015 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๑๕


    คุณไชยยศ ผมเป็นคนตื่นเช้า ก็ฟังวิทยุเช้าๆ วันหนึ่งก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์

    อ.อรรณพ ไม่ได้มีใครแนะนำ

    คุณไชยยศ ไม่มี ไม่มีเลย ไม่มี ฟังไม่รู้เรื่องเลย อาจารย์ก็ไปตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต ไปสัมปฏิฉันนะไป ฟังไม่เข้าใจเลย

    อ.อรรณพ เผอิญไปฟังตอนนั้นพอดี

    อ.ไชยยศ แต่สุ่มเสียงน่าฟังมาก ก็ตามมาเรื่อยๆ ตามมา จนทุกวันนี้ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ได้ฟัง อยู่ที่ว่าฟังกี่รายการ ก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์อย่างมหาศาล ชีวิตผมได้มาสนใจธรรม ต้องยอมรับว่าจากท่านอาจารย์สุจินต์จริงๆ แล้วก็จากการฟังอย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้เห็นความจริง ส่วนที่โชคไม่ดีก็มีเยอะที่เห็นความเป็นจริงจากร่างกายของเราที่มันเป็นทุกข์มาตลอด ผมเป็นมาอย่างไม่น่าเชื่อ โรคที่ร้ายๆ แรงๆ ที่หมอหลายคนบอกเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุและรักษาไม่ได้ ก็ผ่านพ้นมาได้หมด ต้องทำหัวใจ ทำบอลลูน ขณะกำลังทำไฟดับทั้งโรงพยาบาล ก็ต้องย้ายไปอีกที่หนึ่ง คือเหตุการณ์นี้แต่ก็เพราะนี่เป็นวิบากที่ไม่มีใครทำกับเราหรอก ตัวเราทำมาจึงต้องมาพบ ก็อยู่กับตรงนี้ยอมรับว่า ไม่มีเราจะไปทำอะไรได้จริง ถ้าทำได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็คงไม่เป็นปัญหา เราก็คงสั่งร่างกายอย่าอาพาธ อย่าตาเจ็บนะ แม้แต่ผมอย่าร่วง ก็สั่งได้หมด แต่ก็สั่งไม่ได้เลย ก็ค่อยๆ เข้าใจไป นี่เป็นสิ่งที่ต้องเกิดกับเรา

    คนไทยเรามักจะพูดว่า เวลามีเรื่องไม่ดี ทำไมต้องเป็นเรา แต่เวลาทานอาหารอร่อยๆ หรือถูกลอตเตอรี่ ไม่เคยพูดเลยว่าทำไมต้องเป็นเราที่ถูกลอตเตอรี่ เพราะชอบ คือค่อยๆ เข้าใจๆ ไป ก็เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล ที่ดีใจ คือผมก็ไม่ได้เเคี่ยวเข็ญครอบครัว ภรรยาและลูกๆ ให้ต้องมาสนใจ แต่ด้วยเหตุปัจจัย ผมเปิดวิทยุที่บ้าน ภรรยาก็ฟังไป ฟังมากกว่าผมอีก นั่งมาในรถกับลูกชายบางทีไปทำงานด้วยกัน ผมก็จะมีซีดีของท่านอาจารย์ พังไปๆ เขาก็เก็บเกี่ยวทีละเล็กทีละน้อยจริงๆ ความเข้าใจต้องค่อยๆ สะสม ทางธรรมคำตอบเดียวก็คือ ปัญญาเท่านั้นที่จะรู้ความจริงจนถึงที่สุดได้ ก็ต้องขอบคุณท่านอาจารย์จริงๆ ที่ไม่เคยท้อถอย ไม่เคยอะไร จะพร่ำสอนก็เกลาให้ศึกษาธรรม ให้เข้าใจธรรม อันนี้ผมคิดว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่าที่สุด อะไรๆ เราเอาไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เราเข้าใจ ธรรมก็จะติดตามเขาไป

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ เพราะเปิดวิทยุ แล้วทำไมได้ยิน เฉพาะเลย แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากที่สุด เพราะว่าเป็นชื่อของภาษาบาลี แต่พอเข้าใจแล้วเห็นไหมประโยชน์ก็คือไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คุณไชยยศรู้เลย นี่เป็นเพราะไม่ใช่ ทำไมเกิดกับเราหรือทำไมต้องเป็นเรา แต่รู้ว่าต้อง เพราะต้องเป็นเรา เพราะเหตุที่ได้กระทำแล้วทำให้เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นสามารถที่จะเข้าใจธรรมได้ทุกขณะ แล้วแต่เหตุ ว่าเราศึกษาแล้วเราจะเกิดความเข้าใจธรรมตอนไหน เรื่องไหนก็บังคับบัญชาไม่ได้ด้วย

    อ.อรรณพ ตอนที่ท่านหมุนเจอ แล้วท่านอาจารย์กำลังบรรยาย โอ้โห มโนทวาราวัชชนะอะไรแบบนี้ แล้วก็เป็นภาษาบาลีที่เราไม่รู้เรื่อง ทำไมท่านถึงสนใจ ทำไมไม่หมุนหนีไป

    คุณไชยยศ ยอมรับว่าสุ่มเสียงทำนองน่าฟัง แล้วก็พูดถึงพุทธศาสนา มันไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเจอมา เคยเจอแต่อะไรต่อมิอะไรที่ไม่ใช่อย่างที่ท่านอาจารย์พร่ำสอนพวกเรา หรือบรรยายธรรมทุกขณะอย่างนี้

    อ.อรรณพ การได้ฟังพระธรรมจะเป็นประโยชน์จริงๆ ในแต่ละขณะที่ได้เข้าใจไป ไม่ทราบท่านไชยยศมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม แล้วท่านปฏิบัติธรรมหรือเปล่า

    คุณไชยยศ ไม่เคยเลย ปฏิบัติธรรมไม่เคยเลย

    อ.อรรณพ และอีกประเด็นหนึ่ง ท่านเห็นประโยชน์อะไร ท่านถึงได้จัดกิจกรรมการสนทนาธรรม เมื่อเร็วๆ นี้ก็ที่สนามกอล์ฟนิกันติ ท่านก็ให้เจ้าหน้าที่ บุคคลากรมาได้ยินได้ฟังธรรม ท่านเห็นประโยชน์อะไรจริงๆ

    คุณไชยยศ ที่ผ่านมาเราก็เห็นว่าประเพณีที่สังคมเราส่วนใหญ่ยึดกันมาก็คือ ถึงวันนั้นทำบุญ อะไรต่อมิอะไร วันเกิด วันอะไรต่อมิอะไรก็ทำบุญเลี้ยงพระ พระก็มาสวดกันไป เราก็ไม่รู้ว่าหมายความถึงอะไร แม้แต่ที่หน่วยงานผมเขาก็ทำกันเป็นอย่างนี้ ผมก็เลยบอกกับคุณหญิงกับลูกชายที่ดูแลอยู่ที่สนามกอล์ฟ เขาก็จะทำพิธีประจำปีตอนต้นปี ผมบอกว่าอย่าทำเลย เดี๋ยวจะเอาสิ่งที่เป็นมงคลมากกว่ามา เพราะประเพณีของเรา ผมเชื่อว่าทุกประเทศไม่มีประเทศไหนที่จะมีพระมากกว่าประเทศเรา มีวัดเท่าประเทศเรา และมีประเพณีเยอะมากเท่ากับบ้านเรา แต่ประเพณีอย่างหนึ่งที่ ผมไม่แน่ใจว่าจะมีใครทำหรือเปล่าก็คือ จัดให้มีการฟังธรรม นั่นคือที่มาที่ได้ไปกราบเรียนท่านอาจารย์ เพื่อให้บรรยายธรรม และให้เจ้าหน้าที่เรามีโอกาสสนทนาธรรม อย่างอื่นมันจบแล้วก็จบ ก็ไม่รู้ว่าได้อะไร แต่การฟังธรรม ผมคิดว่าวันนั้นอย่างน้อยๆ ต้องมีจำนวนหนึ่งที่ได้อะไรไปแล้ว แม้แต่เด็กที่ทำงานอยู่ที่ สนาม แล้วอายุไม่เท่าไร ลุกขึ้นมาถามคำถาม เรื่องทำบุญสวดมนต์อะไร แล้วก็น่ารักมาก นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่า เป็นสิ่งเป็นมงคล เป็นสิ่งซึ่งประเทศเราขาดอย่างมาก ก็คือประเพณีในการฟังธรรม

    ย้อนไปสมัยพุทธกาลก็คือ ฟังธรรมอย่างเดียว เอาอะไรต่อมิอะไรไป เพื่อที่จะไปฟังธรรม แล้วประเพณีอื่นๆ ไม่มีเลย เทวดา พรหม ยังต้องมาฟัง และพวกเราจะพลาดโอกาสตรงนี้กันไป มันเสียโอกาสอย่างมาก นั่นคือที่มาของความตั้งใจผม ที่จะให้คนได้ฟัง

    พูดถึงแม้แต่สนามกอล์ฟที่ไป มันเป็นความบังเอิญ คนออกแบบสนามเป็น ๖ ๖ ๖ ตอนนั้นเพิ่งเริ่มฟังธรรมใหม่ๆ ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เลย พอไปสักพักหนึ่งมันเข้าล็อคเลย ๖ ๖ ๖ เราจะให้ที่แห่งนี้เป็นที่ที่มานอกเหนือจากมาเล่นกอล์ฟแล้ว ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นความจริงของธรรมว่า อะไรคือธรรม ก็เป็น ๖ ๖ ๖ แล้วเราก็ไปจดสิทธิบัตรเอาไว้ ใช้ชื่อสนามกอล์ว่า นิกันติ ต้องกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ ผมมาขอความรู้ว่าหมายถึงอะไๆ จนมั่นใจว่าได้ ซึ่งท่านอาจารย์ก็ได้เมตตาเรา และแทบทุกประเด็นก็ว่าได้ ก็เป็น ๖ ทาง ๖ รู้ ๖ ปรากฏ แล้วก็สัญลักษณ์เป็นเลข ๖ ไทยซ้อนกัน ๓ ตัว แล้วห้องก็จะเป็นห้องมหาภูตรูป ๔ ห้องอาหารเป็นห้องขันธ์ ๕ ห้องประชุมก็เป็นห้องผัสสะ คือแน่นอนคนต้องถาม

    อ.อรรณพ แล้วก็เป็นโอกาสที่จะได้สนทนา

    คุณไชยยศ ใช่ มีหลายคนก็ประทับใจ แล้วก็สนใจก็มี ผมว่านี่ก็อาจจะเป็น หนทางหนึ่งในการที่จะช่วยกัน

    อ.อรรณพ เผยแพร่

    คุณไชยยศ ให้ศาสนาเราแพร่หลายในทางที่ควรจะเป็น ว่ารู้ความจริงเถอะ ความจริงก็คือต้องจริงเสมอ ไม่ว่าจะอดีต ไม่ว่าจะอนาคตหรือปัจจุบัน ความจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วถ้าเรามีโอกาสรู้ว่า สิ่งที่ไม่สามารถมีใครจะมาเปลี่ยนแปลงได้เลย แล้วทีมของพวกเราได้มีโอกาสเข้าใกล้สิ่งนี้นั้นคุณค่าอย่างไม่มีอะไรที่จะมาประเมินหรือประมาณได้เลย แล้วก็เป็นมงคลกับชีวิตผม ผมคิดอย่างนั้น

    อ.อรรณพ เพราะมงคลคือการฟังธรรม การสนทนาธรรม

    ท่านอาจารย์ แล้วที่จริงถ้ามีความเข้าใจชื่อ ซึ่งสอดคล้องกับความจริง อย่างห้องประชุมก็คือผัสสะ กระทบกัน ประชุมกัน ถ้าไม่มีอะไรมาประชุมรวมกัน แม้เห็นเดี๋ยวนี้ก็เกิดไม่ได้ เช่นต้องมีสิ่งที่กระทบตาได้ ขณะนั้นถ้าไม่กระทบ เห็นก็เกิดไม่ได้ เห็นไหม ต้องมาประชุมกัน แล้วก็ต้องมีจักขุปสาทะ รูปที่กลางตา เป็นรูปที่มองไม่เห็นเลย แต่รูปนี้เท่านั้นที่สามารถจะกระทบกับสิ่งที่ปรากฏไม่ว่าวันไหน เดือนไหน ปีไหน ถ้าขาดธาตุหรือรูปนี้ไป ไม่มาประชุมด้วย ขณะนั้นเห็นก็เกิดขึ้นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น ผัสสะคือที่รวมของธรรม ซึ่งจะทำให้มีการรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด ก็ได้ความเข้าใจ ถ้าเขาสามารถที่จะรู้ว่า ทำไมเป็นผัสสะ และผัสสะคืออะไร ผัสสะไม่ใช่ของแข็ง สีต่างๆ มารวมกัน แต่ต้องธาตุรู้เกิดเมื่อไร ก็เป็นเพราะผัสสะกระทบขณะนั้น จึงทำให้รู้สิ่งนั้น ก็เป็นที่ประชุม ก็ใช้ได้สำหรับห้องประชุม

    อ.อรรณพ เมื่อมาประชุมกันก็คือเพราะมีผัสสะ จึงจะมีการประชุมของจิต และการประชุมของจิต เจตสิก ของแต่ละคนๆ พอรวมๆ กัน เราก็สมมุติว่าเป็นการประชุมกันของคณะโน้นคณะนี้ ดีมากๆ เลย

    ท่านอาจารย์ แต่ถ้าไม่มีผัสสะก็ประชุมไม่ได้

    อ.อรรณพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพใด การงานอย่างไร เมื่อได้เข้าใจธรรม ท่านก็มีการตรึกในทางกุศลที่หลากหลายกันออกไป อย่างกรณีของท่านไชยยศ ผมก็จำได้ตอนที่จะมา ตอนที่มีเรื่องมาปรึกษาที่มูลนิธิกับท่านอาจารย์เรื่องชื่อ ผมก็คิดได้ละเอียดดี ยังไม่ได้แปลใช่หรือไม่อาจารย์คำปั่น ว่า นิกันติ คืออะไร

    อ.คำปั่น ความหมายของ นิกันติ ก็คือความติดข้อง พอใจ ซึ่งก็เป็นธรรมที่มีจริง เพราะตราบใดก็ตามที่ยังไม่สามารถที่จะดับความติดข้องยินดีพอใจได้ ความยินดีติดข้องพอใจก็ยังเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แม้ผู้ที่มีปัญญาในระดับสูง ตราบใดก็ตามที่ยังไม่พ้นจากความติดข้อง ก็ยังมีความติดข้องเกิดขึ้นได้ ทำให้ถูกลวงด้วยโลภะได้

    อ.อรรณพ ก็เป็นข้อเตือนใจ แม้ชื่อของสนามกอล์ฟ แล้วก็ยังมีสิ่งที่จะสะกิดใจผู้ที่สะสมมา ไม่ว่าจะชื่อห้อง หรือว่า ๖ ๖ ๖ ถ้าคนที่เขาไม่ได้เข้าใจก็สงสัยว่าอะไร แต่พอเมื่อท่านอธิบายให้ฟัง ก็เห็นว่าเป็นโอกาสให้คนสนใจได้

    ท่านอาจารย์ ๖ แรกคุณจักรกฤษณ์ ๖ แรก ได้แก่อะไร มี ๖ สามตัว ใช่หรือไม่

    อ.จักรกฤษณ์ ๖ แรก อาจจะเข้าใจง่ายๆ ก็จะมี ๖ ทาง มีทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายและทางใจ เป็น ๖ แรกที่มีอยู่

    ท่านอาจารย์ ใครขาดบ้าง เห็นหรือไม่ ไม่ว่าที่ไหน เกินก็ไม่ได้ ต้องเพียง ๖ เพราะฉะนั้นก็ตา ๑ กำลังเล่นกอล์ฟนี้ก็ต้องเห็น แล้วก็ได้ยินเสียงด้วยทางหู ทางจมูกอาจมีกลิ่นอะไรก็ได้ แม้แต่ขณะนี้ บังคับบัญชาไม่ได้สักอย่าง ถ้ากลิ่นจะปรากฏที่นี่ หรือที่สนามกอล์ฟ หรือที่หนึ่งที่ใดก็ตาม ก็เป็นทางหนึ่งที่จะปรากฏว่า โลกมีสิ่งนี้ด้วย ไม่ใช่มีแต่เฉพาะเห็น ไม่ใช่มีแต่เฉพาะได้ยิน แต่ยังมีกลิ่น ที่ทำให้ติดข้องพอใจ หรือว่าไม่พอใจก็แล้วแต่ลักษณะของกลิ่นนั้น และสิ่งที่ทุกคนขาดไม่ได้เลยก็คือรส ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ติดในรสอย่างมาก

    เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า รับประทานอาหารเพื่ออะไร เพื่ออิ่มเท่านั้นหรือ หรือว่าเพื่อรสด้วย เพราะฉะนั้นก็เป็นทางที่สัตว์โลกติดมาก แม้แต่ทางที่จะทำให้เกิดกิเลส ก็ขาดทางนี้ไม่ได้เลย ถ้าจะบัญญัติความสำคัญเพิ่มอีกก็คือ เรื่องของรสนี่แหละ แล้วก็ทางกายกระทบสัมผัสอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวร้อน เดี๋ยวฝนตก เดี๋ยวหนาวไป เป็นต้น และทั้งหมดก็รวมกันที่ใจ ที่รู้สิ่งต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะทางตา ก็จิตนั่นแหละเป็นสภาพที่กำลังเห็น เพราะว่าตาไม่เห็น จักขุปสาทะเป็นรูป ไม่ใช่ธาตุรู้ เพราะฉะนั้นเป็นที่กระทบของสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นเท่านั้น

    เพราะฉะนั้นรูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย แต่ธาตุรู้ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน ก็เป็นจิต ซึ่งต้องอาศัย ๖ ทาง เห็นแล้วจำแล้วคิด ได้ยินนั้นก็จำแล้วก็คิด เพราะฉะนั้นพอเห็นแล้วที่จะไม่คิดไม่มี ใจเป็นที่รวมของทุกอย่าง เพราะฉะนั้นก็ต้องเกิดต่อจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แม้ไม่มีสิ่งต่างๆ กระทบตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่ได้เห็นแล้ว สะสมมาแล้ว ก็เป็นปัจจัยให้จิตคิดนึก เพราะฉะนั้นแต่ละคนหลากหลายหาประมาณไม่ได้เลย เพราะจิตเกิดขึ้นเพียงหนึ่งขณะดับไป แล้วไม่กลับมาอีกเลย แม้แต่จิตที่รู้คิด ทางใจ คิดแล้วก็ดับไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก ทำไมพูดถึงคำที่ดูธรรมดา แต่รู้ไหมว่า คำนี้เป็นปัญญาระดับไหน ที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งความจริงเดี๋ยวนี้ว่า สิ่งนี้เกิดแล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีก

    กว่าเราจะละความติดข้อง แม้นิกันติก็ตามไปได้ ถึงปัญญาที่ยังไม่ได้ดับกิเลส เยื่อใยของความผูกพันมหาศาล ใช้คำว่า เยื่อใย มีตั้งแต่อย่างหยาบ จนกระทั่งถึงเยื่อใยซึ่งยากมากกว่าจะดับได้ ต้องด้วยปัญญาจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่เตือนให้เราได้เข้าใจว่า ธรรมมีทุกหนทุกแห่งและทุกขณะ

    อ.อรรณพ นี้ ๖ แรก ๖ แรกก็คือทางที่จะทำให้จิตเกิดขึ้นรู้แล้วก็เป็นไป ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้ว ๖ ที่สอง

    คุณไชยยศ ๖ ปรากฎ เสียง สี กลิ่น รส

    ท่านอาจารย์ อารมณ์ ๖ เพราะว่าจิตเป็นธาตุรู้ คำทุกคำต้องสอดคล้องกัน ถ้ามีธาตุรู้ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ จะกล่าวลอยๆ ว่าธาตุรู้ แล้วไม่บอกว่ารู้อะไร ก็ไม่ถูกต้อง ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จิตรู้ไม่ว่าขณะนั้นเป็นอะไร ภาษาบาลีใช้คำว่า อารัมมณะ แต่คนไทยนิยมใช้คำว่า อารมณ์ ก็ตัดให้สั้น แล้วก็ใช้แค่คำเดียว เพราะฉะนั้นจิตเป็นธาตุรู้ เป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้เพียงเท่านั้น หน้าที่อื่น ชอบ ชัง พวกนี้ ฉลาด ดี ชั่ว ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก เป็นนามธาตุอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเกิดกับจิต ที่ใดมีจิตต้องมีเจตสิกปรุงแต่งให้จิตนั้นเกิด เพราะธรรมต้องอาศัยกันและกันเกิดขึ้น เกิดขึ้นตามลำพังไม่ได้

    ด้วยเหตุนี้ เจตสิกไม่ใช่จิต จะทำหน้าที่รู้แจ้ง อย่างกำลังเห็นหรือว่าเสียงที่กำลังปรากฏอย่างจิตไม่ได้ แต่จะจำบ้าง ชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ก็เป็นเจตสิกแต่ละประเภท เพราะฉะนั้น อารมณ์คือสิ่งที่จิตและเจตสิกเกิดขึ้นรู้พร้อมกัน แต่หลากหลายตามกิจการงาน ลักษณะของสภาพธรรมนั้นๆ ธรรมเป็นเรื่องที่ฟังครั้งเดียวไม่ได้ แม้ว่ากำลังมีสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็ต้องค่อยๆ เข้าใจ จนกระทั่งไม่ใช่เรา จนกระทั่งไม่ใช่เรา วันหนึ่งก็จะเป็นพระอริยสาวก ซึ่งเกิดจากการฟังอย่างนี้เอง ฟังจากยากไป ยากบ้าง แต่น่าฟัง เพราะเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เข้าใจได้ ค่อยๆ ติดตามไป ฟังไป เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย หนทางนี้เท่านั้นที่เป็นหนทางละความต้องการ ที่อยากจะไปเป็นพระอริยบุคคล อยากจะดับกิเลส อยากจะเป็นพระโสดาบัน โดยไม่รู้อะไรเลยแต่ก็อยาก เพราะฉะนั้นธรรมทั้งหมดก็ต้องสอดคล้องกัน เมื่อมีจิตเป็นสภาพรู้ ก็ต้องมีอารมณ์ ๖ เพราะฉะนั้นอารมณ์ไม่ใช่ทวาร ทวารคือตา

    อ.อรรณพ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

    ท่านอาจารย์ ส่วนอารมณ์ ๖ คือสิ่งที่กระทบตา

    อ.อรรณพ สี เสียง กลิ่น รส

    ท่านอาจารย์ และจิตเห็นเกิดขึ้นเมื่อไร สิ่งนั้นจึงเป็นอารมณ์ที่ปรากฏให้จิตรู้ว่า เดี๋ยวนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตา พอเสียงปรากฏก็นี่ไง ก็เป็นสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่อาศัยตา อาศัยหู แล้วจิตก็เกิดขึ้นกำลังได้ยิน เพราะฉะนั้นจิตไม่ใช่เสียง แต่จิตเป็นธาตุรู้ต้องมีอารมณ์ เมื่อมีทวาร ๖ ก็ต้องมีอารมณ์

    อ.อรรณพ สรุปว่า ๖ ๖ ๖ นี่ก็คือ ๖ แรกก็คือ ทางที่จะทำให้เกิดการรู้อารมณ์ ก็คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วสิ่งที่ปรากฏทั้ง ๖ ทางนี้ก็คือ สี เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและสิ่งต่างๆ ที่ธรรมต่างๆ ที่ปรากฏทางใจ แล้วกับอีก ๖

    ท่านอาจารย์ อีก ๖ ไม่ใช่แต่ตากับรูป ต้องเป็นธาตุรู้ที่เกิดขึ้นเห็น ไม่มีไม่ได้ เดี๋ยวนี้กำลังมี เพราะฉะนั้นเมื่อมีตา รูปพิเศษที่กำลังกระทบกับสิ่งที่ปรากฏก็เป็นทวาร ๖ กับอารมณ์ ๖ ก็ต้องมีจิต จักขุวิญญาณ ๑ เวลานี้จิตเห็นที่กำลังอาศัยตา ชัดเจนถ้าเราพูดภาษาไทย แต่ถ้าพูดภาษาบาลีคนก็ไม่รู้ ใช่ไหม วิญญาณ คืออะไร ก็คิดว่าเป็นภูติผี หรืออะไรอย่างนั้น แต่ธาตุรู้จะใช้คำอะไรก็ได้หลากหลาย ถ้าใช้คำว่า วิญญาณ ใช้คำว่ามโน มนัส หทย บัณฑระ ก็คือแต่ละคำ เพื่อที่จะให้เข้าใจจิตนั้นถูกต้องเพิ่มขึ้นว่าธาตุรู้เป็นอย่างนี้ เพราะแค่คำว่าธาตุรู้เดี๋ยวนี้ก็งง ทั้งๆ ที่มีธาตุรู้ก็งง พอพูดถึงจิต ก็มีจิต แต่ก็งงอีก แล้วจิตอยู่ไหน แต่ความจริงไม่ว่าจะใช้คำว่า จิตหรือจิตตะในภาษาบาลี หรือจะใช้คำว่า วิญญาณ ก็คือธาตุรู้ สภาพรู้ ใช้คำว่ามโนก็ได้ แต่ว่าหลากหลายมากตามประเภทที่ทำให้จิตนั้นเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้นสำหรับจิตที่อาศัยตา เกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เป็นจักขุวิญญาณธาตุ เพราะฉะนั้นก็มีจักขุ ตา แล้วก็มีรูป แล้วก็มีจักขุวิญญาณ ทางหู ง่ายๆ ธรรมดา แต่คนคิดว่าเป็นเรา แต่ความจริงบังคับให้เกิด ทำให้เกิดไม่ได้ จะเกิดต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยที่เหมาะสมที่จะต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าตากระทบสิ่งที่ปรากฏ จะให้ได้ยินเกิดไม่ได้ ต้องธาตุได้ยินซึ่งเกิดเพราะผัสสเจตสิกกระทบกับสัททะ คือเสียง เพราะขณะนั้นไม่มีเรา แต่มีโสตปสาทรูปเป็นธาตุที่กระทบกับเสียงได้ แล้วก็จิตและเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมกันทางหู เพราะฉะนั้นทางอื่นก็โดยนัยเดียวกัน ก็เป็นทวาร ๖ อารมณ์ ๖ และก็ธาตุรู้ ๖

    อ.อรรณพ ก็เป็นความเฉียบแหลมจริงๆ เมื่อท่านไชยยศ ท่านก็เป็นนักบริหาร นักธุรกิจ ท่านมาเข้าใจธรรม ท่านก็เห็นประโยชน์เหมือนกับเป็นปริศนาธรรมที่ดีมาก อาศัยว่าสถานที่นั้นก็ต้องทำเป็น ๖ หลุม ๖ หลุม ๖ หลุมใช่ไหม จะทำเก้าหลุมๆ สถานที่ไม่เอื้อ แต่ว่าพอเป็น ๖ ๖ ๖ ก็ยังคิดถึงธรรม แล้วก็ยังได้ตั้งชื่อเหล่านี้ ก็ทำให้เราได้ธรรมจากสนามกอล์ฟ

    ท่านอาจารย์ แล้วเครื่องหมายของนิกันติสวยมาก เป็นเลข ๖ ไทยซ้อนกัน สาม

    คุณไชยยศ แม้แต่แผ่นพับประชาสัมพันธ์โฆษณา เราจะไม่มีพูดถึงอะไรเลยว่า อาหารเราอร่อย สนามเราดี ใช้หญ้าอะไรๆ ไม่มีพูดถึงเลย


    หมายเลข 10911
    4 ต.ค. 2568