011 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๑
ท่านอาจารย์ ทำสมาธิแล้วจะรู้ความเป็นอนัตตา หรือความเป็นธรรมได้ไหม แค่นี้ ทำสมาธิ แล้วจะรู้ความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตาได้ไหม เห็นไหมยังต้องคิด ยังต้องไตร่ตรองกับคำถามธรรมดาว่า ทำสมาธิแล้วจะรู้ว่าธรรมเป็นอนัตตาได้ไหม
อ.อรรณพ ผมขอแทรกนิดหนึ่ง ท่านที่อยู่อเมริกา ท่านก็บอกว่า พระพุทธเจ้าก็นั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าก็นั่งขัดสมาธิ นั่งสมาธิ แล้วเราเป็นพุทธบริษัทเราไม่ตามท่านหรือ
ท่านอาจารย์ นั่งสมาธิ ขัดสมาธิเดี๋ยวนี้ตามพระพุทธเจ้า แล้วรู้อะไร แล้วเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือ ว่าให้นั่งสมาธิอย่างพระองค์
อ.อรรณพ เขาอาจจะย้อนว่า แล้วพระพุทธเจ้านั่งสมาธิทำไม
ท่านอาจารย์ รู้ไหมว่าสมาธิคืออะไร แล้วไปเรียกว่านั่งสมาธิ ยังไม่รู้เลยว่าสมาธิคืออะไร เพราะฉะนั้นทำไปด้วยความไม่รู้ ไม่ทราบคุณวิชัยคิดอย่างไร
อ.อรรณพ สมาธิคืออะไร ทำไมพระพุทธเจ้าต้องนั่งสมาธิ แล้วเราก็เป็นสาวกก็นั่งตามท่านไปสิ่
ท่านอาจารย์ จะให้ยืน หรือเดิน หรือนอนสมาธิ ได้หมดเลยถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้องว่า สมาธิคืออะไร แม้เดี๋ยวนี้ก็มีสมาธิ
อ.วิชัย ก็ต้องย้อนไปถึงธรรมทุกอย่างเลย เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ตามความเป็นจริง ดังนั้นคำว่าสมาธิมี เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพที่ตั้งมั่นในอารมณ์คือสิ่งที่จิตรู้ในสิ่งนั้น เมื่อมีความตั้งมั่นก็คือมีสมาธิในสิ่งนั้น แต่สมาธิที่เป็นธรรมนี้ ชื่อบาลีว่า เอกัคคตา ก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่งที่ตั้งมั่นในอารมณ์ สภาพธรรมนี้เป็นกุศลก็ได้ เป็นอกุศลก็ได้ อันนี้คือพูดสองอย่างก่อนเพื่อให้เห็นความชัดเจนว่า สมาธินี้คืออะไร
ดังนั้นถ้าไม่มีปัญญา เห็นไหมสำคัญ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่า นั่งสมาธิจะให้รู้ตามความเป็นจริงได้หรือไม่ สภาพธรรมก็ต่างกันอยู่แล้ว แต่ขณะที่เข้าใจแต่ละคำที่กล่าวมีสมาธิไหม มี เพราะกำลังตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังได้ยิน ได้ฟัง เมื่อเข้าใจขณะนั้นปัญญาก็ทำกิจของปัญญาคือเข้าใจถูก สมาธิก็ทำกิจของสมาธิ คือเอกัคคตาที่ตั้งมั่นในสิ่งที่เข้าใจแล้วนั่นแหละ ดังนั้นการอบรมความเข้าใจมากขึ้นเจริญขึ้น ก็มีเอกัคคตาที่เป็นไปพร้อมกับปัญญาที่ตั้งมั่นด้วยความเข้าใจถูกด้วย ไม่ใช่เพียงนั่งสมาธิแต่ไม่รู้ว่าสมาธิคืออะไร ก็กระทำตามๆ กันไปด้วยความไม่เข้าใจ แต่พระธรรม เห็นไหมแสดงทุกอย่างดังนั้นประโยชน์ของการศึกษา เพื่อให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า ที่กล่าวว่านั่งสมาธิคืออะไร รวมถึงสมาธิคืออะไร ไม่ต้องนั่งมีสมาธิไหม ทุกอย่างก็ต้องเป็นความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ แล้วคุณรักคิดดูเข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ กับการที่เป็นสมาธิที่ไม่เข้าใจธรรม ใครเป็นสาวกของพระสัมมาสัมพุทธจ้า
อ.อรรณพ แล้วตอนเข้าใจธรรมก็มีสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ แต่เขายังไม่สามารถที่จะรู้ได้ เราก็เพียงแต่ให้เขาไตร่ตรอง เพื่อความเป็นคนตรง ว่าทำสมาธิกับการเข้าใจธรรม อะไรสมควร อะไรถูก อะไรเป็นประโยชน์
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์กล่าวตรงนี้ ผมนึกถึงตอนที่สนทนาธรรม ที่ศูนย์ผู้สูงอายุที่เมืองนนท์ แล้วก็มีเด็กชายกฤษณะเข้ามาคุยเรื่องสมาธิ แล้วท่านอาจารย์ ท่านวิทยากรก็คุยกับเขาอยู่นาน เขาเป็นเด็กที่ไตร่ตรอง แล้วเขาก็จะถามว่า ขณะที่เข้าใจธรรมขณะนี้ แล้วมีความเข้าใจธรรมแม้สั้นๆ กับการที่ไปมีสมาธิยาวๆ แต่ไม่ได้เข้าใจอะไร แม้เด็กอายุ ๘ ขวบก็ตอบถูก ว่าเข้าใจถูกสั้นๆ ดีกว่า มีสมาธิยาวๆ แล้วไม่ได้เข้าใจอะไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคำจริง ผู้ที่เห็นประโยชน์สามารถเข้าใจได้ไม่ว่าวัยไหน ถ้าเขาเป็นคนที่ไตร่ตรองในเหตุผล
อ.อรรณพ ก่อนหน้านี้ผมก็สนทนากับอาจารย์จักรกฤษณ์ อาจารย์จริยา อาจารย์จริยาท่านก็ปรารภว่า แล้วเราก็มาสนทนากันตอนช่วงแรกด้วยว่า จริงๆ แล้วถ้าจะปลูกฝังให้เยาวชนมีความเข้าใจถูกในธรรม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกระทรวงศึกษา ถ้ามีความเข้าใจถูกในธรรม สามารถที่จะให้ความเข้าใจถูกตั้งแต่เบื้องต้นก็ด้ ไม่ใช่ว่าให้เด็กเข้าไปนั่งสมาธิ จับเด็กไปนั่งสมาธิ แล้วคิดไปเองว่าเด็กจะได้สมาธิในการเรียนดี ไม่เป็นโรคสมาธิสั้น ทำให้เด็กบางคนหรือส่วนใหญ่เขาก็รู้สึกว่า ให้เข้าไปนั่งทำไม เขาก็ไม่อยากนั่ง บางคนเห็นว่านี่คือพระพุทธศาสนา บางคนอาจจะชอบ แล้วก็เข้าใจผิดว่าเป็นพระพุทธศาสนา บางคนก็เลยมีความรู้สึกที่ไม่ตอบรับกับพระพุทธศาสนาไปเลย เพราะเขาเป็นคนมีเหตุผล แล้วเขาไม่ได้รับความเข้าใจถูกปูพื้นฐานเรื่องพวกนี้ตั้งแต่ต้น
อ.จริยา การศึกษาในปัจจุบันนี้ เราก็คงทราบว่าตั้งแต่เด็กชั้นประถมก็ศึกษาวิชาที่เรียกว่าพุทธศาสนา แต่ถ้าลองเข้าไปดูในหลักสูตรการเรียนการสอนของชั้นต่างๆ โดยเฉพาะชั้นที่เป็นพวกที่จะต้องสอบเก็บคะแนนไว้ พอจะเห็นได้ชัดว่า เด็กทั้งหลายไม่ได้รับความรู้ทางพุทธศาสนาที่ถูกต้อง เด็กที่อยู่ในชั้นเกณฑ์ที่จะเก็บคะแนนเพื่อจะไปสอบเข้ามหาวิทยาลัย เขาก็จะเรียนเพื่อท่อง ท่องโดยที่ไม่ทราบว่าท่องอะไร แล้ววิชาที่เรียนเราดูแล้ว เราเองก็ฟังแล้วไม่เข้าใจ แต่จริงๆ สิ่งที่เคยสอนกันมา เริ่มตั้งแต่พระพุทธเจ้าเป็นใครตรัสรู้ที่ไหนอย่างไร แล้วหลักธรรมก็คืออริยสัจ ๔ ซึ่งฟังแล้วสมัยก่อนนี่ก็คงรีบท่องเลย แต่ก็เห็นได้ว่าไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเด็ก แล้วยิ่งสมัยนี้ยิ่งน่ากลัวเข้าไปอีกมากขึ้น คือในสื่อที่เรียกว่าสื่อการเรียนการสอนที่อยู่ในสื่อออนไลน์ ก็จะมีการสอนวิชาพุทธศาสนาสำหรับเด็กแต่ละวัย โดยอาจจะเอามาจากหนังสือของคุรุสภา ก็คือหนังสือที่กระทรวงศึกษาพิมพ์ จะเห็นได้ชัดว่า ไม่ได้ให้ความรู้กับเด็กอย่างที่ท่านอาจารย์กำลังให้ความรู้กับพวกเรา คือไม่เคยให้เด็กรู้ความจริง
เพราะฉะนั้นได้ปรารภกับอาจารย์อรรณพ กับท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ว่า ตรงนี้ถ้าเราได้เริ่มใหม่ว่า ให้เด็กทั้งหลายเริ่มรู้ความจริงทีละคำ ไม่ต้องมาก ให้เขาได้รู้ในแต่ละชั้นเรียนทีละคำ แล้วก็เข้าใจจริงๆ ดิฉันว่าเขาจะต้องรักวิชาพุทธศาสนา เพราะทันทีที่เขาได้รู้จักคำแต่ละคำ เขาจะรู้ว่าคำนี้ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่กับรอบตัวเขา หรือที่ตัวเขา เขาก็รู้ในขณะๆ นั้น
เพราะฉะนั้นคิดว่า หลักสูตรการเรียนการสอนวิชาพุทธศาสนาคงต้องปรับเปลี่ยน แล้วที่น่าตกใจก็คือ เป็นการที่ถ่ายทอดความรู้ผิดๆ ให้กับเด็ก ถ้าเข้าไปดูในสื่อออนไลน์ บางคนคือการอ่านพอที่ให้ตัวเองรู้บ้าง แต่ว่าไม่ได้รู้จริง แล้วก็ถ่ายทอดในสิ่งเหล่านี้ให้เด็กทั้งหลายหรือผู้ปกครองเข้าไป โดยเฉพาะพวกที่จะสอบโอเน็ต ก็ให้เด็กเพียงแต่จำข้อหนึ่งสองสามสี่ห้า แล้วก็เลือกเอาข้ออะไร ซึ่งตรงนี้ดิฉันคิดว่า ถ้าหลักสูตรพุทธศาสนาซึ่งเป็นการให้ความรู้กับเด็กๆ เยาวชนยังเป็นอย่างนี้ ความรู้ความเข้าใจในหลักธรรม จะไม่มีทางเกิดขึ้นกับเด็กและเยาวชนเลย แล้วยิ่งจะมาผนวกกับเรื่องการให้เด็กนั่งสมาธิ ให้เด็กที่โตหน่อยไปสำนักปฏิบัติ ก็ยิ่งจะทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
อ.อรรณพ แล้วก็ยังมี ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็จะให้ไปเป็นสามเณร ใช่ไหม ซึ่งก็ ได้ข้อมูลจากอาจารย์จักรกฤษณ์ ที่ว่าแม้มีกลุ่มพระภิกษุที่เขามีความเห็นว่า ต่อไปจะไม่มีศาสนทายาท หมายถึงสามเณร เพราะสามเณรก็เป็นความหวังที่จะได้เป็นพระภิกษุต่อไป อาจารย์จักรกฤษณ์ได้ทราบข้อมูลเหล่านี้มา จะมาแชร์หน่อยไหม ก็จะขอความเห็นท่านอาจารย์
อ.จักรกฤษณ์ จากสถิติทั่วประเทศปรากฏว่า ผู้ที่จะมาบวชเป็นสามเณรน้อยลง ทางวัดแต่ละวัดโดยเฉพาะวัดที่มีโรงเรียนสอนบาลี สอนหลักสูตร ๓ วัน ก็จะไม่มีเณรเข้ามาเรียน ก็เป็นห่วงว่าจำนวนลดน้อยลง แล้วก็อ้างว่าจะขาดศาสนทายาท เพราะสามเณรเหล่านี้ก็เรียนโตขึ้นไปอาจจะไปเป็นเจ้าอาวาสตามวัดต่างๆ ได้ นี่คือแนวคิดของผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ที่เห็นว่าเราอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ ไม่มีศาสนทายาทคือสามเณรที่จะมาสืบต่อแล้ว อันนี้เป็นความไม่รู้อย่างไร
ท่านอาจารย์ อย่างมาก
อ.อรรณพ มากอย่างไร
ท่านอาจารย์ มาก เพราะเหตุว่าผู้ใหญ่รู้จักสามเณรหรือเปล่า
อ.จักรกฤษณ์ รู้แต่เพียงว่าเป็นเด็กมาบวชเท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่
อ.จักรกฤษณ์ ซึ่งไม่ใช่เลย
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ สามเณรต้องเป็นเชื้อสายของพระภิกษุคือผู้สงบ ผิดจากนี้ไม่ใช่สามเณร เพราะฉะนั้นสามเณรจะมานั่งเล่น เดินเล่น รับประทานอะไรเล่นๆ คุยกันเล่น แล้วก็ถึงกับถือใบลานเล่นๆ ด้วย ห้อยต่องแต่งๆ อย่างนั้นหรือคือผู้ที่เป็นเชื้อสายของผู้สงบ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น มีจริงๆ หรือเปล่าสามเณรยุคนี้ ไม่ว่าจะบวชกันสักเท่าไรก็ตาม เป็นสามเณรจริงๆ หรือเปล่า เพราะฉะนั้นก็ต้องการของปลอม มีแต่ชื่อ เพราะไม่รู้ว่าสามเณรคือใคร นั่นก็เป็นการทำลายพระศาสนา
เพราะฉะนั้นที่สำคัญที่สุดที่จะดำรงพระศาสนาได้ก็คือว่า ความเข้าใจที่ถูกต้องทุกคำ แม้แต่คำว่าภิกษุคือใคร สามเณรคือใคร และก็ไม่ใช่ว่าไปอยากให้เขาบวชเยอะๆ จะได้สืบทอดพระศาสนา สืบทอดความไม่รู้และทำลายพระศาสนาต่างหาก อันนี้สมควรที่จะพิจารณาไตร่ตรอง คิดให้ดี เพราะว่าต้องการให้มีสามเณร ตัวเองบวชสิ่ ใช่ไหม ตัวเองไม่บวชเลย ผู้ใหญ่ก็บวชสามเณรได้ แล้วทำไมให้เด็กบวช
อ.อรรณพ ถ้าเป็นพระภิกษุซึ่งท่านบวชอยู่แล้ว แล้วท่านอยากให้มีสามเณร ท่านก็บอกว่าท่านบวชแล้ว ก็จะให้สามเณรมาบวชด้วย จะได้มีทายาท
ท่านอาจารย์ แล้วสามเณรคือใคร คุณวิชัย
อ.อรรณพ สามเณรในพระธรรมวินัย
อ.วิชัย จริงๆ แล้ว บริษัทก็มี ๔ ใช่ไหม ภิกษุและภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แล้วก็ถ้าเป็นภิกษุก็ต่างกับคฤหัสถ์ ยุคนี้ไม่มีภิกษุณี แต่ถ้าเป็นเด็กยังไม่ถึง เกณฑ์ที่จะให้ถึงความเป็นภิกษุ แต่มีอุปนิสัยไหม เป็นผู้ที่มีความประพฤติคล้อยตามพระภิกษุ ผู้ที่เป็นเหล่ากอของสมณะก็คือผู้สงบ ยกตัวอย่างท่านพระราหุล ใช่ไหม ท่านเป็นผู้ที่มีคุณธรรมความดี แต่ยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะอุปสมบท ท่านเป็นพระภิกษุก็เป็นอนุปสัมบัน ก็คือเป็นผู้ที่มีความประพฤติอบรมความดี เมื่อถึงเกณฑ์ที่จะให้ถึงความเป็นพระภิกษุก็จึงจะอุปสมบทได้
เพราะฉะนั้นความประพฤติเป็นไปได้ที่เป็นสามเณร ก็คือประพฤติคล้อยตามความประพฤติของภิกษุทั้งหมด แต่ก็จะมีสิกขาบทของสามเณร คือ ๑๐ ประการด้วยกัน แต่ว่าส่วนอื่นๆ ที่เป็นความประพฤติที่ดีงาม ที่จะมีความประพฤติสมควรที่จะถึงอุปสัมบันในกาลข้างหน้า ก็ต้องประพฤติด้วย อบรมด้วย เจริญด้วย อันนี้ก็คือเป็นสามเณร ต้องมีคุณแล้วก็มีอุปนิสัยเพียงพอที่จะเป็นสามเณร ไม่ใช่ว่าไม่มีความรู้ความเข้าใจอะไร แล้วผู้ใหญ่ที่จะอยากให้บวชไม่ใช่เพียงอยาก แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าสามเณรคืออะไร มีความประพฤติเป็นไปอย่างไร
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นห่วงว่าจะไม่มีสามเณร แต่ไม่ห่วงว่ามีผู้ที่ไม่เข้าใจพระศาสนา แล้วก็เอาเด็กมาทำพิธีบรรพชา ใช่ไหม เป็นสามเณรรักษาศีล ๑๐ แต่ไม่มีความเข้าใจใดๆ เลย แล้วจะเป็นทายาทได้อย่างไร ผู้ที่เป็นสาม เณรไม่ใช่ว่าเด็กเล็กๆ ก็มาบวชกัน จะได้สืบทอดพระศาสนา จะได้มีสามเณรต่อไป ไม่ใช่อย่างนั้น จะมีภิกษุหรือไม่มีภิกษุหรือสามเณรก็ตามแต่ จะมีหรือไม่มี ไม่ใช่ให้มีคนที่ไม่เข้าใจธรรมแต่ก็บวช โดยที่ไม่เข้าใจธรรม แล้วก็เข้าใจผิดด้วย แล้วทำลายพระศาสนาโดยที่ว่าไม่รู้ด้วย เพราะคนอื่นใครๆ ก็คิดว่า พระภิกษุก็ต้องรู้ธรรม แต่ถ้าไม่ศึกษาธรรม ไม่ได้ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต แล้วจะมีภิกษุหรือไม่ใช่ภิกษุ สามเณรก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีอัธยาศัยที่จะขัดเกลากิเลส ท่านต้องขัดเกลากิเลส เพราะมิฉะนั้นจะเป็นสามเณรทำไม ขัดเกลากิเลสโดยประพฤติตาม ความประพฤติของพระภิกษุ เหล่ากอของพระภิกษุ ไม่ว่าจะเดินบิณฑบาตด้วย ใช่ไหม เพราะเหตุว่าต้องอาศัยอาหารของชาวบ้าน ก็ต้องมีกิริยาอาการตามข้อความที่ได้บัญญัติไว้แล้วว่า อภิสมาจาระ กิริยาอาการของกายวาจาที่ขัดเกลาเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าอยากให้มีผู้สืบทอด แต่ไม่เข้าใจอะไรเลย แล้วจะสืบทอดอะไร ก็สืบทอดความไม่รู้และการทำลายพระศาสนา
อ.อรรณพ ซึ่งตรงนี้ผมเห็นการณ์ในอนาคตอันใกล้ๆ ว่า ถ้ามีความเข้าใจผิดเช่นนี้แล้ว โดยเฉพาะที่เป็นพระภิกษุด้วย และเห็นว่าอยากจะให้เด็กมาบวชเป็นเณรเยอะๆ แล้วก็ตอนนี้ขาดแคลนคนไม่ค่อยที่จะมาบวช ก็จะตามใจเด็กมากขึ้น ทุกวันนี้ที่เราเคยได้พูดคุยสนทนาแล้ว ก็มีข้อมูลที่ปรากฏ แม้สิกขาบทก็ไม่ได้รักษาตามพระธรรมวินัย ตอนหลังเที่ยงก็เห็นว่าเด็กคงจะหิวก็ให้ดื่มนมอย่างนี้ ก็ไม่ถูกต้องแล้ว หรือในช่วงสงกรานต์
เพราะส่วนใหญ่การบวชสามเณร เขาก็จะเป็นช่วงฤดูร้อน และช่วงสงกรานต์ก็ให้เด็กได้เล่นสงกรานต์อย่างนี้ เหมือนการตามใจเด็ก ให้อยู่ในวิสัยของเด็กได้สนุกสนาน ซึ่งเป็นการทำลายสิกขาบท เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าคิดอย่างนี้ ก็ต้องโอนอ่อนให้อีกๆ เพื่อให้เด็กได้สนุก จะได้มาบวชเณรกัน คิดกันแค่ว่าจะได้มีคนมาบวชเป็นสามเณรเยอะๆ แล้วก็เป็นอย่างที่ท่านอาจารย์กล่าว
ท่านอาจารย์ ไม่ตรงตามความหมายของคำว่าสามเณร เพราะฉะนั้นจะชื่อว่าสามเณรหรือ ก็เรียกกันว่าสามเณร แต่ว่าไม่ใช่สามเณร
อ.อรรณพ จริงๆ ถามอาจารย์วิชัย เพราะจากที่เราเคยสนทนาก็ทราบว่า สามเณรรูปแรกก็คือท่านพระราหุล ซึ่งกลายเป็นเค้ามูลที่ทำให้คนไม่ได้เข้าใจความละเอียดลึกซึ้งของการสะสมบารมีมาถึงแสนกัปป์ของท่านพระราหุล พร้อมแล้วที่จะบวชเป็นสามเณร แล้วต่อไปก็เป็นภิกษุ แล้วก็สามารถที่จะเป็นพระอรหันต์ในที่สุด ก็เลยจับว่าเขาคิดว่าตอนนั้นเหมือนพุทธเจ้า ซึ่งก็คงจะมีความเป็นพ่อแล้วก็ให้ลูกได้มาบวชเป็นเณร คือคนจะมองอย่างนี้
แต่ในความลึกซึ้งของการสะสมปัญญาของท่านราหุล ท่านต้องบำเพ็ญพระบารมี ขนาดได้เกิดเป็นพระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ก็ต้องมีบารมีเยอะ แต่คนที่ศึกษาธรรมแบบผิวเผิน ไม่รู้ตาบอดคลำช้างก็ไม่รู้อย่างไร ยิ่งผิดไปใหญ่เลย ก็เลยคิดว่าเป็นข้ออ้างเวลาโครงการบวชสามเณร เขาจะอ้างเรื่องพระพุทธเจ้าให้พระราหุลบวชเป็นสามเณร ความถูกต้องตามพระไตรปิฎกเป็นอย่างไร
อ.วิชัย เพราะเหตุว่าตามความเป็นจริง ต้องรู้จักว่าสามเณรคืออะไร คือแต่ละท่าน แต่ละบุคคลก็สะสมมาต่างๆ กัน แน่นอนท่านพระราหุลก็สะสมบารมีมาของการที่จะตรัสรู้ธรรมถึงแสนกัปป์ด้วยกัน ดังนั้นการที่บุคคลแต่ละบุคคลฟังไม่ใช่เอาอย่างโดยที่ไม่เข้าใจ ว่าท่านสะสมมามากน้อยแค่ไหน มีปัญญาที่จะประพฤติตามสิกขาบททั้งหลาย แม้จะเป็นสามเณรก็ต้องมีสิกขาบท แล้วก็มีความประพฤติที่ดีงาม ที่จะคล้อยตามพระภิกษุ
ดังนั้นไม่ใช่ว่าเพียงฟังนิดๆ หน่อยๆ ในเรื่องราวในพระไตรปิฎก แล้วคิดว่านี่ไง แต่เข้าใจหรือเปล่าว่าสามเณรคืออะไร ก็ต้องย้อนมาอีกว่า ความประพฤติเป็นไปทั้งหมดที่บุคคลที่จะบวช มีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน อย่างภิกษุก็เช่นเดียวกัน ไม่ใช่ว่าเราฟังในครั้งโน้น บุคคลก็มีศรัทธาที่จะบวช แต่นั่นคือท่าน ท่านมีความรู้ความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่บุคคลที่แม้คิดว่าจะบวช มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมวินัยมากน้อยแค่ไหน รู้จักตัวเองมากน้อยแค่ไหน หรือสามเณรก็ตาม ที่เขามีความเข้าใจหรือเปล่า มีความประพฤติเป็นไปอย่างไร ที่ควรแก่การที่จะเป็นสามเณรหรือเปล่า ทั้งหมดก็ต้องเป็นเรื่องของความรู้ เพราะถ้าความไม่รู้เพียงฟังผิวเผิน ก็กระทำด้วยความไม่รู้ ไม่เข้าใจว่าแม้สามเณรเป็นใคร
อ.อรรณพ แล้วพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์มีพระญาณที่จะรู้การสะสมอยู่แล้วว่า ท่านพระราหุลเป็นชาติสุดท้ายของท่าน แล้วท่านพระราหุลก็สะสมมาอย่างนั้นจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้ เราไปเกณฑ์คน เด็กอยากให้เขามาบวช แล้วก็ให้เขาเป็นทายาทของพระศาสนา มีอันหนึ่งทายาทในพระศาสนานี้คืออย่างไร ข้อความจริง จริงๆ
อ.วิชัย ท่านก็กล่าวถึงพระพุทธศาสนาคืออะไร ก็คือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนั้นทายาทคือผู้รับคำสอนนั่นเอง ก็คือสืบทอดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ถ้าไม่มีการศึกษาพระธรรม และจะมีความเข้าใจธรรมได้อย่างไร และเมื่อไม่มีความเข้าใจในธรรม และจะเป็นทายาทคือผู้รับมรดกคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เมื่อไม่มีความเข้าใจก็สอนก็บอกด้วยความไม่รู้ การที่จะเป็นทายาทคือผู้รับมรดกคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือต้องศึกษาแล้วก็เป็นความรู้ความเข้าใจ จึงจะเป็นทายาทคือผู้รับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นที่บวชกันทุกวันนี้เป็นทายาทหรือเปล่า
อ.อรรณพ ไม่ได้เป็นทายาทในพระธรรมวินัย
ท่านอาจารย์ ถ้าบวชแล้วก็ไม่รู้อะไร ทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
อ.อรรณพ ทำลาย ที่สนทนาไม่ว่าจะประเด็นเรื่องการระดมกันให้เด็กมาบวชสามเณร ก็เป็นตัวอย่างความไม่รู้ที่ลบเลือนพระศาสนา
ท่านอาจารย์ ระดมกันมาเล่นสงกรานต์ นี่หรือสามเณร
อ.อรรณพ เมื่อวานก็ได้ภาพทางไลน์มา เป็นรูปสามเณรกลุ่มหนึ่ง มะรุมมะตุ้มทานอะไรกัน แล้วก็มีของเล่น มีอะไรเยอะ ซึ่งไม่ใช่เลย ไม่ใช่สามเณร ไม่ใช่เหล่ากอของผู้สงบ
คุณรัก จะเห็นถึงสิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นคือความประมาท ความประมาทมากๆ เลย ที่ไม่เห็นถึงความตรง ความลึกซึ้งของพระธรรม
อ.วิชัย โดยมากจะเห็นถึงว่า มีรูปลักษณ์ภายนอกใช่ไหม ครองจีวร แล้วคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม เพราะสะสมที่จะมีความเคารพยำเกรงในผู้ที่ทรงผ้ากาสาวพัสตร์อยู่แล้ว แต่ต้องคำนึงถึงด้วยว่า ความประพฤติเป็นไปของบุคคลผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์สมควรหรือเปล่า เพราะผู้ที่จะทรงอย่างนั้นได้จริงๆ สูงสุดคือความเป็นพระอรหันต์ เพราะเมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว จะเป็นฆราวาสไม่ได้อีกต่อไป ดังนั้นผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์นึกถึงใคร แต่ถ้าผู้ไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย ก็คือทรงไว้แต่ว่าคุณความดีภายในมีหรือเปล่า
ดังนั้นข้อความในพระไตรปิฎก จะแสดงไว้หลากหลายเพื่อเตือน ไม่ว่าจะเป็นภิกษุเองก็ตาม เหมือนข้าวลีบ ใช่ไหม รูปร่างเหมือนข้าวเปลือกเลย แต่ข้างในไม่มีเมล็ดข้าว อันนี้คือเป็นการเตือน ผู้ทรงผ้ากาสาวพัสตร์คือต้องมีคุณของความเป็นบรรพชิตด้วย ดังนั้นสามเณรหรือภิกษุก็ตาม ถ้าบวชด้วยความไม่รู้ไม่เข้าใจทรงผ้า เราเห็นอย่างนั้นเราเข้าใจหรือเปล่า ว่าท่านเป็นผู้ที่ทรงคุณของความเป็นบรรพชิตหรือเปล่า
