009 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๙


    อ.อรรณพ ที่เขาคิดว่าต้องไปสำนักปฏิบัติ เขาคิดว่า ถ้าอยู่อย่างนี้ อยู่กับบ้าน ทำกิจการ มีครอบครัว หรือที่ทำงาน ภาระวุ่นวาย ไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้สติเกิด เพราะฉะนั้นจึงควรจะไปสร้างสติกัน

    คุณรัก คำว่า สำนักปฏิบัติ เราพูดกันรวมถึงวัดด้วย หลายๆ วัดเลยที่พระเองเป็นผู้นำที่จะสอนเกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติเองด้วย

    อ.อรรณพ อันนี้จะโยงไปถึงพระวินัยด้วย

    ท่านอาจารย์ แต่ทั้งหมดที่คุณอรรณพกล่าวแล้วเป็นธรรมหรือเปล่า ที่กล่าวว่าคฤหัสถ์วุ่นวายต้องไปสำนักปฏิบัติ อยู่อย่างนี้ก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ที่พูดมาทั้งหมดใครจะพูด คนที่ไปสำนักปฏิบัติพูดอย่างนี้ แต่ขณะนั้นทุกอย่างที่เขาพูดเป็นธรรมหรือเปล่า ความวุ่นวาย

    อ.อรรณพ เป็นธรรม

    ท่านอาจารย์ ความกังวลใจ ความรู้สึกเดือดร้อน เป็นธรรมหรือเปล่า

    อ.อรรณพ เป็น

    คุณรัก ตรงนี้คนส่วนใหญ่ต้องการสิ่งที่มีแต่กุศล อกุศลรับไม่ได้ ก็เลยพยายามจะไม่ให้มีอกุศล

    ท่านอาจารย์ เขาต้องการสิ่งที่เขาอยากได้ ถ้าเขาเดือดร้อน เขาอยากไม่เดือดร้อน เขาไม่รู้หรอกว่าขณะนั้นเป็นกุศลหรืออกุศล แต่เขาอยากมีความสุข มีความสบาย ไม่เดือดร้อนต่างๆ เรียกว่าเขาไม่รู้จักเลยว่า ระหว่างนั้นทั้งหมดเป็นธรรม ตั้งต้นก็ไม่รู้ว่าเป็นธรรม แล้วจะไปหาธรรมที่อื่น โดยไม่รู้ธรรมที่กำลังปรากฏ และยังไปเข้าใจว่าไปที่นั่นแล้วจะรู้ก็ผิดหมดเลย ไม่ตรงตามเหตุผล

    อ.อรรณพ อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์เปรียบเทียบว่า ถ้าติดกระดุมเม็ดแรกผิด เช่นเข้าใจว่าธรรมรู้ไม่ได้ในขณะนี้ ปฏิเสธความจริงที่ปรากฏ แม้ความวุ่นวาย อกุศล ก็เป็นสภาพธรรมที่รู้ได้ พระองค์ทรงแสดงไว้อยู่แล้วว่า ธรรมที่มีอยู่เยอะก็คืออกุศล ท่านใช้คำว่านิวรณ์ แต่ก็ไม่อยากต้องเอาศัพท์อะไรมาใช้ เพราะฉะนั้นกิเลสอกุศลที่มีอยู่เยอะแยะเลย ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเป็นประการแรกเลยที่ควรจะรู้ แล้วก็ข้ามไป เหมือนกับว่าผิดขั้นแรก ผิดที่ไม่เข้าใจว่าธรรมคือขณะนี้ แล้วทุกอย่างก็ผิดไปต่อเนื่องเป็นโดมิโน

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่รู้จักธรรม จะปฏิบัติธรรมได้หรือ แค่นี้ก็เป็นเหตุเป็นผลแล้ว

    คุณรัก บางคนถึงขั้นสร้างอาคารบ้านเรือนหรือสถานที่จำลองจินตนาการพูดไปถึงขั้นว่านี่คือสวรรค์บนดิน เพื่อให้ทุกคนเหมือนกับว่ามาปฏิบัติอยู่ในสวรรค์ นั่งสมาธิในสิ่งที่สวยงาม วิวทิวทัศน์ทุกอย่างเพื่อที่ให้จิตใจสงบเท่านั้น

    อ.อรรณพ สอดคล้องกับสภาพสังคม การทำงานในขณะนี้ด้วย ซึ่งเราก็เป็นอาชีพ เป็นชีวิตที่เร่งรีบ เป็นชีวิตที่ต้องแข่งขัน ต้องทำงาน ทุกคนจึงต้องการความสบายใจ ความสงบสุข ฉะนั้นเมื่อมีอย่างนี้ คนก็จะแห่กันไป เพราะทุกวันนี้ก็ทุกข์ใจทุกข์กายเยอะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าอย่างนี้ไม่มีทาง และไม่มีวันที่จะเข้าใจธรรม เพราะไม่รู้ว่าสวรรค์คืออะไร ทุกคำที่พูดไม่รู้จักเลยสักนิดเดียว สวรรค์คือที่สวยงามที่สร้างขึ้น นั่นหรือสวรรค์ นี่ก็ผิดไปมากมาย ไม่รู้ว่าสวรรค์คืออะไร มีจริงหรือเปล่า

    อ.อรรณพ มีคำว่า อามิสบูชา ยังสู้ปฏิปัตติบูชาไม่ได้ ปฏิบัติบูชาไม่ได้ ก็เลยจะไปสำนักปฏิบัติ หรือไปทำสิ่งที่เขาเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะบูชาในวันสำคัญของพระพุทธศาสนาบ้าง นิยมกันมากๆ

    ท่านอาจารย์ บูชาความไม่รู้ด้วยความไม่รู้

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ต้องขยายความ

    ท่านอาจารย์ บูชาอะไร บูชาใคร

    อ.อรรณพ บูชาวันเพ็ญเดือน ๖ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ บูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความไม่เข้าใจธรรมอย่างนั้นหรือ นั่นหรือคือการบูชา คิดให้ดี พระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการอะไร ดอกไม้ ธูปเทียน ของหอม หรือว่าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่ออย่างเดียว ทรงพระมหากรุณาให้คนอื่นได้รู้ด้วย เพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ทำตามพระประสงค์ก็คือว่า ศึกษาธรรม เห็นคุณอย่างยิ่งจากการที่เราไม่สามารถจะรู้ได้ด้วยตัวเอง แต่มีผู้หนึ่งที่สละอย่างมาก จนกระทั่งสามารถที่จะทำให้เราเข้าใจได้ ผู้นั้นคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ บูชาพระองค์อย่างนี้ด้วยการศึกษาให้เข้าใจความจริงอย่างนี้ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องการให้เราบูชาด้วยอะไร

    อ.อรรณพ อย่างนี้กลายเป็นว่า วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เช่นวันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา เราจะเห็นกันเป็นที่ครึกโครมว่า จะต้องไปมีการปฏิบัติธรรม หรือมีการนั่งสมาธิ ซึ่งคำว่าสมาธิเราก็ไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ทั้งหมดเพราะไม่รู้ อย่าเอาความไม่รู้ไปบูชา ไม่ได้ต้องการให้เอาความไม่รู้ไปบูชา แต่ว่าเมื่อไรที่เข้าใจธรรม เมื่อไรก็ตามนั่นคือบูชาอย่างยิ่ง เพราะเห็นคุณ มีความรื่นรมย์ที่จากไม่เคยรู้เลย ไม่เคยเข้าใจเลย มาเห็นความจริง ค่อยๆ เข้าใจทีละเล็กทีละน้อยจนประจักษ์แจ้งเมื่อถึงเวลา แต่ไม่ใช่รีบร้อน ทั้งๆ ที่ไม่รู้อย่างนี้ก็จะไปพยายามให้รู้มากกว่านี้ก็เป็นไปไม่ได้

    อ.อรรณพ ท่านอาจารย์หมายความว่า การฟังธรรมแล้วก็ความเข้าใจ เล็กๆ น้อยๆ ในขณะนั้นคือบูชา

    ท่านอาจารย์ นั่นคือบูชา ถ้าไม่เข้าใจเลย ไม่รู้คุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาใครและอะไรบูชา ความไม่รู้บูชา

    คุณรัก ตรงกันข้ามเลย ท่านอาจารย์กล่าวว่าเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย แต่ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่จะเอากิจกรรมเข้ามาจัด เพื่อที่จะหวังให้คนส่วนใหญ่ทำในกิจกรรมสักกิจกรรมหนึ่ง คนเยอะๆ ได้นิดได้หน่อยก็ยังดี

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนากำลังเจริญหรือเสื่อม ต้องตรง

    อ.จริยา ฟังประโยคนี้ ได้นิดได้หน่อยของคุณรักหมายถึงอะไร

    คุณรัก ได้นิดได้หน่อยก็คือว่า ในกิจกรรมนั้นบางทีก็จะแทรกด้วยการสวดมนต์ การนั่งสมาธิ หรือแม้กระทั่งมีพระเทศน์เองก็ตาม บางคนก็สะกิดคำหนึ่งของพระ มาร่วมกิจกรรมได้นิดได้หน่อยกลับบ้านไปทำดีเพิ่มขึ้น คิดกันอย่างนี้

    ท่านอาจารย์ ได้นิดได้หน่อย ได้ความไม่รู้เพิ่มขึ้นหรือเปล่าทีละนิดทีละหน่อย

    คุณรัก สะสมไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ สวดมนต์ พูดคำที่ไม่รู้จักได้อะไร ก็ได้นิดได้หน่อยไปเรื่อยๆ กับความไม่รู้เพิ่มขึ้น

    อ.อรรณพ แล้วเท่าที่เขาคิดว่าได้เยอะๆ ก็ยิ่งได้ความไม่รู้เยอะเข้าไปอีก เมื่อสักครู่คุณรักพูดถึงว่า สำนักปฏิบัติก็อาจจะรวมที่ทางวัดด้วย ที่พระภิกษุเป็นผู้นำในกิจกรรม ก็อยากจะขอโอกาสให้อาจารย์วิชัยได้ร่วมสนทนาว่า การที่ภิกษุตั้งสำนักปฏิบัติ แล้วก็สอนอย่างที่เราสนทนากันวันแรก อย่างที่อาจารย์จักรกฤษณ์บ้าง อาจารย์จริยายกตัวอย่าง จะเป็นการผิดพระวินัย ผิดพระธรรม ซึ่งจะเป็นไปตามพระวินัยตามพระธรรมหรือไม่อย่างไร

    อ.วิชัย ต้องรู้จักพระภิกษุใช่ไหม พระภิกษุก็คือผู้ที่ไม่ใช่คฤหัสถ์ หมายถึงว่าบวชเป็นภิกษุแล้วก็ต้องประพฤติตามพระวินัยบัญญัติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็มีโอกาสที่จะได้ศึกษาพระธรรม และเมื่อมีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมแล้ว พระภิกษุกระทำประโยชน์อย่างยิ่ง ก็คือประกาศคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเผยแพร่ให้บุคคลอื่นได้เกิดความรู้ความเข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากขึ้นเพิ่มขึ้น นี่คือพระภิกษุในธรรมวินัย แต่ถ้าพระภิกษุที่บวชเข้ามาแล้วไม่มีการศึกษาธรรมเลย ไม่มีความรู้ความเข้าใจในพระธรรมเลย และมีความเห็นที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมคำสอน แล้วเผยแพร่ในความเห็นของตนเอง เพราะคำอื่นที่ไม่ใช่คำสอนพระพุทธศาสนาก็คือคำสอนอื่น ไม่ตรงกับคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ดังนั้นเมื่อมีการเผยแพร่คำที่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นโทษอย่างยิ่ง แก่บุคคลที่มาฟังแล้วก็เข้าใจผิด ดังนั้นพระวินัยก็จะแสดงถึงว่าภิกษุก็คือต้องมีกิจ มีหน้าที่ของความเป็นภิกษุ ก็คือ คันถธุระ คือต้องศึกษาพระธรรมและพระวินัยด้วย คือต้องมีความรู้ความเข้าใจ แม้ก่อนที่จะเป็นภิกษุก็ต้องเห็นคุณของพระวินัย เห็นคุณของพระธรรม รู้จักตนเองตามความเป็นจริง จึงจะบวชเป็นภิกษุในธรรมวินัย เพราะชีวิตห่างไกลกันมากระหว่างคฤหัสถ์กับพระภิกษุ ดังนั้นเมื่อไม่มีความรู้ ไม่มีความเข้าใจ แล้วก็เผยแพร่ อย่างเช่นถ้าไม่เข้าใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คิดที่จะมีการที่กล่าวว่าเป็นสำนักปฏิบัติอะไรต่างๆ เหล่านี้ เพราะต้องคิดว่า ที่สำนักนั้นสอนอะไร เห็นไหม ต้องดูว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีหรือเปล่า หรือสอนให้ทำ ให้นั่ง ให้สวดคำต่างๆ ที่บุคคลที่สวดรู้ แล้วก็เข้าใจในคำเหล่านั้นหรือเปล่า เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ใช่มีไว้เพื่อกล่าวตามโดยที่ไม่เข้าใจ แต่มีไว้เพื่อจะศึกษาให้เกิดความเข้าใจอย่างละเอียดอย่างรอบคอบ

    ดังนั้นเมื่อไม่มีความรู้ความเข้าใจทั้งพระภิกษุ ฆราวาสก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจ ก็เลยมีการที่จะประพฤติที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นประโยชน์ของการที่มาสนทนา เพื่อให้รู้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้อง ว่าคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เป็นปริยติก็คือคำสอนทั้งหมด เพื่อรอบรูในความจริงที่มีขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นธรรมที่มีในขณะนี้ ความดี ความไม่ดีต่างๆ ทั้งหมดมีจริงๆ และให้เห็นตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น ความดีแน่นอนต้องมีคุณ สิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายที่เป็นอกุศลธรรมก็ต้องมีโทษแน่นอน เมื่อปัญญารู้ตามความเป็นจริงอย่างนี้ จึงจะเว้นจากสิ่งเหล่านั้นได้ และถ้ามีความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง คิดว่าต้องไปที่นั่นที่นี่จึงจะรู้แล้วเข้าใจได้ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือเข้าใจขณะที่ฟังตรงนั้นเลย สามารถพิจารณาไตร่ตรองแล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้

    ดังนั้นพระภิกษุถ้ามีความเห็นผิดก็ต้องมีโทษ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ต้องมีการสวดประกาศให้ถอนความเห็นนั้นก่อน ถ้ายังมีความเห็นนั้น ไม่ละทิ้งความเห็นนั้นก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ได้ พระวินัยเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส เพื่อที่จะกล่าวเตือนให้บุคคลนั้นได้รู้ ได้สำนึกตามความเป็นจริงว่า ความเห็นผิดนั้นมีโทษทั้งแก่ตนเองด้วย และถ้าเผยแพร่ความเห็นผิดนั้น ก็มีโทษแก่บุคคลอื่นที่คล้อยตามด้วย พระวินัยก็มีส่วนสำคัญรวมถึงธรรมด้วย ที่จะให้รู้เข้าใจว่าประพฤติตามพระวินัย และต้องรู้ธรรม เพื่อที่จะละอกุศลทั้งหมดด้วย เพราะอกุศลเป็นเหตุให้ล่วงพระวินัย

    อ.อรรณพ ปาจิตตีย์แปลว่าอะไร

    อ.วิชัย คือยังกุศลให้ตกไป

    อ.อรรณพ การที่ศึกษาธรรมไม่เข้าใจ ศึกษาผิดแล้วก็ไปเผยแพร่ ที่ว่าเป็นปาจิตตีย์ อาจารย์จะได้อธิบายคำว่า ปาจิตตีย์ แล้วก็ยกอันนี้เป็นตัวอย่างของปาจิตตีย์

    อ.วิชัย อย่างท่านอริฏฐภิกษุ ท่านมีความเห็นผิดในเรื่องของไม่เห็นการที่จะก้าวล่วงคือไม่เห็นโทษของการก้าวล่วงพระวินัย ท่านก็คิดว่าการสัมผัสสตรีไม่มีโทษ ก็คือเป็นเหตุให้มีการสวดประกาศให้ท่านถอนความเห็นนั้น ถ้าท่านยังไม่ถอนความเห็นนั้น แต่เผอิญท่านเป็นต้นสิกขาบทก็เลยยังไม่ต้องอาบัติในตอนนั้น แต่ภายหลังถ้าภิกษุมีความเห็นอย่างนี้ มีความเห็นคล้อยตามแล้วมาสวดประกาศ แล้วไม่ละความเห็นนั้น

    อ.อรรณพ หมายความว่าเห็นแย้งพระธรรมหรือพระวินัยก็แล้วแต่ ทั้งแย้งพระธรรม แย้งพระวินัยเป็นปาจิตตีย์ คือทำกุศลให้ตกไป

    อ.วิชัย ถ้ามีความเห็นผิด ยังกุศลจิตให้ตกไป เพราะถ้าเห็นผิดมากขึ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อกุศลก็ต้องเจริญขึ้น กุศลคุณความดีที่จะเกิดขึ้น จะเจริญขึ้นก็เป็นไปไม่ได้ เพราะมีความเห็นผิด

    คุณรัก ฟังวันนี้แล้วการศึกษาพระธรรมคำสอนเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ แต่ก็ยากเหลือเกินที่จะทำให้หลายๆ ท่าน ชาวพุทธ ชาวไทย ชาวโลกเลยก็ว่าได้ที่จะเข้าใจจริงๆ แล้วก็อยากให้ท่านอาจารย์ได้เมตตา พูดถึงเรื่องของหลายๆ ท่านถ้าเกิดว่าจะตรงไหน จะอย่างไรดี ถึงจะรู้ว่าที่กำลังทำอยู่ ไปวัดนั้นอยู่ทุกวัน จะเปลี่ยนพรุ่งนี้ไม่ไปเลยก็ไม่ได้ เริ่มต้นอย่างไรดี

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ใช่ไหม พูดอย่างไรเราก็ยังไม่ใช่เขา สะสมมาคนละอย่าง เพราะฉะนั้นทางเดียวก็คือว่าเขานั้นแหละเป็นผู้ที่จะพิจารณาว่าอะไรถูก อะไรผิด แล้วจะยังคงยึดถือสิ่งที่ผิดไว้หรือ เห็นหรือไม่ ก็แสดงให้เห็นว่าบางคนแม้แต่สาวกของพวกเดียรถีย์รู้ว่าครูผิด ยังไม่ละทิ้งจนกว่าตัวครูนั่นแหละละทิ้งเมื่อไร ลูกศิษย์ก็ดีใจว่าเราอยากจะทิ้งมาตั้งนานแล้ว คือกิเลสมากมายทุกประการไปหมด ถ้าไม่มีความเข้าใจว่าอะไรถูกอะไรผิด ก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่า แยบยลมากมายเป็นไปในสารพัดอย่าง

    เพราะฉะนั้นอาศัยพระธรรมที่ต้องตรง ชัดเจน ละเอียดเท่านั้นถึงจะเข้าใจได้แต่ละคำ เพราะฉะนั้นเขาเป็นเขา ไม่ว่าใคร หนทางเดียวที่เขาจะเปลี่ยนก็คือว่า เขาสนใจที่จะรู้ไหมว่าความจริงคืออะไร ถ้าเขาไม่สนใจที่จะเข้าใจความจริง บอกเท่าไรก็ไม่ฟัง เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้วเขานับถือใครเขายังไม่รู้เลย ว่าเขามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง หรือมีครูของเขาเป็นที่พึ่ง จนกว่าจะได้ฟังคำ ซึ่งเราสนทนาเรื่องพระธรรม พระวินัย เพื่อให้รู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระมหากรุณา เห็นว่าสัตว์โลกเห็นผิดมากมายหลายแบบเหลือเกิน

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มตั้งแต่ให้ได้รู้ว่า สิ่งที่ถูกต้องคือความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นทางเดียวก็คือว่า เราพูดทั้งหมดแม้แต่การสนทนาของเราจะกี่ครั้งก็ตามแต่ เพื่อให้คนได้เข้าใจถูกต้องตามพระธรรมวินัย เพราะฉะนั้นก็อยู่ที่ผู้ฟังจะพิจารณาว่า จะเห็นว่าสิ่งใดผิดสิ่งใดถูกแล้วจะทิ้งไหม

    คุณรัก บางทีเห็นความสำคัญ แต่อาจจะไม่มากพอที่จะตรงกับตัวเอง แล้วกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ถูก

    ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราไม่หยุดพูด ก็พูดไปจนกว่าคนจะไตร่ตรองเข้าใจ เพื่อประโยชน์ของเขาเอง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเรา เพราะทุกสิ่งก็เพราะเหตุว่าเห็นคุณของพระรัตนตรัย รู้ว่าพระธรรมคำสอนยากแสนยากที่ใครจะได้ฟัง ด้วยความเข้าใจที่ตรงถูกต้องที่ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้นค่อยๆ สะสมความเข้าใจโดยละเอียด โดยไม่ประมาทแต่ละคำให้มั่นคง แล้วก็ความเข้าใจนั้นก็ตรงขึ้น แต่ถ้าเขาไม่เข้าใจหรือเข้าใจเผินๆ ไม่มั่นคง ยังไม่กล้าพอ

    คุณรัก คุณจริยาลำบากใจหรือไม่กับการที่พอเปลี่ยนมาเข้าใจในสิ่งที่ตรง และถูกต้องแล้ว กับเพื่อนๆ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเอง ที่จะอธิบายเพราะเราเปลี่ยนไปเยอะเลยจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้

    อ.จริยา ไม่ลำบากใจเลย มีความสบายด้วย มีความสบายใจ ด้วยเหตุที่ว่า เมื่อเราได้เข้าใจแล้ว เราเองก็ศึกษาพระธรรมจากท่านอาจารย์ ศึกษาด้วยความเบาสบาย เมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วไม่ว่าใครๆ จะบอกอะไร ให้เรากลับไปในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เราทราบว่าไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ทำ แล้วความเดือดร้อนมีไหม สำหรับดิฉันไม่เดือดร้อนเลย ไม่ว่าใครจะว่าอะไรอย่างไร คนในครอบครัวก็มี หรือว่าพี่น้อง หรือเพื่อนบางคนก็พูดก็บอก แต่ดิฉันได้พิจารณาไตร่ตรองด้วยตัวเองแล้วว่า สิ่งนี้คือสิ่งที่ถูกต้องก็ทำ แล้วความเดือดร้อนไม่มี เขาไม่เข้าใจ เขาจะโกรธ ดิฉันไม่โกรธเขา ดิฉันพร้อมที่จะชี้แจงให้ทุกๆ คนฟังไม่ว่าจะเป็นใคร เขาจะโกรธ เขาจะว่าเรา ดิฉันก็พิจารณาเองว่า ก็ถ้าดิฉันเคยทำแบบนี้มาก่อนก็ได้ยินสิ่งเหล่านี้ แม้ว่าจะเป็นคำที่ไม่ไพเราะ ก็คิดว่าก็ไม่เป็นไร แม้เพียงอธิบายแล้ว ในที่สุดอนาคตข้างหน้าเขาจะเข้าใจก็พร้อมเสมอ

    คุณรัก คุณจักรกฤษณ์อึดอัดบ้างหรือไม่กับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ กับการต้องคุยกับคนรอบตัว ในสิ่งที่ตรงไปตรงมา

    คุณจักรกฤษณ์ พอเราทราบความจริง จริงๆ ได้เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์จริงๆ เราก็สามารถจะเห็นได้ว่า ในสังคมรอบข้างก็ทำตามๆ กันมาโดยก็มีความหนักใจเหมือนกัน หนักใจในที่นี้คือ คนไม่รู้เยอะมาก แม้ตัวเราเองเราก็ไม่รู้ แต่ก็รู้นิดหนึ่ง เห็นทางนิดหนึ่งก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่คนอื่นยังไม่รู้ คนในครอบครัวก็เหมือนกัน หนักใจที่ต้องพยายามให้เขาเห็นถูกให้ได้ เพราะโอกาสเราก็จะมีไม่มาก ก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปถึงเมื่อไร ถ้ามีโอกาสก็พยามแนะนำคนรอบข้างให้เข้าใจความถูกต้อง

    เราจะกล่าวได้ว่าสังคมชาวพุทธของบ้านเราเหมือนถูกสะกดจิต ก็ทำตามกันมาโดยไม่รู้ว่านั่นคืออะไร ทำตามโดยคิดว่าน่าจะมีผลอย่างนี้ๆ เหมือนถูกสะกดจิต จนกระทั่งเราได้เห็นพระธรรมที่ท่านสอนอย่างไร เราจึงตื่นขึ้นมา เราทำสิ่งที่ไม่รู้มานานมาก เป็นอย่างนี้เลย ดังนั้นผมต้องฝากชาวพุทธไว้สักนิดหนึ่งว่า ท่านจะทำอะไรอยู่ก็ตาม ตั้งคำถามก่อนที่ทำอยู่คืออะไร ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ ตั้งคำถามให้ชัดๆ ว่าคืออะไร แล้วที่สำคัญก็คือมีในคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ไหม มีไหมที่ท่านให้ทำอย่างนั้นอย่างนั้น อันนี้ตรวจสอบนิดหนึ่ง คือจะทำอย่างไรก็ตามตั้งคำถามว่าคืออะไร เป็นคำสอนของพระพุทธองค์หรือไม่ ถ้าท่านหาคำตอบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะทราบว่าสิ่งใดถูกหรือสิ่งใดที่ท่านทำมาไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนมา

    อ.อรรณพ ผมขอสนทนากับอาจารย์สักนิด ที่อาจารย์แนะนำว่า เพราะฉะนั้นก็ควรที่จะสอบทานกับพระธรรมวินัยที่แสดงไว้ในก็ไตรปิฎกว่า ถูกต้องตรงหรือไม่ พระไตรปิฎกก็ยากมากทั้งภาษา ทั้งเนื้อความ ทั้งอะไร เพราะฉะนั้นถ้าไปอ่านแล้ว หนึ่งก็คืออ่านไม่รู้เรื่อง สองก็คืออ่านแล้วอาจจะคิดไปเอง ซึ่งก็เข้าใจไม่ถูก ผมเลยอยากจะเรียนว่า ต้องเป็นการไตร่ตรองด้วยความละเอียด เคารพพระธรรมอย่างรอบคอบ แล้วจะบุ่มบ่ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจพระธรรม ไม่ใช่ว่าจะหยิบพระไตรปิฎกมาอ่านตั้งแต่หน้าแรกถึงหน้าสุดท้าย อย่างผมเป็นนักวิชาการ ขนาดหนังสือบางอย่างไม่ต้องถึงขนาดพระไตรปิฎก เป็นหนังสือแบบในเชิงอ้างอิง พวกหนังสือเอนไซโคปิเดียอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเราเปิดอ่านเรียงกันอย่างงั้น แต่เป็นข้อความแต่ละข้อความประกอบอะไรอย่างไร แต่พระไตรปิฎก ท่านอาจารย์จะได้โปรดอนุเคราะห์อธิบาย แนะนำการศึกษาข้อความจากพระไตรปิฎกศึกษาอย่างไร ที่จะสอบทานได้ว่าอันนี้ถูกหรือผิด

    ท่านอาจารย์ ไม่พ้นจากทีละคำ ประมาทไม่ได้เลย ปฏิบัติคืออะไร ธรรมคืออะไร สำนักคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทีละคำ แล้วจะรู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด

    อ.อรรณพ เพราะแต่ละคำก็ยังไม่เข้าใจ พอหลายๆ คำรวมกันมาเป็นข้อความ จะไปเข้าใจถูกได้อย่างไร เราก็ต้องมีการศึกษา สนทนา สอบทานกัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าฟังทีเดียวหรือศึกษาตรงนี้ เราผ่านไป เรารู้แล้วเหมือนวิชาการ แต่ก็ต้องฟังอีก ซ้ำอีก เข้าใจอีก ความเข้าใจก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ก็จะไม่เหมือนกับการศึกษาในเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง วัตถุประสงค์ก็ไม่เหมือนกัน วัตถุประสงค์เพื่อละ อันนั้นก็เพื่อจะได้เยอะๆ

    คุณรัก ทางลัดไม่มีเลย

    ท่านอาจารย์ จะไปไหน

    คุณรัก ทางลัดที่จะแม้กระทั่งอยากจะรู้ความจริง

    ท่านอาจารย์ จะรู้ความจริงอะไร ที่ไหน หลงตั้งแต่คำแรกคือทางลัด


    หมายเลข 10905
    12 ก.ย. 2568