016 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑๖


    อ.อรรณพ ท่านก็เป็นนักบริหาร นักธุรกิจ ท่านมาเข้าใจธรรม ท่านก็เห็นประโยชน์เหมือนกับเป็นปริศนาธรรมที่ดีมาก อาศัยว่าสถานที่นั้นก็ต้องทำเป็น ๖ หลุม ๖ หลุม ๖ หลุมใช่ไหม จะทำเก้าหลุมๆ สถานที่ไม่เอื้อ แต่ว่าพอเป็น ๖ ๖ ๖ ก็ยังคิดถึงธรรม แล้วก็ยังได้ตั้งชื่อเหล่านี้ ก็ทำให้เราได้ธรรมจากสนามกอล์ฟ

    ท่านอาจารย์ แล้วเครื่องหมายของนิกันติสวยมาก เป็นเลข ๖ ไทยซ้อนกัน สาม

    คุณไชยยศ แม้แต่แผ่นพับประชาสัมพันธ์โฆษณา เราจะไม่มีพูดถึงอะไรเลยว่า อาหารเราอร่อย สนามเราดี ใช้หญ้าอะไรๆ ไม่มีพูดถึงเลย แต่จะพูดถึงนิกันติ พูดถึง ๖ ทาง ๖ รู้ ๖ ปรากฎ เป็นภาษาไทยหน้าหนึ่ง ภาษาอังกฤษหน้าหนึ่ง นี่คือความตั้งใจที่อยากจะให้คนเห็นต้นตอของความไม่รู้ว่า ธรรมคืออะไร เช่น รูปธรรม ต้นตอก็คือ เพราะมีมหาภูตรูป ๔

    อ.อรรณพ เป็นชื่อห้อง

    คุณไชยยศ ธาตุ 24 จึงได้เกิดขึ้นได้ ต้นตออย่างเมื่อสักครู่ที่ท่านอาจารย์ได้เรียนพวกเราไป ผัสสะ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปรมัตถธรรม ๔ แล้วเราอยู่ในภพภูมิของมนุษย์ก็คือ ขันธ์ ๕ จิต เจตสิก รูป นั่นก็มาอยู่เป็นห้องอาหารของเรา บางครั้งบางคนเราอธิบายว่า ทุกข์เสมอด้วยขันธ์นี้ไม่มี เขาตกใจว่าคุณมาตั้งชื่อห้องอาหาร ก็มีโอกาสได้สนทนา ถ้าไม่สนทนาเขาบอกเราจะรู้แม้แต่เคยฟังท่านอาจารย์บรรยาย พระโสดาบันเท่านั้นที่จะรู้ใครคือพระโสดาบันเมื่อได้สนทนากัน ถ้าเขายังมีความตั้งใจหรือมีฉันทะที่อยากก็เป็นโอกาส มันจะมีอะไรยิ่งใหญ่กว่าการให้ธรรมแก่กันและกัน ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้ให้มาเกือบยี่สิบปี ผมก็ถือว่านี่คืออาจจะเป็นสิ่งน้อยๆ ที่ได้มีโอกาสพูดคุย เพราะธรรมไม่ได้อยู่ในหนังสือ แต่มันเห็นสภาพจริงๆ แม้แต่เราเองเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ก็ยอมรับว่ายังมีธุรกิจที่ต้องทำ แม้แต่คำว่า นิกันติ ก็ยังเป็นความพอใจติดข้อง เราเอามาใช้ ชื่อสนามนิกันติ เราก็ยังอยากให้คนติดข้อง มาเล่นกอล์ฟเรา ไม่อย่างนั้นก็คงอยู่ลำบาก

    อ.อรรณพ ความตรงของเรา ติดข้องแล้วรู้ว่าติดข้อง แต่เป็นก้าวแรกที่จะไปถึงนิพพานเลย

    คุณไชยยศ ชี้ให้เห็นถึงความมีตัวเรา โลภะ ลึกมาก ตามไปทุกขณะ

    ท่านอาจารย์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนคิดสงสัย เอ๊ะ ชื่อห้องพวกนี้แปลก สนามก็แปลก แต่ถ้าเข้าใจธรรมไม่แปลก เพราะรู้ว่าทุกคำมีความหมาย เมื่อสักครู่นี้เราพูดจริงเรื่อง ๖ ๖ ๖ ใช่ไหม รู้หรือไม่ว่าเคยได้ยินใช่ไหม ธาตุ ๑๘ นี้แหละคือธาตุ ๑๘ ที่จำแนกออกเป็นแต่ละ ๖ ก็เป็นสิ่งซึ่งอาจจะทำให้คนที่เริ่มสนใจได้รู้ว่า คนที่ใช้ชื่อนี้ต้องมีความเห็นประโยชน์ และเข้าใจว่าทำไมเตือนให้คนระลึกถึงคำ ซึ่งเขาจะไม่มีวันที่จะได้ยิน ถ้าเขาไม่ได้สนใจจริงๆ ได้ยินเป็นบางส่วน อย่างถามคนว่า ธาตุ ๑๘ คืออะไร จำจำนวนได้ก่อนธาตุ ๑๘ ลองบอกมาว่าธาตุ ๑๘ คืออะไร พูดได้ แต่ความเข้าใจแค่ไหน ก็เป็นการเตือนให้คนรู้ว่า พระธรรมไม่ใช่สำหรับเพียงอ่าน เพียงฟังเผินๆ หรือพูดตาม แต่ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ ซึ่งลึกซึ้งมาก

    เพราะฉะนั้นใครที่ได้เห็นแต่ละคำก็ไม่ผ่านไป อย่างขันธ์ ๕ ถ้าไม่มีรูปขันธ์ เราจะมานั่งรับประทานอาหารไหม ถ้ามีแต่นามขันธ์ เห็นไหม เพราะฉะนั้นห้องนั้นก็เป็นห้องที่จะต้องอาศัยรูป เพื่อที่จะให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ทุกคำก็แสดงให้เห็นว่าแม้แต่คำว่าขันธ์ ๕ ถ้าเราจะเข้าใจว่า เราพูดถึงธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมทั้งหมดคำเดียว แต่ธรรมหลากหลายมาก เพราะฉะนั้นธรรมที่ไม่รู้อะไรก็มีเป็นรูปธรรม แต่สภาพรู้ก็มี ถ้าไม่มีสภาพรู้อะไรก็ปรากฏไม่ได้ทั้งสิ้น โลกอะไรก็ปรากฏไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจากธรรมหนึ่งเป็นธรรมสอง และจากธรรมสองใช่ไหม ก็เป็นธรรมสามได้ จิต ๑ เจตสิก ๑ รูป ๑ เพราะฉะนั้นทุกคนมีรูป ซึ่งรูปนี้จะขาดอาหารไม่ได้เลยพอเกิดมา แม้แต่อยู่ในครรภ์ก็ต้องมีอาหารรับมาจากมารดา ใช่ไหม เพราะรูปจริงๆ ที่เกิดจากกรรม เกิดจากจิต เกิดจากอุตุ ไม่พอที่จะยังชีวิตให้เป็นไป เพราะฉะนั้นอาหารเป็นส่วนสำคัญมากที่จะทำให้ร่างกาย สุขภาพหรืออะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ ก็สำหรับเป็นรูปที่ทำให้เกิดรูปที่แข็งแรง เรียกว่ารูปที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ นั่นแหละขาดรูปไม่ได้ จึงต้องมานั่งรับประทานอาหารกัน เพื่อที่จะให้ดำรงอยู่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ถ้าเข้าใจธรรม ใช่ไหม ก็เห็นประโยชน์จริงๆ ว่าเตือนทั้งหมด ไปไหน ไปห้องไหน ห้องขันธ์ ๕ หรือจะไปห้องผัสสะ ห้องประชุม ก็ทำให้ชาวพุทธคุ้นหูกับคำของธรรม

    อ.อรรณพ แล้วก็นำไปสู่การที่จะได้เข้าใจธรรมละเอียดขึ้นๆ สำหรับผู้ที่สะสมมา

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เพียงแต่ชื่อ ฟังแล้วตอบได้ว่าธาตุ ๑๘ ใช่ไหม

    อ.อรรณพ เป็นความเฉียบแหลมในการที่จะเปิดช่องทางให้ผู้ที่สะสมมาได้สนใจพระธรรม แม้ในเรื่องของชื่อสนามกอล์ฟ แล้วที่ผมประทับใจในเรื่องของนิกันติก็คือ เป็นความที่ตรงว่า เราก็ยังมีความเกี่ยวข้อง ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้แสดงธรรมให้ใครบังคับไม่ให้ติดข้อง แต่เพื่อความรู้ตามความเป็นจริง แม้ความติดข้องที่ปรากฎอยู่ ก็เป็นธรรมที่ควรแก่การที่จะรู้ตามความเป็นจริง

    ท่านอาจารย์ เพราะถ้าไม่รู้ ละไม่ได้ จะไปละตรงไหน ก็ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหนใช่ไหม เพราะฉะนั้นต้องเห็นว่าสิ่งที่จะละคืออะไร แล้วก็ต้องรู้ความจริงของสิ่งนั้นจึงสามารถละได้

    คุณไชยยศ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง คือเขากับภรรยาไปปฏิบัติธรรม แล้วก็มาเล่นกอล์ฟด้วยกัน เขาก็สงสัยอยู่เรื่อยว่า ทำไมถึงไม่ต้องปฏิบัติธรรม เขาก็ยกตัวอย่างว่าอย่างเขา เขาก็ตีกอล์ฟดีมาก เพราะเขาก่อนจะไปเริ่มตีกอล์ฟก็ต้องไปเรียน ต้องไปปฏิบัติ ต้องมีครูฝึก ต้องยืนอย่างไร สวิงอย่างไร อะไรอย่างไร แล้วธรรมไม่ปฏิบัติหมายถึงอะไร เขาก็มาตีที่นิกันติบ่อย จนตอนหลังผมว่าเขาเริ่มเห็นบางอย่าง เขาไม่กล้าพูดในวงสนทนา คุณบอกคุณไปปฏิบัติกอล์ฟมาใช่ไหม คือไปฝึกมา คุณลองดูว่าคุณตีได้เบอร์ดี้ทุกหลุมไหม ทางโลกอะไรๆ มันก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่คำตอบสุดท้ายมันเป็นสามัญลักษณะที่ไม่มีใครยกเว้น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่แล้ว แล้วเมื่อทุกอย่างเป็นธรรม ธรรมเป็นอนัตตา คุณถึงที่สุดแล้ว คุณเปลี่ยนแปลงไม่ได้หรอก แต่คุณจะรู้ความจริงว่า ที่สุดคืออย่างนี้ คือธรรม คืออนัตตา เพราะทันทีที่คิดว่าต้องไปปฏิบัติ ความเป็นตัวตนเข้ามาแทนที่สภาพธรรม และก็ข้ามไปหมดๆ

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ลึกซึ้งมาก คำตอบแรก ต้องมี ให้ชัดเจนก่อนที่จะพูดเรื่องอื่น คือต้องถามทุกคำว่าคืออะไร และเป็นคำตอบสุดท้ายคือ เปลี่ยนอย่างนั้นไม่ได้ ก็ต้องคือนั่นแหละ จนกว่าจะรู้ความจริง อย่างธรรมเราพูดแล้วใช่ไหม เข้าใจกันแล้วทุกอย่างเป็นธรรมรับรองกันหมดเลย จนกว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวนี้เป็นธรรม แล้วธรรมอะไร ต้องมีคำตอบสำหรับทุกอย่างที่ชัดเจน เพราะเหตุว่าธรรมมีลักษณะเฉพาะของตนๆ ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้ ทำไมเราบอกว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง ก็ลักษณะนั้นปรากฏให้รู้ว่ามี แล้วจะว่าไม่จริงได้อย่างไร อย่างสิ่งที่กำลังปรากฏทางตามีจริงๆ แน่ เพราะลักษณะนั้นสามารถเพียงปรากฏให้เห็น จะจับต้องก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้

    เพราะฉะนั้นจริงๆ ความละเอียดที่จะเข้าใจให้ถูกต้องขึ้น ละเอียดขึ้นก็คือว่า ต้องไม่ลืมตั้งต้นว่าคืออะไรก่อน ก่อนที่ทุกคนพูดธรรมเยอะเลย แต่คืออะไร แล้วจบลงด้วยอะไร จบลงด้วยการว่าเป็นธรรมเท่านั้น ธรรมจะเป็นอื่นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ ยังมีเราเห็น มีคนนั้นคนนี้อยู่ ยังไม่ถึงที่สุดคือเป็นธรรม เพราะฉะนั้นทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ความจริงถึงที่สุด ตั้งแต่คำแรกไม่เปลี่ยน จนกระทั่งถึงคำสุดท้าย เกิดดับขณะนี้ไม่ปรากฎ แต่จากการฟัง ถ้าไม่เกิดก็ไม่มี เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องเกิด แต่ไม่มีใครเห็นการเกิด แต่มีการเกิด

    เพราะฉะนั้นถึงที่สุดก็คือประจักษ์แจ้งการเกิดขึ้นของสิ่งที่กำลังปรากฏ เมื่อนั้นก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่า ไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธรรมแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะแต่ละหนึ่ง ที่เกิดขึ้นและดับไป เพราะฉะนั้นจะไปสำนักปฏิบัติหรือจะไปทำอะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าปัญญาต้องเกิดตามลำดับขั้น คือตั้งแต่ขั้นฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการไตร่ตรอง ด้วยความมั่นคงว่าคืออะไร ต้องตรงตั้งแต่คำแรกจนถึงคำสุดท้าย จึงสามารถที่จะรู้ว่าสิ่งนั้นถูกต้องและเป็นความจริง เพราะถามไปๆ สิ่งนั้นก็ต้องเป็นความจริงอย่างนั้น จะเป็นความจริงอื่นไม่ได้

    อ.อรรณพ ซึ่งการศึกษาหรือการที่จะได้มีโอกาสเข้ามาในทางธรรมของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันไป อย่างของท่านไชยยศ ท่านก็ได้ยินได้ฟังแล้วก็มีความสนใจที่จะศึกษาจากคำที่ท่านไม่รู้จักเลย ก็ค่อยๆ เข้าใจธรรมขึ้น แล้วท่านก็ไม่ได้ไปสำนักปฏิบัติอะไรที่ไหน เรียนอาจารย์จริยา อาจารย์ศึกษาธรรมอย่างไร เคยไปปฏิบัติธรรมมาอย่างไรบ้าง แล้วในที่สุดได้เข้าใจว่าอย่างไร จะได้เป็นประสบการณ์ให้ทุกคนได้ทราบ

    อ.จริยา พูดถึงสำนักปฏิบัติ ก็เคยกราบเรียนท่านอาจารย์หลายครั้งแล้วว่าเมื่อไรที่เราบอกตัวเองว่า เรานับถือพุทธศาสนา เราก็ต้องการที่จะหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเองใช่ไหม เพราะฉะนั้นการที่ไปสู่สำนักปฏิบัติ เมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน เพราะเหตุที่ว่า เราคิดว่าอะไรที่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แล้วในสมัยนั้นคนทั้งหลายก็บอกว่า ไม่มีอะไรที่จะดีเท่ากับการปฏิบัติธรรม ตอนนั้นยังไม่รู้จักว่าเขาจะมีสำนักปฏิบัติหรืออะไร รู้แต่ว่าต้องไปปฏิบัติธรรม แล้วพอดีก็

    ท่านอาจารย์ คิดเองหรือเปล่า หรือได้รับฟังมา

    อ.จริยา ก็ได้รับฟังมา ตอนนั้นก็แสวงหาทีเดียว ดิฉันก็เป็นคนที่เมื่อไรที่อยากที่จะรู้อะไร หรืออยากที่จะได้อะไร ก็ติดข้อง แสวงหา ก็เพียรพยายามที่จะไปปฏิบัติธรรม ก็ไม่ทราบหรอกว่าไปที่ไหน อย่างไร ก็มีคนที่ทำงานอยู่ด้วยก็บอกว่า ต้องไปที่ตรงโน้นสิ่ ตรงนี้สิ่ แต่ยากจังเลยกว่าจะสมัครได้ ไปครั้งแรกก็เป็นเรื่องที่ไปโดยหลักสูตรที่เสียสตางค์ เพราะเขาบอกว่าเป็นหลักสูตรที่เหมาะสำหรับผู้บริหาร ดิฉันก็ไป บางทีมันน่าหัวเราะถ้ามานึกถึงตอนนี้ ทำไมเราถึงต้องไปเชื่อเขา ในการที่ต้องให้เราเดินอย่างนู้น นั่งอย่างนี้ จะทานก็ต้องทำอย่างนั้น แต่ตอนนั้นไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย ว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดเราก็ต้องทำ ทำให้ได้ก็ไป ไปแล้วก็พบว่ามันทรมาน เพราะว่าดิฉันเป็นคนไม่ชอบไปที่ไหน ไม่ชอบไปไหน ก็อยู่แต่บ้านกับโรงเรียนประจำ แล้วก็ทำงาน แต่พอไปแล้ว ได้รับความรู้สึกที่ถ้าจะใช้ตอนนี้ก็ทำไมเราบ้าขนาดนั้น มันทรมาน เพราะเราจะต้องไปนอนในที่ที่รวมกับคนอื่น แม้จะมีเตียงแยกกัน แต่ก็ต้องนอนรวมคนอื่น

    แต่ในการไปครั้งแรก พบสิ่งหนึ่งที่อากาศร้อนมาก แล้วก็ลองนึกถึงภาพการนอนที่เป็นเตียงสองชั้น เราก็ไม่เคยนอนในที่ลักษณะนั้น เสียงคนที่กรนดังสนั่น แล้วดิฉันเป็นคนที่ตั้งแต่เล็กเป็นคนที่หลับยากที่สุด และเพิ่งมาทราบเมื่อไม่กี่ปีนี้เองว่า หูของดิฉันรับเสียงไวกว่าคนปกติ จึงนอนไม่ค่อยหลับ แต่ฝนตก ฝนตกมาต้องกับสังกะสี ซึ่งดังมากเลย ตอนนั้นพิจารณาเองว่า ฝนตกเรายังห้ามฝนไม่ได้เลย แล้วทำไมเราจะไปห้ามคนที่กรน ก็หลับไปเลย อันนั้นก็ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเราพิจารณาเองหรือว่าง่วงมากจนหลับไป

    พูดถึงการที่ไปอย่างนั้นแล้วที่อาจารย์อรรณพถาม ไปแล้วไปเล่า เพราะว่าปีหนึ่งจะต้องไปสักครั้งหรือสองครั้ง โดยเฉพาะตอนหลังราชการก็ให้ลาได้ ก็ไป

    อ.อรรณพ ลาไปปฏิบัติธรรม

    อ.จริยา ใช่ แล้วก็ความเห็นผิดมากถึงขนาดที่ต้องพาคนที่เรารักทั้งหมดไป พาคนในครอบครัว ทั้งสามีและลูก ซึ่งก็ไม่ได้อยากไปเลย แต่อะไรที่เราทำคิดว่าดีที่สุด เขาก็ไป ก็ตาม พาไปหมด เด็กในบ้านหรือพี่ๆ น้องๆ เพื่อนฝูง ไปส่งเสริมให้เขาเห็นผิดอย่างมากมาย จนคนที่พาเขาไปสมัยก่อนโน้น เดี๋ยวนี้เขาก็ยังไปอยู่ เพราะเขาบอกว่า ก็ดิฉันบอกว่าตอนนั้นมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด บัดนี้ได้บอกเขาว่าไม่ใช่แล้ว มันเป็นสิ่งที่ผิด เขาก็ยังไม่เชื่อ โดยเฉพาะลูกก็บอกว่าตอนนั้นก็บอกว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดี แล้วทำไมถึงเปลี่ยนเสีย ว่ามาฟังธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์แล้วเป็นสิ่งที่ดี ก็พยายามอธิบายให้ฟังถึงเรื่องความจริง แต่ก็ได้เห็นการสะสม ตราบใดที่การสะสมของแต่ละคนที่สะสมมาจะเป็นอย่างไร จะพูดอย่างไร ก็ไม่ฟัง ก็ต้องปล่อยเขาไปตามการสะสมของเขา

    ที่อาจารย์อรรณพถามว่า แล้วดิฉันศึกษาอย่างไร หลังจากที่ได้พบ ได้กราบเท้าท่านอาจารย์แล้ว หลังน้ำท่วม หลังจากนั้นเมื่อทราบว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์นำคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาถ่ายทอด ไม่ใช่คำของท่านอาจารย์เอง เป็นคำที่ดิฉันใหม่ๆ ก็เทียบเคียง ว่าตรงตามพระไตรปิฎกไหม เพราะดิฉันเป็นคนที่ชอบเปรียบเทียบดูสิว่า ใช่ไหม

    อ.อรรณพ สอบทาน

    อ.จริยา สอบทาน ก็ตรงทุกคำเลย แม้ท่านอาจารย์จะพูดมาตั้งแต่วัดบวรฯ กับพูดใหม่ๆ ก็คำเดียวกัน อันนี้สามีดิฉันบอก ดูสิท่านอาจารย์พูดคำเดียวกันเลยนะตั้งแต่สมัยก่อนกับจนบัดนี้ ดิฉันฟังไปๆ ใหม่ๆ ที่พบท่านอาจารย์แล้วได้ตัดสินใจว่า สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของดิฉัน ก็ตั้งใจที่จะศึกษา ก็อย่างที่บอกดิฉันเป็นคนที่มีความติดข้องมาก แม้กระทั่งเรื่องธรรมที่ฟังท่านอาจารย์ พอติดข้องแล้ว ดิฉันก็ตั้งหน้าตั้งตาฟัง เหมือนกับที่ฟังเลคเชอร์ สมัยนั้นก็ฟังยากเย็น เพราะเหตุที่ว่าคลื่นจะรับยาก เพราะอยู่แถวนี้รับยากมาก แต่ก็ฟัง แล้วตอนนั้นเครื่องมือทั้งหลายของมูลนิธิก็ยังไม่มากพอที่จะแสวงหามาฟัง ก็ฟังไป พิจารณาทบทวน เมื่อดิฉันฟังไปประมาณ ๒-๓ เดือน ดิฉันก็บอกกับสามีว่า ทุกอย่างที่เราเคยทำมา เป็นต้นว่า ก็มีบางท่านก็มาสอนปฏิบัติธรรมที่นี่ทุกเดือน ดิฉันจะเลิกหมด ไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นอีกแล้ว

    ลูกและเพื่อนๆ ก็ถามว่า ทราบได้อย่างไรว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์สุจินต์นำมาถ่ายทอด เชื่อหรือ ดิฉันบอกว่าท่านอาจารย์ไม่เคยบอกดิฉันเลยว่า จงเชื่อสิ่งที่ท่านอาจารย์นำมาถ่ายทอด ท่านอาจารย์พูดเสมอและเป็นคำที่ไพเราะที่ดิฉันชอบมาก เป็นผู้อ่านสารของพระราชา ตอนนั้นดิฉันก็ไม่เข้าใจ ก็สงสัย แต่ฟังไปก็ทราบว่า ท่านอาจารย์นำคำจากพระไตรปิฎก คำที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้มาถ่ายทอด เมื่อเราฟัง พิจารณาไตร่ตรองก็ทราบว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นความจริง แล้วใยจะต้องกลับไปหาสิ่งที่เคย ใช้คำว่าหลงผิด เมื่อดิฉันเข้าใจสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดแล้ว ดิฉันก็ปรารถนาที่จะให้คนที่อยู่รอบข้างได้สนใจ ใส่ใจฟังด้วย ก็กราบเท้าท่านอาจารย์มาสนทนาธรรมที่นี่ หรือว่าฟังธรรมกับเพื่อนๆ

    แต่ก็จะเห็นได้ชัดว่า ธรรมของพระพุทธองค์แสนยาก จากเพื่อนดิฉันซึ่งเคยมาฟังด้วยจำนวนหนึ่ง ก็ค่อยๆ เลิกราไป เพราะเขาบอกว่ายากอย่างนี้เมื่อไรที่จะเข้าใจ ดิฉันก็บอกว่าถ้าธรรมของพระพุทธเจ้าไม่ยาก ทุกๆ คนก็คงเข้าใจ แล้วก็เป็นพระอริยบุคคลกันไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นยากอย่างไร ถ้าตั้งใจ ใส่ใจที่จะฟัง ดิฉันคิดว่าเราพอที่จะทำความเข้าใจได้ โดยเฉพาะท่านอาจารย์กล่าวเสมอว่า ฟังทีละคำ ให้เข้าใจในสิ่งที่กำลังฟัง คำนี้เป็นคำที่ฟังแล้วประทับใจ แล้วรู้สึกว่าต้องกับอัธยาศัย เพราะเมื่อเราเข้าใจทีละคำ เราหยุดที่จะเสาะแสวงหา หยุดที่จะตะเกียกตะกายต่อไป ซึ่งทำให้เราเหนื่อยมาก ในการที่เราจะต้องตะเกียกตะกายไปหา แม้กระทั่งความรู้ทางธรรม ก็ไม่ผิดกับความรู้ทางโลก ถ้าเราตะเกียกตะกายมาก เมื่อฟังทีละคำๆ จนค่อยๆ เข้าใจทีละคำ แล้วก็ไตร่ตรองพิจารณา เราเบาสบายอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว

    เพราะฉะนั้นชีวิตดิฉันเมื่อพบสิ่งที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอด คือพบพระธรรมแล้ว ดิฉันก็คิดว่าเป็นชีวิตที่เบาสบาย แล้วไม่ต้องไปไหนอีกแล้ว เหมาะกับนิสัยของดิฉัน ซึ่งไม่อยากจะไปไหน เดินทางท่องเที่ยวอะไรก็รู้สึกว่า ชีวิตที่รับราชการก็พบทุกสิ่งทุกอย่างมาหมดแล้ว แล้วยิ่งสมัยนี้อยากดูอะไรก็เข้าไปในอินเตอร์เน็ต ก็ได้ไปเที่ยวรอบโลกแล้ว ใยจะต้องไป แล้วก็เสียดายเวลาที่เหลือน้อยนิด ก็กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง

    ท่านอาจารย์ ก็เห็นได้เลยว่า ถ้าใครยังไม่ได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีทางที่จะเข้าใจถูก จะไปปฏิบัติก็ต้องสมัคร การฟังธรรมต้องสมัครไหม ไม่ต้องเลยใช่ไหม เพราะฉะนั้นทั้งหมดได้แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ใช่หนทางและก็ไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เพราะยังไม่ได้ฟัง จึงไม่มีการที่เราจะสามารถไตร่ตรองด้วยตัวเองได้ เพราะเขาว่าต้องปฏิบัติ จะศึกษาไปแล้วไม่ปฏิบัติ แล้วจะรู้อะไร จะละกิเลสหรืออะไร นั่นไม่ใช่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริง จากไม่รู้เลย ไม่เข้าใจสักคำ แล้วก็จะเผินไม่เข้าใจต่อไปอีก แล้วไปนั่งปฏิบัติ แล้วก็ไปสมัครพฤติกรรมทั้งหมด ก็ไม่ใช่ชีวิตซึ่งเป็นธรรม ซึ่งพร้อมที่เมื่อปัญญามีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ก็จะเกิดขึ้นรู้เมื่อไรก็ได้ แต่จะเห็นการสะสม คุณจริยาสามารถที่แม้ฝนตก หรือว่าเสียงกรน ก็ยังเกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่า บังคับบัญชาไม่ได้


    หมายเลข 10912
    4 ต.ค. 2568