และต่อไป
อ.อรรณพ ได้ยินอย่างนี้ถ้าไม่ใช่ผู้ที่สนใจ และศึกษาพระธรรมมาบ้าง เขาจะเข้าใจได้หรือไม่ว่า จิตขณะนี้ที่จะเป็นไป เป็นผลของจิตก่อนๆ ที่สะสมมาเป็นแสนโกฏกัปป์
ท่านอาจารย์ คิดเองอย่างไรก็ไม่เท่ากับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ความละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นแต่ละหนึ่งว่า เกิดจากอะไร อย่างจิตหนึ่งขณะประกอบด้วยเจตสิกที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้นกี่ประเภท อย่างน้อยที่สุดจิตหนึ่งขณะต้องมีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ๗ ประเภท นี่อย่างน้อยที่สุด และแต่ละหนึ่งหลากหลายต่างกัน โดยเป็นปัจจัย ฐานะใด ซึ่งต่างกันด้วย
อ.อรรณพ ก็ยิ่งเป็นความที่เริ่มละเอียดขึ้นแล้วว่า มีจิตแล้วก็มีสภาพรู้ที่เกิดกับจิตก็คือเจตสิก
ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้ก็มีจิตใช่ไหม
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ จิตเกิดและดับก็ไม่รู้
อ.อรรณพ ไม่รู้
ท่านอาจารย์ ประกอบด้วยเจตสิกอะไรบ้างก็ไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
อ.อรรณพ ประโยชน์อะไรที่จะเข้าใจเรื่องจิต เจตสิก
ท่านอาจารย์ มีก็ไม่รู้กับมีแล้วรู้
อ.อรรณพ มีแล้วรู้ก็เป็นประโยชน์กว่า
ท่านอาจารย์ สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ คนที่ไม่เห็นประโยชน์ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องรู้อะไร
อ.อรรณพ ไม่น่าสนใจ
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นการสะสม ก็คือสภาพธรรมแต่ละหนึ่งขณะ ซึ่งเกิดขึ้นและดับไป เหมือนไม่มีอะไร แต่จิตที่เกิดหนึ่งขณะดับไป มีอะไรอยู่ในจิตขณะนั้น แม้จิตนั้นดับไปแล้ว แต่สิ่งที่เกิดแล้วก็สะสมสืบต่อในจิตขณะต่อไป ไม่สูญหายเลย เพราะฉะนั้นมองเห็นไหมว่า จิตหนึ่งขณะเดียวนี้เอง สะสมดีมาแล้วเท่าไร ชั่วมาแล้วเท่าไร ความเห็นผิดมาแล้วเท่าไร ความเห็นถูกมาแล้วเท่าไร เพราะฉะนั้นไม่มีใครรู้เลย ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นปรากฏให้รู้ คุณอรรณพเคยเห็นคนที่โกรธบ่อยๆ หรือไม่
อ.อรรณพ เคยเห็น
ท่านอาจารย์ แล้วก็เห็นคนที่โลภ ติดข้องไปหมด อยากได้ไปหมดทุกอย่างบ่อยๆ หรือไม่
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ และก็เห็นคนที่ใจดีไหม
อ.อรรณพ ก็มี ถึงจะน้อยแต่ก็มี
ท่านอาจารย์ เสียสละด้วย โดยคนอื่นไม่รู้เลย
อ.อรรณพ ไม่บอกด้วย
ท่านอาจารย์ นอกจากคนที่เสียสละเท่านั้นที่รู้ คนอื่นไม่สามารถจะรู้ได้ การกระทำทั้งวันเป็นไปตามการสะสม แลกกันไม่ได้เลย
อ.อรรณพ และก็มีทั้งสะสมอัธยาศัยที่ดีมาและไม่ดีมา แล้วพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ จะเป็นประโยชน์ให้ได้สะสมอัธยาศัยให้ดีขึ้นได้อย่างไร
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงใครเปลี่ยนแปลงไม่ให้มีได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ นี่คือสะสมความเห็นถูกแล้ว จากการฟังและตอบอย่างนี้ ตอบตามความเป็นจริง ก็ค่อยๆ สะสมไปอีก เวลาฟังอีกเข้าใจอีกก็สะสมความเห็นถูกเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นก็จะไม่มีผู้ที่สามารถฟังพระธรรม แล้วเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้จนรู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง จนดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคลได้
อ.อรรณพ ถ้าจะพูดถึงการสะสมในส่วนที่เป็นความรู้ ความเข้าใจ หมายความว่า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ทั้งหมด ก็เพื่อที่จะได้สะสมความเข้าใจจากการศึกษา การฟัง การไตร่ตรอง
ท่านอาจารย์ มิฉะนั้นก็ไม่มีประโยชน์ ฟังเเล้วก็หายไปหมด ลืมไปหมด ไม่ได้อะไรเลย แต่นี่เพราะสิ่งที่ได้พบ ได้เห็น ได้ฟัง ได้คิดทั้งหมด ไม่ได้หายไปไหนเลย รวมความว่ากุศลใดๆ ก็ตาม อกุศลใดๆ ก็ตาม ทั้งหมดที่เกิดแล้ว ก็สะสมสืบต่อหลากหลายมากในจิตแต่ละหนึ่งขณะ ในของเเต่ละหนึ่งคน ไม่กลับมาอีกเลย
อ.อรรณพ แน่นอนว่าต้องสะสมกิเลสอกุศลมามากมาย
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมไม่รู้เลยว่ามากแค่ไหน แม้เดี๋ยวนี้ก็มี เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรม เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ ท่ามกลางอกุศล ฟังแล้วน่าตกใจ แปลว่าไม่เคยขาดอกุศลเลยตั้งแต่ลืมตา ลืมตาแล้วก็ไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏเพียงชั่วขณะที่แสนสั้นและดับ นี่ก็คือมากมายเท่าไร
อ.อรรณพ จริงๆ เพราะฉะนั้นที่สะสมมาแสนนานก็ทั้งอกุศล ทั้งกุศล
ท่านอาจารย์ เลยเป็นอัธยาศัยที่ต่างกัน คุณอรรณพกับคุณธิดารัตน์ก็ไม่เหมือนกัน ชอบเหมือนกันไหม คุณธิดารัตน์เป็นน้องสาวคุณอรรณพ
อ.อรรณพ แตกต่างกัน อย่างผมชอบดนตรีไทย แต่ธิดารัตน์เขาก็ไม่ได้สะสมมาที่จะชอบ แต่ก่อนก็จะมีการเปิดฟังบ้าง บรรเลง ซ้อมบ้าง เขาก็จะไม่ค่อยได้ชื่นชมยินดีเท่าไร ก็ไม่มีสะสมมา
ท่านอาจารย์ แต่ทั้งสองท่านสะสมการฟังธรรม เพราะฉะนั้นก็มีอัธยาศัยที่จะฟังธรรม แต่ถึงแม้ว่าจะมีอัธยาศัยที่ฟังธรรม ก็ยังหลากหลายไปตามความคิดซึ่งเกิดจากการที่สะสมมา
อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ที่ได้ฟังจากทั้ง ๓ ท่าน ท่านไชยยศ อาจารย์จักรกฤษณ์ อาจารย์จริยา ก็เห็นว่าท่านก็สะสมมามีอัธยาศัยที่ต่างกัน อย่างท่านไชยยศก็ไม่ได้คิดจะไปสำนักปฏิบัติ ไปอะไรเลย แต่ท่านอาจารย์จริยา อาจารย์จักรกฤษณ์ก็ผ่านเรื่องพวกนี้มา แต่ทุกคนก็สะสมในความสนใจพระธรรมในเหตุในผล
ท่านอาจารย์ และการที่จะได้ฟังธรรมของแต่ละท่านก็ต่างกัน
อ.อรรณพ ผมพูดเลยไป สูงหน่อยสำหรับการสะสมที่ต่างกัน ด้วยเหตุนี้ใช่ไหม พระผู้มีพระภาคซึ่งพระองค์เป็นพระสัพพัญญู จึงได้ทรงแสดงว่า พระเถระรูปนี้เป็นเอตทัคคะด้านใดด้านหนึ่งแตกต่างกันหมด แม้ว่าท่านจะเป็นพระอริยบุคคลเหมือนกันก็ตาม ก็ยิ่งเป็นแม้ถึงขั้นนั้นก็ยังแตกต่างกัน
ท่านอาจารย์ พระอัครสาวกสองท่าน ซึ่งต่างกัน ท่านหนึ่งก็เป็นผู้ที่เลิศด้วยปัญญา อีกท่านหนึ่งก็เป็นผู้ที่เลิศด้วยอิทธิปาฏิหารย์
อ.อรรณพ และทั้งๆ ที่เป็นสหายกัน
ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรที่จะซ้ำกันได้เลย หนึ่งคือหนึ่ง เกิดและดับไปแล้วไม่กลับมาอีก แม้ในคนเดียวกัน แต่ละหนึ่งก็คือแต่ละหนึ่งจริงๆ น่าอัศจรรย์ไหมธรรม ใครบังคับบัญชาไม่ได้ หลากหลายจริงๆ แต่ไม่รู้
อ.อรรณพ แล้วก็ที่สะสมมาแล้ว ก็สะสมมาแล้ว แต่ที่จะสะสมใหม่ที่ดีก็คือการสะสมการฟัง การเข้าใจพระธรรม ซึ่งแต่ละคนก็มีการที่จะได้เข้าใจพระธรรมหลากหลายแตกต่างกัน บางคนก็มีโอกาสที่จะตามท่านอาจารย์ไปร่วมสนทนาก็มี อย่างท่านไชยยศกับคุณชลชินี คุณชลชินีก็มีโอกาสที่จะไปฟังธรรม ท่านไชยยศก็ไม่ใช่ว่าจะมีโอกาสตามไปสนทนาอะไรต่างๆ แล้วก็ผมก็ได้เรียนสนทนามา ก็รู้ว่าท่านก็สนใจธรรมกัน ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ แล้วก็ลูกด้วย ในครอบครัวก็สนใจธรรม อยากเรียนถามท่านว่า มีการคุยธรรมกันบ้างไหม สำหรับคนในครอบครัว
คุณไชยยศ ก็บ่อยมาก ผมก็มักจะอ้อมๆ เวลาเขาถามนู้นถามนี่อะไรเป็นอะไร ก็มันเป็นอนัตตามันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ก็ดึงเข้ามา แล้วบ่อยครั้ง เดี๋ยวนี้สื่อสารสะดวก คุยกัน สนทนากัน ตอบโต้อะไรในครอบครัว ก็เป็นประโยชน์มาก การสะสมอย่างภรรยาก็ไปที่มูลนิธิบ่อย ติดตามอาจารย์ไปทั่วหมด ซึ่งผมไม่ได้สะสมมาอย่างนั้น ผมอยู่ในครอบครัว และอยู่ในบรรยากาศที่น่าจะหลงผิดมากๆ ตอนผมเรียนยังไม่จบ มีเพื่อนของน้า แกเป็นหมอดู ดูลายมือ ดูแม่นมาก แกเคยดูลายมือ แล้วก็พิมพ์ลายมือไว้ด้วย บอกว่าผมจะต้องเป็นรัฐมนตรี ตอนนั้นยังเรียนไม่จบ แล้วไม่รู้เรื่องการเมืองเลย แล้วในที่สุดผมก็เป็น หลายอย่างที่คนมาบอก เส้นอย่างนี้ๆ คือ ถึงบอกเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่น่าหลงใหลกับเรื่องพวกนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เลยมานึกถึงคำที่ท่านอาจารย์พร่ำบอกอยู่เรื่อยว่า มันคือคนจะต้องมีบุญที่สะสมมาแต่ชาติปางก่อนที่จะไม่คิดถึงเรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์ แล้วก็ไปเจอสิ่งที่มีประโยชน์อย่างที่ว่า ถ้าวันนั้นพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูกอีก วันนั้นมันต้องเกิดจึงเปิดวิทยุ เคยได้ฟัง แล้วก็ต่อเนื่องมา
อ.อรรณพ เป็นวันที่กุศลกรรมให้ผล
คุณไชยยศ ทุกคนก็สะสมกันมา แล้วพยายามพร่ำบอกทุกคนที่บอกได้ ไม่ได้ไปยัดเยียดให้ อย่างลูกชายก็มักจะถาม รู้ธรรมแล้วได้อะไร ก็จะบอกว่า คงไม่ได้แน่ ตรงกันข้ามมันจะมีอะไรที่ต้องต้องเสียไปด้วย หายไปด้วย คือเรารู้ธรรมจริงๆ สิ่งที่จะหายไปคือความโกรธคนอื่นก็จะน้อยลง เพราะเรารู้ว่าแต่ละคนก็สะสมมาไม่เหมือนกันแน่ ก็มีแต่จิต เจตสิก รูป ตรงกันข้ามเรากับจะสงสารเขาเสียอีก เมตตาก็จะตามมา เวลามีเมตตามันผ่องใส มันปิติจริงๆ ก็พยายามพร่ำสอน ได้ ไม่ได้มีแต่สิ่งที่จะค่อยๆ หมดไป ความโลภ ความโกรธ ในที่สุดความหลงหมดไปเมื่อไร ก็นั่นแหละคือคำตอบสุดท้าย
อ.อรรณพ จริงๆ ผมจะเรียนถามความเห็นท่านอีกสักเรื่องหนึ่ง เผื่อท่านจะมีอะไรเพิ่มเติมว่า ธรรมกับชีวิตของนักบริหาร นักธุรกิจ เกี่ยวข้องเป็นประโยชน์อย่างไร ในฐานะที่ท่านก็เป็นนักบริหารระดับสูง แล้วก็เป็นนักธุรกิจทุกอย่าง นักบริหาร แล้วท่านได้มาศึกษาธรรม ธรรมกับชีวิตนักบริหาร นักธุรกิจ
คุณไชยยศ ทุกอย่างเป็นธรรม ไม่เว้นเลย ทุกอย่างเป็นธรรม เพียงแต่ว่าเราจะเข้าใจในความหมายของธรรมในแง่มุมไหน ยกตัวอย่างเรามีพนักงานเยอะมากที่ต้องบริหารคน บริหารงานไม่ยาก บริหารคนนี่ยากจริงๆ แต่ถ้าเราเข้าใจธรรม เมื่อรู้ว่าเป็นจิต เจตสิก รูป เขาสะสมมา
