013 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๓
อ.อรรณพ ท่านคงคุ้นเคยกับการกล่าวว่า เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ เมืองไทยเป็นเมืองที่มีพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง ความจริงแล้วพระพุทธศาสนากำลังเจริญหรือกำลังเสื่อม ท่านมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร และถ้าจะกล่าวว่า พระพุทธศาสนาเจริญหรือเสื่อม อะไรที่ทำให้พระศาสนาเสื่อม และอะไรที่จะทำให้พระศาสนาดำรงยั่งยืนต่อไป ดังนั้นการสนทนาพิเศษในช่วงนี้ เราจะได้พูดคุยกันในเรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา จะขอเริ่มการสนทนาจากพื้นฐานความเข้าใจตามพระธรรมวินัยก่อน
ถ้าเราจะกล่าวว่าพระศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองหรือจะเสื่อม ก็ควรจะเข้าใจก่อนว่า พระพุทธศาสนาคืออะไร และอะไรที่เป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาเจริญหรือเสื่อม ก็ขอเริ่มจากอาจารย์คำปั่นอีกสักครั้งหนึ่ง คำว่า ศาสนา แปลว่าอะไร และพุทธศาสนาคืออย่างไร
อ.คำปั่น ซึ่งในความหมายของศาสนา หมายถึงคำสอน ศาสนาคือคำสอน คำนี้จะไม่เปลี่ยนเลยในเรื่องของความหมาย เพราะฉะนั้นเมื่อมารวมกับคำว่า พุทธะ ก็จะเป็นพุทธศาสนาหมายถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงตรัสรู้สภาพธรรมทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วก็ทรงแสดงความจริงนี้ให้กับสัตว์โลกได้ฟัง ได้ศึกษา ได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
เพราะผู้ที่ทรงตรัสรู้ความจริง ก็จะมีคำจริงแต่ละคำที่จะอนุเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกให้ได้ฟัง ให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความจริง เพราะฉะนั้นตั้งแต่เริ่มการประกาศพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนกระทั่งถึงวาระที่พระองค์จวนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทั้งหมดคือพระธรรมคำสอนของพระองค์ที่เรียกว่า พระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในธรรมตามความเป็นจริง
อ.อรรณพ เบื้องต้นของพระศาสนาคืออย่างไร ที่เป็นเบื้องต้นเลยจริงๆ
ท่านอาจารย์ พุทธศาสนาก็ต้องเป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นบุคคลที่เลิศที่สุด ที่จะไม่มีผู้ใดเปรียบปานได้ในสากลจักรวาล เพราะฉะนั้นคำสอนของพระองค์ก็คือ พุทธศาสนา ซึ่งเกิดจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ เพื่ออนุเคราะห์ให้คนซึ่งไม่รู้มานานแสนนานมาก กว่าจะได้มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ และได้ฟัง ได้เข้าใจสิ่งที่พระองค์ได้ทรงตรัสรู้ว่า เป็นความจริงทุกขณะแม้เดียวนี้ ซึ่งถูกปิดบังไว้เนิ่นนานมาก แม้เกิดมาแล้ว ถ้าไม่ได้ฟังคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้วสิ่งที่ปรากฏไม่มีใครรู้ความจริง ว่าแต่ละหนึ่งที่ปรากฏนั้นคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นนักจิตวิทยา นักปรัชญาหรือใครก็ตามทั้งหมดในสากลจักรวาลก็ไม่รู้ได้ แม้เทวดาและพรหมยังต้องมาเฝ้าเพื่อฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งซึ่งชาวพุทธไม่คุ้นเลยกับการที่จะเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ลึกซึ้งและมีค่ายิ่ง เพราะเหตุว่าแม้มีปรากฏก็ไม่มีใครรู้จัก จนกว่าจะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ พระพุทธศาสนาก็เป็นคำสอนจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็ต้องเป็นคำสอนที่ละเอียดลึกซึ้ง เพราะจะเป็นไปเพื่อความเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้ ถ้าผู้ที่เป็นชาวพุทธจะเริ่มสนใจพระพุทธศาสนา จะเริ่มเข้าใจอะไรก่อน
ท่านอาจารย์ ก็ต้องรู้ว่าต้องฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่ง เพราะพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์ที่หมดกิเลส ดับกิเลสหมดเท่านั้น แต่ยังทรงประกอบด้วยพระญาณต่างๆ มหาศาล ที่จะทำให้จากสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ ซึ่งไม่มีใครเข้าใจได้เลย ก็ค่อยๆ ปรากฏให้เข้าใจ แต่เข้าใจทันทีทั้งหมดไม่ได้ต้องศึกษาทีละคำ ทีละคำจริงๆ เพราะเหตุว่าคำนั้นเปลี่ยนไม่ได้เลย เพราะทุกคำกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง แสดงความจริงของสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้
อ.อรรณพ ที่เคยได้ฟัง ท่านอาจารย์ก็จะเริ่มจากคำว่า ธรรม ซึ่งก็คงเป็นคำแรกที่ชาวพุทธควรที่จะเข้าใจ ก็ขอรบกวนท่านอาจารย์อีกครั้ง
ท่านอาจารย์ เพราะคุณอรรณพคุ้นหูกับคำว่า พระรัตนตรัย รัตนะสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ๓ เพราะฉะนั้นไม่ใช่หนึ่ง แต่ถ้าไม่มีหนึ่งอีกสองก็มีไม่ได้เลยเพราะฉะนั้นพระรัตนตรัย ก็คือสูงสุดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทุกคำของพระองค์เป็นปัญญาที่เกิดจากการตรัสรู้ จะไม่ใช่คำของคนซึ่งไม่รู้ และก็พยายามค้นคิด พยายามที่จะกล่าวออกมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะให้ความจริงในทุกคำนั้นได้ แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำไม่เว้นเลย เป็นคำที่ทำให้สัตว์โลกได้มีความเข้าใจ ในแต่ละคำซึ่งยากและลึกซึ้งมาก และทรงแสดงหนทางจากความไม่รู้เลย เป็นค่อยๆ เข้าใจขึ้น จนสามารถที่จะดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น คุณอรรณพลองคิดดู กิเลสมีไหม
อ.อรรณพ มี
ท่านอาจารย์ มากไหม
อ.อรรณพ คิดว่ามาก
ท่านอาจารย์ ประมาณได้ไหม
อ.อรรณพ ประมาณไม่ได้ เพราะเยอะเหลือเกิน
ท่านอาจารย์ แต่คนไม่รู้ก็คิดว่า กิเลสนิดเดียว วันนี้มองไม่เห็นกิเลสของตัวเองเลย เหมือนกับคนไม่มีกิเลส แต่ว่าความจริงเต็มไปด้วยกิเลสทุกวัน เพราะฉะนั้นจากการที่ไม่รู้จักกิเลส รู้จักจนกระทั่งว่า เดี๋ยวนี้มีกิเลสอะไร มองเห็นหรือไม่ คุณอรรณพกำลังมีกิเลสอะไร คนที่ไม่เคยฟังเลย ตอบไม่ถูกเลย เพราะเขาไม่คิดว่าเขามีกิเลส แต่ความจริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทุกอย่างละเอียดลึกซึ้ง เพราะกิเลสก็ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นปัญญาลึกซึ้งเท่าไรที่จะสามารถดับกิเลสหมดไม่เหลือเลยสักอย่างเดียว
ด้วยเหตุนี้หนทางที่นำไปสู่การที่จะเข้าใจสิ่งที่มี จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ จึงเป็นธรรมรัตนะ เพราะฉะนั้นธรรมคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้คนเข้าใจทุกอย่าง กล่าวได้เลยทุกอย่าง ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน จนกระทั่งค่อยๆ รู้จักสิ่งที่มี ซึ่งปรากฏเหมือนเรารู้จักแล้ว แต่ความจริง ลองกล่าวทีละอย่าง ไม่รู้จักอะไรเลย ว่าสิ่งที่มีในขณะนี้เป็นธรรม เพราะเหตุว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้อะไร เพราะฉะนั้นต้องทรงตรัสรู้สิ่งที่มี คนอื่นไม่รู้ใช่ไหม พระองค์จึงได้ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อที่จะตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีตามปกติในขณะนี้เองทุกอย่าง
เพราะฉะนั้นแต่ละคำนำไปสู่การที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาเพิ่มขึ้น รู้เมื่อไร ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ได้ฟังแล้วเข้าใจ ได้ฟังแล้วเข้าใจในขั้นเข้าใจ ยังไม่ประจักษ์แจ้ง แต่เมื่อปัญญาเจริญขึ้นมากขึ้น ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งเมื่อใด ก็เป็นพระอริยสาวกซึ่งเป็นสังฆรัตนะ เพราะฉะนั้นรัตนะก็คือพระพุทธเจ้า พระธรรม ที่นำไปสู่การรู้แจ้งอริยสัจธรรมและสาวก ซึ่งเป็นผู้ที่รู้ตาม รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสตาม มิฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องเป็นโมฆะ คือไม่มีใครสามารถที่จะรู้ตามได้ แต่เพราะเหตุว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ชาวโลกรู้ไม่ได้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นปัญญาของตนเองคือเข้าใจขึ้น จนกระทั่งดับกิเลสได้ จนถึงความเป็นพระสังฆรัตนะ ไม่ใช่ภิกษุที่เราเห็นจากการบวช หรือไม่ใช่คฤหัสถ์ธรรมดา แต่ต้องเป็นผู้ที่ได้ฟังพระธรรมเข้าใจถึงระดับที่สามารถที่จะดับกิเลสได้ เพราะฉะนั้นสังฆรัตนะ ไม่ใช่หมายเฉพาะภิกษุ ชาวบ้านอาจจะเข้าใจว่าภิกษุเท่านั้น แต่ความจริง บุคคลใดก็ตามเทวดา พรหมหรือว่ามนุษย์ที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสเป็นอริยสาวก เป็นสังฆรัตนะ
อ.อรรณพ ถ้าไม่ได้ฟังอย่างนี้เป็นเบื้องต้น เราก็เพียงคิดแล้วก็ท่องไป อย่างเช่น บทสรรเสริญพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างบทสรรเสริญพระสงฆ์ก็บุรุษ ๔ คู่ ๘ บุคคล ก็ท่องกันอย่างนี้
ท่านอาจารย์ แต่คุณอรรณพลองคิดดู ไม่รู้คุณแล้วสรรเสริญอะไร พูดคำว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ นอบน้อมแด่พระอรหันต์ผู้ดับกิเลส พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงด้วยพระองค์เอง พูดแค่นี้ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
อ.อรรณพ เพียงแต่พูด ถ้าไม่มีความเข้าใจก็ไม่รู้คุณ
ท่านอาจารย์ เท่ากับเชื่อตาม ว่ามีบุคคลหนึ่งซึ่งเป็นถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับกิเลสด้วยพระองค์เอง และทรงแสดงความจริงให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย แต่รู้อะไร ทรงแสดงอะไร ไม่มีทางเลย ได้แต่กราบไหว้ ชื่อว่านับถือจริงๆ หรือยัง แค่ได้ยินชื่อแล้วกราบไหว้ แต่ไม่รู้ว่าพระคุณมากมายนั้นคืออะไร
ด้วยเหตุนี้ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม จะรู้จักความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร ไม่มีทางเลย เพราะฉะนั้นเวลาที่เข้าใจธรรม กราบไหว้พระคุณ ต่างกับไม่ได้เข้าใจธรรมแล้วกราบไหว้ เพราะฉะนั้นพระคุณมหาศาล ทรงแสดงพระธรรมละเอียดยิ่งถึง ๔๕ ปี มากมายเท่าไร แต่ละคำแต่ละวัน แล้วก็ลึกซึ้งอย่างยิ่งด้วย เพราะฉะนั้นถ้าไม่เห็นธรรมก็ไม่เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นชาวพุทธ เข้าใจธรรมหรือเปล่า ว่าเดี๋ยวนี้เองสิ่งที่มีจริงทั้งหมด เพราะมีจริง ในภาษาบาลีก็ใช้คำว่า ธรรม แต่คนไทยไม่ได้ใช้คำนี้ อาจจะใช้บ้าง ยุติธรรม อยุติธรรม เป็นต้น แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นแต่ละคำต้องศึกษาด้วยความเคารพจริงๆ อย่างมั่นคงว่า ผ่านไม่ได้เลย ต้องถามว่าคืออะไรก่อน ถ้าบอกว่าธรรมคือสิ่งที่มีจริง พอไหม
อ.อรรณพ ก็คงจะไม่พอที่จะเข้าใจ
ท่านอาจารย์ แค่บอกว่าสิ่งที่มีจริงและอะไรมีจริง ยากที่สุดที่จะคิดเอง เพราะตอบเท่าไร ถ้าไม่ได้ฟังธรรมก็คือผิด ลองยกตัวอย่างก็ได้
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า พอไหมแค่อธิบายว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ผมก็เรียนว่าไม่น่าจะพอ เพราะคำว่าสิ่งที่มีจริงในความคิดของแต่ละคนนั้นต่างกัน เช่นผมเห็นดอกไม้อยู่ ผมก็คิดว่าดอกไม้มีจริง โต๊ะมีจริง
ท่านอาจารย์ แล้วถ้าบอกว่า คุณอรรณพเห็นดอกไม้ คุณอรรณพบอกว่าจริงใช่ไหม
อ.อรรณพ ใช่ ดอกไม้วางอยู่จริงๆ บนโต๊ะ
ท่านอาจารย์ แต่ความจริงลองคิด คุณอรรณพเห็นสิ่งที่สามารถปรากฏให้เห็นได้ เพียงหลับตาก็ไม่เห็น อะไรจริงกว่ากัน คุณอรรณพเห็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เมื่อลืมตา แต่พอหลับตาแล้ว ดอกไม้อยู่ไหนที่ว่าเห็นดอกไม้ ไม่มีแล้วใช่ไหม
อ.อรรณพ ตอนนั้นไม่มีดอกไม้ แต่ก็ยังคิดว่าน่าจะมีดอกไม้ที่เมื่อสักครู่นี้เห็น
ท่านอาจารย์ คิด แต่เห็นอะไร
อ.อรรณพ แต่ขณะนั้นไม่ได้เห็น สีสันวรรณะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นเพียงคำแรก เห็นอะไร ต้องคิด ต้องไตร่ตรอง
อ.อรรณพ เห็นเพียงสิ่งที่ปรากฎเท่านั้น
ท่านอาจารย์ จนกว่าจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า คำจริงทั้งหมด ถ้าไม่ทรงแสดงใครจะรู้ เห็นดอกไม้ เห็นโต๊ะ เห็นเก้าอี้มานานแสนนาน แต่ความจริงที่สุดคือ ถ้าหลับตาไม่เห็นสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น แต่พอลืมตาทันที มีสิ่งที่เรากล่าวมากมายเลย มีคน มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีถนนหนทาง มีทุกอย่าง แต่นั่นไม่ใช่เห็น นั่นคิดถึงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แยกกันละ ทั้งสองอย่างเป็นธรรมเพราะมีจริง ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ใช่ธรรม เห็นก็จริง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็จริง คิดก็จริง จำก็จริง แต่ละหนึ่งเป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรพ้นจากธรรมเลย
อ.อรรณพ บางทีการไตร่ตรองเบื้องต้น พอจะเปรียบเทียบอนุมานได้ ก็พอจะเห็นว่า สิ่งที่จริงต้องเป็นสิ่งที่กำลังปรากฎ
ท่านอาจารย์ แต่ลองคิดดู ฟังแค่นี้อยากฟังต่อหรือเปล่าโดยชาวพุทธ ถามตัวเอง ชาวพุทธทุกคนฟังแค่นี้แล้วก็จริงด้วย แล้วไม่เคยคิดมาก่อน และยังมีอีกมากที่จะรู้ได้ เข้าใจได้ ยิ่งกว่านี้อีก จะรู้ต่อ จะฟังต่อหรือไม่
อ.อรรณพ ตรงที่ท่านอาจารย์ชี้ตรงนี้ ถ้าไม่ได้สนใจ และฟังดูเป็นเรื่องที่ไม่น่าที่จะศึกษา ไม่น่าที่จะสนใจ ก็คือคงไม่ใช่ชาวพุทธ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนาเสื่อมจากความเข้าใจของชาวพุทธ
อ.อรรณพ เสื่อมจากความสนใจ
ท่านอาจารย์ เพราะไม่ศึกษา ไม่ฟังเลย แล้วก็ยังคิดธรรมเอง พูดสิ่งซึ่งไม่ใช่คำของสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมาย โดยที่ไม่รู้เลยว่ากำลังทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนาแน่นอน เพราะถ้าไม่มีใครเข้าใจธรรม พระพุทธศาสนาจะดำรงอยู่ได้อย่างไร มีแต่ชื่อ
อ.อรรณพ เป็นอันสรุปว่าถ้าไม่สนใจที่จะฟัง จะศึกษา จะเรียนรู้สิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏในขณะนี้ ก็ไม่ได้เป็นชาวพุทธจริงๆ
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.อรรณพ แต่ก็จะเป็นคิด จะสร้างวิธีการ หรือตามความคิดส่วนบุคคล หรือของกลุ่มบุคคลขึ้นมา แล้วก็ทึกทักว่าสิ่งนั้นคือพระพุทธศาสนา ก็จะไปลบ ทำให้ลบพระศาสนา
ท่านอาจารย์ เลยเข้าใจผิดคิดว่า พระพุทธศาสนาเป็นอย่างอื่น เช่นพิธีกรรมต่างๆ เป็นต้น
อ.อรรณพ ก็เป็นเบื้องต้นที่จะได้ฟังกันว่า พระพุทธศาสนาคืออย่างไร อาจารย์คำปั่น ท่านก็แสดงศาสนา พุทธศาสนาไว้ ๓ แล้วก็เป็นคำบาลีด้วยอยากให้อาจารย์คำปั่น ได้ให้ความรู้กับท่านผู้ชมผู้ฟัง เพราะพระศาสนานี้มี ๓ คือปริยัติศาสนา ปฏิปัตติศาสนาและปฏิเวธศาสนา รบกวนอาจารย์คำปั่นได้อธิบายศัพท์ ปริยัติ ปฏิปัตติ ปฏิเวธ แล้วทำไมถึงศาสนาจึงมี ๓
อ.คำปั่น ก็ต้องไม่ลืมตั้งแต่ต้นว่า ศาสนาคือคำสอน คำสอนของใคร คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งแต่ละคำที่พระองค์ตรัสก็เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลโดยส่วนเดียวคือ เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังที่จะได้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นที่มีการแสดงถึงศาสนา ๓ ก็แสดงถึงความเจริญขึ้นของปัญญาที่เป็นไปตามลำดับ ซึ่งจะขาดความเข้าใจตั้งแต่ต้นไม่ได้ ก็คือในขั้นของการฟัง การศึกษา ในคำสอนที่เป็นพระพุทธพจน์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เรียกว่า ปริยัติศาสนาหมายถึงว่าคำสอนที่เป็นไปในส่วนของพระพุทธพจน์ที่ควรศึกษา เพื่อความรอบรู้จริงๆ ในแต่ละคำ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง นี่คือในเบื้องต้นก็คือบริยัติศาสนา ประการต่อมาก็คือ ปฏิปัตติศาสนา ปฏิปัตติไม่ใช่การทำ แต่เป็นเรื่องของความเข้าใจที่เจริญขึ้น เป็นการถึงเฉพาะลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่มีตัวตนที่ปฏิบัติ ไม่มีตัวตนที่ไปทำ แต่เป็นธรรมฝ่ายดีที่เกิดขึ้น ทำกิจหน้าที่ของธรรมฝ่ายดีนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือสติ และปัญญา พร้อมกับธรรมอื่นๆ ที่เกิดขึ้นร่วมกันในขณะนั้น ซึ่งมีพื้นฐานมาจากความเป็นผู้รอบรู้ในพระปริยัติ ตั้งแต่ขั้นต้นก็คือปริยัติศาสนานั่นเอง
เพราะฉะนั้นเมื่อปริยัติถูกต้อง ก็นำไปสู่ปฏิปัตติที่ถูกต้อง ตรงตามความจริง และผลสูงสุดของพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ เป็นไปเพื่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน ก็คือประจักษ์แจ้งความจริง ดับกิเลสตามลำดับขั้น จนหมดสิ้นไม่เหลือเลย ที่เรียกว่า ปฏิเวธศาสนา คือการแทงตลอดสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งในอรรถกถาก็ได้อธิบายไว้ว่า ปฏิเวธศาสนาก็คือ การแทงตลอดซึ่งสัจจะ คือสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นทั้งหมดก็สอดคล้องกัน ปริยัติ ปฏิปัตติ แล้วก็ปฏิเวธ เป็นเรื่องของปัญญาที่เจริญขึ้นไปตามลำดับจริงๆ
อ.อรรณพ กราบท่านอาจารย์ครับ ทำไมท่านถึงแสดงพระศาสนาไว้ ๓ ปริยัติศาสนา ปฏิปัตติศาสนา ปฏิเวธศาสนา
ท่านอาจารย์ ความรู้ต้องเจริญขึ้นตามลำดับหรือเปล่า
อ.อรรณพ ความรู้ ความเข้าใจก็ค่อยๆ เจริญขึ้น เหมือนกับเราเรียนหนังสือตั้งแต่ชั้นอนุบาล ป.1ก็เรียนพยัญชนะ อักษร แล้วก็ค่อยบวกลบคูณหารอะไรไปเรื่อยๆ แล้วก็ค่อยๆ มีความรู้ขั้นสูงขึ้นๆ ในทางโลก
ท่านอาจารย์ ฉันใด ความรู้จริงก็ต้องเริ่มตั้งแต่ต้น เบื้องต้นทุกคำ อย่างที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ธรรมทั้งหลาย ตอนนี้เราเข้าใจคำว่าธรรมแล้ว ธรรมทั้งหลายคือไม่เว้นเลยซักอย่างเดียว ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา นี่คือพระพุทธพจน์ เปลี่ยนไม่ได้เลยและเป็นความจริง เพราะฉะนั้นอัตตาหมายความถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง แต่ อะ แปลว่าไม่ อนัตตาก็คือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงอย่างที่เคยคิด แล้วก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้นประโยคที่ใดตรัสแล้ว เปลี่ยนไม่ได้ เพราะเป็นการแทงตลอดความจริงของทุกอย่างที่เกิดขึ้น ถ้าไม่เกิดจะมีไหม ไม่มีเลย เกิดแล้วคงอยู่ ดับไปแล้วไม่เหลือเลยแต่ละหนึ่ง เห็นไม่ใช่ได้ยิน ได้ยินไหมใช่คิด เพราะฉะนั้นพร้อมกันไม่ได้เลย ได้ยินต้องอาศัยหู เห็นต้องอาศัยตา ต่างกันแล้ว จะเกิดพร้อมกันได้อย่างไร ในเมื่อเหตุที่เกิดต่างกัน
ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงลึกซึ้งอย่างยิ่ง ไม่ต้องรีบร้อนที่จะเข้าใจทั้งหมดมากๆ เร็วๆ เพราะสะสมความไม่รู้มานานเท่าไร เพราะฉะนั้นถ้าเพียงได้เข้าใจความจริง เริ่มตั้งแต่คำแรกคือทุกอย่างที่มีจริง ทรงแสดงความจริงของสิ่งนั้น แล้วเราผู้ฟัง ผู้ศึกษา ก็มีหน้าที่ที่จะไตร่ตรองแต่ละคำ ให้เข้าใจเป็นความเข้าใจของตนเองที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงว่าเป็นจริง จึงสามารถที่จะมีปัญญาระดับขั้นต่อไปนี้อีก คือเริ่มรู้จักตัวจริงของธรรมที่เราพูด อย่างเห็น เคยเป็นเห็นดอกไม้ เห็น ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏให้เห็น รู้จักอันไหน รู้จักเห็น หรือว่ารู้จักสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นแต่เพียงเมื่อลืมตาสิ่งนั้นกระทบจักขุปสาทะคือตา รูปพิเศษที่ สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ เป็นปัจจัยให้ธาตุรู้คือเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป เห็นไหม แม้แต่เพียงหนึ่งคือเห็น ไม่เคยคิดไม่เคยเข้าใจไม่เคยรู้ ว่าเห็นแล้วก็นำมาซึ่งความยินดีพอใจ ข้ามไปเลย มีชีวิตทุกวันด้วยการแสวงหา เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นไม่รู้ตั้งแต่ต้น คือไม่รู้จักเห็นที่กำลังเห็น ลึกซึ้งหรือไม่
อ.อรรณพ ลึกซึ้ง
ท่านอาจารย์ จะรีบไปไหน
อ.อรรณพ ผมขอกราบเรียนถามแทรกครับว่า ใครๆ ก็ไม่ปฏิเสธว่าต้องมีสี แต่ทำไมข้ามจากสี มาเป็นดอกไม้ มาเป็นสิ่งต่างๆ ทั้งที่ทุกคนก็ยอมรับว่าต้องมีสี มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เขาก็ต้องยอมรับ แต่ทำไมถึงข้ามไปเลย แต่ว่าเป็นดอก เป็นดวง เป็นวัตถุต่างๆ ขึ้นมา ต่อเนื่องพรืดไปเลย
ท่านอาจารย์ เพราะขาดการไตร่ตรอง สี หรือสิ่งที่กระทบตาที่กำลังปรากฏเขียว แดง เหลือง ต่างๆ ต้องเกิดหรือเปล่า
อ.อรรณพ ทุกอย่างต้องมีปัจจัย ที่เกิดขึ้นก็ต้องมีปัจจัยให้เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จริงก็เห็นการเกิดสิ่ ใช่หรือไม่ นี่เร็วมากจนปิดบัง เกิดก็ไม่เห็น ดับก็ไม่เห็น รวมกันแล้วเป็นดอกไม้ ซึ่งประกอบด้วยสีม่วงอ่อน ม่วงแก่ ในดอกหนึ่งก็หลากหลายมาก เป็นได้อย่างไรถ้าไม่คิด ถ้าเพียงแค่เห็นแล้วก็หมดเลย แต่เพราะเห็นแล้วยังมีจำ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงด้วย ไม่ใช่เราด้วย คือทั้งหมดที่กล่าวว่าเป็นธรรม ต่อจากนี้ไปให้เริ่มเข้าใจให้ถูกต้องในขั้นฟังว่า ไม่ใช่เราหรือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน สิ่งนั้นต้องเกิดจึงมีขึ้น แล้วก็ดับไป ศึกษาธรรมต้องไม่ใช่ว่าเพียงจำ แต่เดี๋ยวนี้ คิดถึงหรือเปล่า
