019 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๙
ท่านอาจารย์ หลับสนิทมีอะไรบ้าง หลับสนิทเลย ตัวก็ไม่มี ชื่ออะไรก็ไม่รู้ อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไหนหล่ะตื่นมาเป็นเรา ก็เมื่อสักครู่ไม่มี ไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นตามความเป็นจริง สิ่งที่มีเมื่อเกิดขึ้นต่างหาก ลองไม่เกิด จะมีอะไรไหม ก็ไม่มีแต่เพราะความไม่รู้ได้ โลกก็หมุนไปอย่างเร็วสุดที่จะประมาณได้ ลวงเหมือนมายากล นายมายากลทำสิ่งซึ่งคนอื่นน่าอัศจรรย์ว่าเขาทำได้อย่างไร เราทำไม่ได้ ใช่ไหม เพราะเร็วเหลือเกิน แล้วก็จิต เจตสิก รูป ธรรม เกิดดับเร็วยิ่งกว่านั้นสุดที่จะประมาณได้ จึงประมาณไม่ได้ในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าแม้สิ่งที่ละเอียดอย่างนี้ ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด พร้อมด้วยพระทศพลญาณเหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะพระอรหันต์ท่านก็สามารถที่จะค่อยๆ สะสมความเห็นถูกจนกระทั่งดับกิเลสเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี จนเหลือกิเลสแม้น้อยที่สุดคือความเป็น อย่างไรๆ ก็เป็นใช่ไหม เป็นอะไรก็เป็น แต่ขณะนั้นก็เป็นธรรม ซึ่งติดข้องในสิ่งที่มี เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และก็เป็นเราด้วย
เพราะฉะนั้นต้องถึงพระอรหันต์ ดับกิเลสไม่เหลือเลย คิดดู ขณะนี้กิเลสก็มาก แค่ทางตากิเลสเกิดไม่รู้ แต่พระอรหันต์ดับหมดเลย แม้ทางตาซึ่งเคยไม่รู้ว่ามีกิเลส ก็รู้เลยว่าไม่มีกิเลสเพราะอะไร เพราะรู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่รู้ความจริงดับไม่ได้เลย ก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่าทุกคำจริงจากขั้นพิจารณาไตร่ตรอง ค้านสิ่ ถ้าค้านไม่ได้ก็คือฟังต่อไป จนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าขณะที่กำลังฟังเริ่มเข้าใจ ต่างกับขณะที่ฟังมากๆ จนกระทั่งสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่กำลังมี โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไปสำนักปฏิบัติ ไปนั่งทำอะไรไปต้องการ ตั้งใจรู้อะไรเลย นั่นคือเรา แล้วจะเข้าใจถูกต้องได้อย่างไร แต่ว่าปัญญาที่สะสมค่อยๆ เกิดขึ้น จนกระทั่งแสดงความเป็นอนัตตาเพิ่มขึ้น ว่าแม้แต่คำว่าสติมีหลายระดับขั้น ทุกอย่างละเอียดมาก ทั้งหมดถ้าไม่มีการศึกษา พระศาสนารุ่งริ่ง
อ.อรรณพ รุ่งริ่ง ลบเลือน ถ้าไม่มีใครที่สนใจจะฟังความจริง เพื่อรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงเลย ก็เป็นอันว่า
ท่านอาจารย์ อันตรธาน แม้ถึงขณะนี้กล่าวได้เลย ใครที่ไม่เข้าใจธรรม ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับคนนั้นพระศาสนาก็อันตรธานแล้ว จะอยู่ได้อย่างไร แล้วยิ่งไม่มีใครเลยสักคน ถึงที่สุดก็คือว่าไม่มีใครเข้าใจเลยคืออันตรธานหมด แต่ถ้ายังมีความเข้าใจอยู่ พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธาน
เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้กำลังจะอันตรธาน ถ้าไม่มีคนที่เข้าใจถูกต้อง ช่วยกันที่จะให้คนอื่นได้เห็นประโยชน์ ที่จะรักษาคำสอน ซึ่งยากแสนยากที่จะมีโอกาสได้ฟัง เพราะกำลังจะอันตรธาน เพราะไม่มีใครฟัง
อ.อรรณพ อาจจะเป็นที่คนก็คิดว่า ในชีวิตเขาก็มีความดี ที่เขาพอจะกระทำได้ เขาก็เลยไม่ได้สนใจธรรมที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างนี้ ก็จะกราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ตอนที่ว่างจากพระศาสนา คือไม่มีการแสดงการอุบัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระพุทธศาสนา มีคุณความดีได้แค่ไหน
ท่านอาจารย์ คุณความดีอยู่ที่ไหน
อ.อรรณพ อยู่ที่จิต
ท่านอาจารย์ แต่ละคน เพราะฉะนั้นแม้ว่างจากพระศาสนาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันตรธาน ปรินิพานแล้ว จิตที่สะสมความดีของแต่ละหนึ่งคน มีไหม
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ ถ้าสามารถที่จะรู้ความจริงได้ เพราะสะสมมาที่จะรู้ความจริง ซึ่งไม่สามารถจะรู้ได้ว่าวันไหน จะสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ หรือว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว เรารู้ได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ ใครมีปัญญาแค่ไหน ใครรู้ได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่มีอะไรจะพิสูจน์เลยใช่ไหม แต่ว่าขณะใดก็ตามสิ่งที่ได้สะสมมาแล้วถึงเวลาที่จะเกิดเป็นผลให้ผลเกิดขึ้น ใครยับยั้งได้ไหม ถึงเวลาดอกไม้จะบาน ห้ามไม่ให้บานได้ไหม ถึงเวลาที่มะม่วงจะสุก
อ.อรรณพ เป็นไปตามเหตุปัจจัย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นความเป็นอนัตตามีอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่เห็น เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นว่า แม้เกิดขึ้นก็ไม่รู้ ดับไปก็ไม่รู้ เป็นอะไรก็ไม่รู้สักอย่างเดียว แต่จากการฟังสะสมมา สามารถที่จะมีผู้ที่รู้ความจริงโดยไม่ต้องอาศัยคำของสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นบารมีก็มีหลายระดับ บารมีขั้นถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมีที่ถึงความเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า และเป็นบารมีสำหรับสาวก เป็นสาวกโพธิสัตว์ เป็นอนุพุทธะ คือรู้ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกอย่างก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แต่สิ่งที่มีแล้ว แล้วก็ยังไม่เกิดขึ้น เราจะไม่รู้ว่าเรามีแค่ไหน ท่านพระสารีบุตรสะสมมาเท่าไร ท่านไม่รู้เลย แล้วท่านพระมหาโมคัลลานะท่านก็ไม่รู้ แต่พอได้ฟังคำของท่านพระสารีบุตร สิ่งที่ท่านสะสมมาท่านก็รู้แจ้งอริยสัจธรรมเป็นพระโสดาบัน ใครรู้แจ้งอริยสัจธรรมหลังจากที่ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว
อ.วิชัย พระมหาโมคคัลลานะ ๗ วัน
ท่านอาจารย์ พระมหาโมคคัลลานะ เห็นไหม พอถึงเวลา ๗ วัน เป็นพระอรหันต์ แต่ท่านพระสารีบุตรยัง ๑๕ วัน ใครรู้ว่าเมื่อไรอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะกับพระอัครสาวกหรือใครก็ตาม เพราะทั้งหมดต้องเป็นตามธรรมทั้งหลาย เป็นอนัตตาลืมไม่ได้เลย ไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ต้องเป็นไปตามเหตุ
อ.อรรณพ ท่านไชยยศ ชีวิตต่อไปกับธรรม ท่านคิดอย่างไร ผมคิดว่า คำว่าอนัตตาเป็นคำตอบสุดท้ายจริงๆ เพียงแต่ว่าเมื่อไรเราจะเริ่มต้นตรงไหนที่จะมาถึงคำว่าสุดท้ายตรงนี้ให้ได้ ก็ต้องค่อยๆ สะสม อบรมปัญญาไป ถามว่าวันนี้อยากจะให้ผู้ที่ฟังอยู่ได้ประโยชน์อะไร ผมคิดว่า บ้านเมืองเราหรือแม้ในชีวิตของเรา ที่เป็นปัญหากันอยู่ทุกวันนี้ คือความมีตัวตน ความมีมานะ ฉันดีกว่า เธอทำเธอไม่ดี เธอทำอดีตไว้ไม่ดี ฉันต้องมาแก้ทุกวันนี้ พูดไปเถอะ ทั้งหมดเพราะมีตัวตน ที่คิดว่าฉันยิ่งใหญ่ ไม่ได้ยิ่งใหญ่หรอกไม่ว่าใคร ตรงกันข้ามละความเป็นตัวตน วันที่ไม่มีตัวเราเมื่อไร วันนั้นก็จะมีแต่ความดีที่มาจากปัญญาที่อบรมมา แล้วตรงนั้นก็จะแผ่ไป แล้วก็จะมีคนเห็น ในสิ่งที่เราได้ทำ มันก็จะมากันเป็นกระแสว่า นี่คือคำตอบจริงๆ แต่ละคนก็จะต้องอบรมกันไป
ท่านอาจารย์ ก็เป็นหน้าที่ของชาวพุทธ เพราะเหตุว่าทุกคนเกิดมาก็มีหน้าที่ แต่ถ้าได้ชื่อว่าชาวพุทธ ก็ต้องมีหน้าที่ของชาวพุทธด้วย ถ้าชาวพุทธไม่เข้าใจธรรม ไม่ศึกษาธรรม และก็ไม่ให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ยินได้ฟัง พระศาสนาก็ต้องสูญหายไป เพราะฉะนั้นถ้าชาวพุทธทุกคนได้ตระหนักว่า พุทธศาสนาไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยทั้งสิ้น ไม่ได้อยู่ที่วัดวาอาราม แต่ว่าอยู่ที่ความเข้าใจของแต่ละคน เพราะฉะนั้นถ้าสามารถที่จะให้คนอื่นมีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรมถูกต้องขึ้น พระพุทธศาสนาก็ดำรงอยู่ได้ต่อไป
อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ก็สนทนาว่า พระศาสนาจะรุ่งเรืองหรือจะเสื่อม ก็คงเป็นที่ชัดเจนว่า ถ้ามีผู้สนใจพระธรรม มีคนเข้าใจธรรม ก็ยังจะมีการดำรงพระศาสนาอยู่ด้วย ถึงตอนนี้ก็ได้คิดถึงว่า ความเห็นผิดทำลายพระศาสนา ทำลายอะไรบ้าง
อ.วิชัย ก่อนหน้านั้นจะมีคำหนึ่งเรื่องของการแก้บน ก็เป็นเรื่องของความที่ไม่เข้าใจเหตุผลเลย ไม่เข้าใจเหตุว่า เหตุอะไรนำมาซึ่งผลอะไร ซึ่งแต่ละบุคคล จะมีผลของกรรมที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ย่อมนำมาซึ่งความสุขแต่ถ้าเป็นผลของอกุศลกรรม ก็ย่อมนำมาซึ่งความทุกข์ ดังนั้นถ้าบุคคลมีความเห็นหรือความเข้าใจว่า การที่จะพ้นจากภัยอันตรายต่างๆ ที่ตนเองเข้าใจว่าพ้นมาได้ และมีการที่จะให้สิ่งของไปบูชาอะไรก็แล้วแต่ คิดว่านั่นคือการที่จะไปขอแล้วได้พ้นจากความแคล้วคลาด แล้วก็ไปแก้บน แต่ความจริงไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าต้องเป็นผลของกุศลกรรมที่จะเป็นเหตุนำมาซึ่งผลของกุศลนั้น
ดังนั้นถ้าไม่เข้าใจเหตุและผลอย่างนี้ ก็เชื่อแล้วก็กระทำตามๆ กันด้วยความไม่เข้าใจ แต่ถ้าบุคคลมีการที่จะฟังพระธรรมเข้าใจธรรม รู้ว่าการกระทำกุศลคือคุณความดี ย่อมนำมาซึ่งผลของกุศลที่ดีงามแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปแก้บนเลย เพราะเหตุว่าบุคคลนั้นมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า การกระทำที่ดีงามนำมาซึ่งผลของความสุข และเช่นเดียวกันตรงกันข้าม ถ้าบุคคลนั้นกระทำสะสมแต่อกุศลกรรมมา ภายภาคหน้าก็ย่อมเป็นเหตุให้บุคคลนั้นได้ประสบกับความทุกข์แน่นอน ไม่ว่าจะมีวิธีการหลีกเลี่ยงอย่างไรก็แล้วแต่ แต่เมื่อถึงกาล ถึงโอกาสที่ผลของอกุศลกรรมให้ผล บุคคลนั้นต้องประสบกับความทุกข์ เพราะเนื่องจากเหตุคืออกุศลกรรมที่บุคคลนั้น หรือว่าตนนั้นได้กระทำมา
อ.อรรณพ อาจารย์วิชัยก็ยกตัวอย่างการแก้บน ก็เป็นการทำให้พระศาสนาลบเลือนไปในส่วนที่ไม่เข้าใจในเหตุในผล กรรมและผลของกรรม
ท่านอาจารย์ แต่ว่าไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ไม่มีความรู้อะไรเลย จะตอบได้ไหมว่าบนใคร เห็นไหม แค่คำเดียวก็ตอบไม่ได้ ก็ยังทำในสิ่งซึ่งไม่รู้แต่ก็ทำ
อ.อรรณพ บนเทวดา
ท่านอาจารย์ เทวดาจะทำอะไรให้ อยู่ดีๆ เทวดาไปกวนเทวดา
อ.อรรณพ เทวดาอยู่ในภพภูมิที่สูงกว่า อาจจะช่วยอะไรได้
ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนั้นเทวดาช่วยหมดเลย
อ.อรรณพ เขาก็อาจจะคิดว่า แม้อย่างเป็นมนุษย์ด้วยกัน มนุษย์ที่มีศักดิ์สูงกว่า มีเงิน มีฐานะ มีความพร้อมที่จะช่วย มนุษย์ด้วยกันก็ยังช่วยได้ ถ้าเป็นเทวดาที่อยู่ในภพภูมิที่สูงก็น่าจะช่วยได้
ท่านอาจารย์ ลองคิดกลับกันมนุษย์ยังไม่ช่วย ทำไมไปคิดถึงเทวดาจะช่วย ในเมื่อมนุษย์ก็ยังไม่ช่วยเเลย มนุษย์กันเองยังไม่ช่วย และจะไปหวังสูงยิ่งกว่านั้นคือหวังเทวดาช่วย แล้วใครเห็นเทวดา แล้วเทวดาจะช่วยโดยลักษณะอย่างไร คือทุกสิ่งทุกอย่าง ถ้าสืบสาวราวเรื่อง หาเหตุผลจริงๆ ก็จะรู้ว่าไร้เหตุผล ไม่สมควรที่จะเชื่อ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ต้องการเหตุผลอะไรเลย เชื่อหมดทุกอย่าง พระพุทธศาสนาก็รุ่งริ่ง
อ.อรรณพ แล้วก็ลบเลือนไป เรื่องบน เมื่อสัก๓-๔ วัน ผมก็รับประทานไข่ต้มไปหลายใบ เพราะที่ทำงานเขาไปบน ก็เลยเอามาแบ่งกันรับประทาน
ท่านอาจารย์ ขอเพิ่มเติมนิดหน่อย ประการที่หนึ่ง บนใครก็ไม่รู้ แล้วเรื่องอะไรต้องเป็นไข่ต้ม เห็นไหมก็ตอบไม่ได้อีก คนที่ต้องการ ที่เราต้องการเขาชอบไข่ต้มหรือ ไปรู้ได้อย่างไร ถามอีก ก็ตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง
อ.อรรณพ ตามๆ กัน
ท่านอาจารย์ ตามๆ กัน เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเหตุผลเลย สมควรไหมที่จะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ให้คนที่หลงเชื่อต่างๆ ด้วยความงมงายได้เข้าใจถูกต้อง เพราะถ้าเป็นความจริงตอบได้ ใช่ไหม แม้แต่เทวดาหรือจะช่วย และจะช่วยโดยวิธีไหน แล้วทำไมช่วย และต้องเอาไข่ไปให้เทวดา ไม่มีเหตุผลอะไรเลย เหมือนนิยายหลอกเด็ก
อ.อรรณพ นักศึกษาเขาเห็นว่าจะไปจัดงานวิชาการกัน แล้วก็จะมีพิธีเปิด ถ้าฝนตกมาจะลำบาก และเห็นว่าฝนจะตกก็เลยบน
ท่านอาจารย์ นักศึกษายังอย่างนี้ แล้วคนอื่นไม่ต้องพูดถึง
อ.อรรณพ เขายังไม่ได้ศึกษาพระธรรม
ท่านอาจารย์ ก็ไม่มีเหตุผลด้วยกัน ใครทำอย่างนี้ไม่มีเหตุผล ถ้าทำทั้งประเทศคือทั้งประเทศไม่มีเหตุผล
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ยิ่งถามละเอียดก็ยิ่งเห็นว่าไร้สาระ ไร้เหตุผล
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.อรรณพ เพราะหนึ่งบนใคร สองเอาอะไรไปบน แล้วเทวดาท่านจะเสวยไข่ต้มหรือ ก็ยังฟัง ยังแน่นในสังคม
ท่านอาจารย์ จึงจำเป็นที่ต้องพูดว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้เข้าใจถูกต้อง มิฉะนั้นพระศาสนาก็อันตรธาน ลบเลือนเสื่อมไป จะกล่าวว่าเจริญไม่ได้ ถ้าตราบใดยังมีการกระทำที่ไม่เป็นเหตุผล แต่ทั้งหมดก็ยังไม่เท่ากับผู้ที่มีความเข้าใจผิด คิดว่าพระพุทธศาสนาง่าย ไม่ต้องเรียนก็ได้ คิดได้อย่างไร เพราะฉะนั้นอันตรายที่สุดที่จะประมาทคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะผู้ที่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะกล่าวสอนคำที่ง่ายหรือ คำที่ง่ายใครก็สอนได้ ไม่ต้องเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นแต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นคำที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แต่ก่อนนี้ก็ได้ยินคำของคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง แต่ไม่ได้ยินคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นได้ยินคำไหน ซึ่งต่างจากคำที่เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ที่เป็นเหตุเป็นผลที่ถูกต้อง ที่กล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ก็จะรู้ได้เลยว่าใครกล่าวได้ ถ้าไม่รู้จริงๆ จะกล่าวได้ไหม ว่าขณะนี้เห็นต้องเกิดแล้วก็ดับด้วย เพราะในขณะที่เห็น มีได้ยินด้วย มีคิดด้วย ดูเหมือนว่าพร้อมกัน ก็แสดงว่าปัญญาของบุคคลนั้น ต้องสูงระดับที่สามารถที่จะรู้สิ่งซึ่งคนอื่นรู้ไม่ได้ และกล่าวถึงสิ่งที่มีจริงๆ โดยละเอียด เพื่อให้มั่นคง เข้าใจได้ถูกต้องว่าเป็นเหตุเป็นผลทั้งหมด ตั้งแต่ไม่มีเห็น แล้วเกิดเห็นขึ้นได้อย่างไร พอเกิดเห็นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ ในสังสารวัฏฏ์ด้วย
บางคนก็อาจจะคิดว่านั่นไงเห็น เกิดดับก็ไม่เป็นไร นี่ไงเห็นอีกแล้ว เหมือนเดิมอีกแล้ว เห็นเก่าอีกแล้ว แต่ไม่ใช่เลยนั่นยังตื้นมาก เพราะฉะนั้นความจริงถึงที่สุดละเอียดยิ่งกว่านั้น ซึ่งต้องอาศัยการค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ ไตร่ตรอง ค่อยๆ เทียบเคียงแต่ละคำที่ได้ฟัง
อ.วิชัย ดูเหมือนกับเป็นประเด็นที่สำคัญมาก เพราะถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรมคำสอน หรือปฏิเสธที่จะศึกษาพระธรรมคำสอน เหมือนกับเป็นเหตุที่ยังพระศาสนาอันตรธานโดยตรง โดยที่คิดแล้วก็เข้าใจว่า บุคคลที่กล่าวสอนในการที่จะให้ไปประพฤติปฏิบัติอะไร นั่นคือคำสอนของพุทธศาสนา อันนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่มาก นอกจากจะไม่ศึกษาแล้วยังเห็นผิดอีก
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคนที่ได้ฟังคำสอนอื่น ไปหลงผิดปฏิบัติผิดมา แต่เพราะการที่เคยสะสมความเป็นผู้มีเหตุผล ความเป็นผู้ตรง ความเป็นผู้ที่เห็นสาระของการที่จะเข้าใจสิ่งที่จริง ไม่ต้องการสิ่งที่ไม่จริง พอได้ฟังธรรม เขาเปลี่ยนเลย เพราะเขารู้ว่าที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดไม่ใช่ ไม่จริง ไม่ใช่ความเข้าใจใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นที่สำคัญก็คือว่า จะมีความเข้าใจอย่างนั้นที่จะสามารถช่วยตัวเองได้ โดยที่ไม่ต้องไปเชื่อว่าคนอื่นบอกว่าผิดหรือถูก แต่การที่เป็นผู้ที่ สามารถเข้าใจในเหตุและในผลได้ ก็ต้องอาศัยการได้ค่อยๆ สะสมความเป็นผู้ตรงตั้งแต่ต้น เช่น ตรงว่าเดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ ใครรู้ตามความเป็นจริงได้ แล้วก็ค่อยๆ ศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.วิชัย ท่านอาจารย์กล่าวถึงการสะสมของแต่ละบุคคล แต่ปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือบุคคลนั้นได้ฟังจากคำคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง คือเป็นผู้ที่รู้เข้าใจธรรมวินัย แล้วก็สามารถจะแสดงเปิดเผยให้บุคคลนั้นได้พิจารณา นี่ก็เป็นส่วนสำคัญมาก เพราะเทียบเคียงกับตัวเองคือก่อนหน้านั้นไม่ได้ฟังคำที่ถูกต้อง ก็คิดหรือว่าหลงเข้าใจโดยที่อาจจะมีความคิดเหตุผลว่า การกระทำที่ไม่รู้อะไรไปนั่งเฉยๆ เป็นสิ่งที่ไร้สาระ แต่ก็ไม่สามารถจะรู้ว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
ท่านอาจารย์ เป็นเครื่องยืนยันว่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายาก ใครก็คิดเองไม่ได้ คิดอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะคิดได้เลย จนกว่าจะได้ยินคำที่พระองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว
อ.อรรณพ ความเห็นผิดในหนทางปฏิบัติ ในข้อปฏิบัติ ทำลายพระพุทธศาสนามากกว่าการที่ไปทำอะไร บนอะไรอย่างนั้น อย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ ที่อาจารย์อรรณพกล่าวก็ถูกต้อง การไปแก้บนหรือว่าไปทำเรื่องอื่นๆ ยังมีผลร้าย ไม่มากเท่าไร เพราะเมื่อสักครู่ท่านจารย์กล่าวว่า ความเห็นผิดว่าพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ง่าย อันนี้สำคัญที่สุด อันนี้ทำลายโดยตรงเลย ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะย้อนกลับมาประเด็นเมื่อเช้านี้ เราได้คุยกันเรื่องสำนักปฏิบัติ ตรงนี้เป็นตัวอย่างหนึ่ง ซึ่งเราอาจจะยกมาคุยละเอียดสักนิดหนึ่ง ให้ได้เข้าใจแล้วก็มีตัวอย่างในเมืองไทย เราก็คุยกันมาพักหนึ่ง ผมเอาตัวอย่างของต่างประเทศบ้าง จะได้ดูว่าเขาเห็นอย่างไร
อ.อรรณพ ได้ความรู้ว่า มีสำนักปฏิบัติหลายๆ ศาสนา
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ซึ่งปะปนกัน ซึ่งถ้าเราไม่เข้าใจจริงๆ เราจะสับสนมาก ของพุทธศาสนาท่านไม่ได้แสดงเรื่องสำนักปฏิบัติ ไม่มีกล่าวไว้เลย อันนั้นจะคุยในตอนท้ายคุย แต่ตอนนี้ความเป็นมาเพราะว่ามันปะปนกันหมดแต่สำหรับสำนักปฏิบัติทั้งหลาย เขามุ่งเน้นไปที่ความสงบของจิตใจ อาจจะทรมานร่างกาย บางแห่งให้ไปนั่งกันเป็นวันๆ เลย แต่เขาบอกว่าพอถึงจุดหนึ่งแล้ว จะเกิดความผ่อนคลายทางด้านจิตใจ ทำให้เกิดความสงบ ซึ่งอันนั้นเขาก็เน้นไปในเรื่องของสุขภาพจิต ไม่เฉพาะสุขภาพกาย
ท่านอาจารย์ แต่รู้สึกว่าเขาจะนิยมของประเทศไทย เพราะเราแถมคำว่า พระพุทธศาสนาด้วย
อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้สำคัญที่สุด ตรงนี้ใช้ชื่อคำว่า พุทธศาสนา ซึ่งทำให้คนสนใจ พูดถึงเรื่องสมาธิ เขาคิดมาถึงเรื่องพุทธศาสนาทันที ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงที่ไม่ถูกต้อง ผิดพลาดอย่างยิ่ง
อ.อรรณพ ตรงนี้ต้องสนทนากันอีกครั้ง
อ.จักรกฤษณ์ ตรงนี้ก็จะต้องมีรายละเอียด ดังนั้นทำให้เห็นว่า สำนักปฎิบัติมีทั่วโลกตอนนี้ ใช่ ดังนั้นสำนักปฏิบัติปะปนกัน คือไปเอาของที่อื่นเข้า ทำให้สับสน เข้าใจผิด
อ.อรรณพ อ้างศาสนา
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ อ้างศาสนาพุทธเป็นหลัก ซึ่งปรากฏว่าในเว็บไซต์ เขาบอกว่า พุทธศาสนา เขาใช้คำว่า เมดดิเทรทีฟ หรือ ทริท ก็คือสำนักนั่งสมาธิฝึกสมาธิ เขาเอาไปใส่ อธิบายให้คนทั่วโลก คิดว่าพุทธศาสนามีสำนักปฏิบัติอย่างนี้ ซึ่งตรงนี้ก็ทำให้เกิดความเข้าใจผิดไปทั่วเลย แต่ยกตัวอย่างว่า ก็ สำนักปฏิบัติก็ให้แยกออกไปจากโลกชีวิตปัจจุบันไปอยู่โดดเดี่ยว แล้วก็ให้ไปฝึกสมาธิ โดยมีการฝึกใช้ลมหายใจ เพื่อให้จิตใจสงบ ได้ซาบซึ้งในความสงบอย่างนี้เป็นต้น นี่อธิบายอยู่ในความหมายของเขา ซึ่งตรงนี้ทำให้ถ้าเกิดใครที่ไม่เข้าใจว่า ศาสนาพุทธสอนเรื่องสมาธิอย่างไร มาอ่านตรงนี้ก็จะทำให้สับสนไป ว่ามีอย่างนี้ด้วย
อ.อรรณพ คือพุทธศาสนา
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ มีอย่างนี้ด้วยหรือ ซึ่งตรงนี้ เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะทำให้เห็นว่ามันมีผล มันง่าย
ท่านอาจารย์ เขาคิดว่าทำได้ ค้านกับคำว่า อนัตตา
