010 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๐
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์จะได้โปรดอนุเคราะห์อธิบาย แนะนำหลักการศึกษาข้อความจากพระไตรปิฎก ศึกษาอย่างไรที่จะสอบทานด้วยว่าอันนี้ถูกหรือผิด
ท่านอาจารย์ ไม่พ้นจากทีละคำ ประมาทไม่ได้เลย ปฏิบัติคืออะไร ธรรมคืออะไร สำนักคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทีละคำ แล้วจะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด
อ.อรรณพ เพราะแต่ละคำก็ยังไม่เข้าใจ พอหลายคำรวมกันมาเป็นข้อความ จะไปเข้าใจถูกได้อย่างไร เราก็ต้องมีการศึกษา สนทนาสอบทานกัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าฟังทีเดียวหรือศึกษาตรงนี้แล้วเราผ่านไป เรารู้แล้วเหมือนวิชาการ แต่ก็ต้องฟังอีก ซ้ำอีก เข้าใจอีก ความเข้าใจค่อยๆ เพิ่มขึ้นๆ ก็จะไม่เหมือนกับการศึกษาในเรื่องอื่นอย่างสิ้นเชิง วัตถุประสงค์ก็ไม่เหมือนกัน วัตถุประสงค์เพื่อละ อันนั้นคือเพื่อจะได้เยอะๆ
คุณรัก ทางลัดไม่มีเลย
ท่านอาจารย์ จะไปไหน
คุณรัก ทางลัดที่แม้กระทั่งอยากจะรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ จะรู้ความจริงอะไรที่ไหน หลงตั้งแต่คำแรกคือทางลัด
อ.จริยา พอบอกว่าทางลัดก็คงจะลืมไปแล้วว่า กว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสรู้ใช้เวลานานเท่าไร เพราะฉะนั้นคนสมัยนี้ไม่ต้องหาทางลัดเลย ทีละคำที่ท่านอาจารย์กล่าวก็ยังแสนยาก
อ.อรรณพ จำได้ท่านอาจารย์กล่าวว่า ทางลัดก็คือทางไม่รู้ด้วยความอยากได้ แต่ในพระพุทธศาสนาไม่มีทางลัด เพราะไม่ใช่ทางเพื่อความอยากรู้ อยากได้ มีแต่ทางตรง
ท่านอาจารย์ แต่บางคนบอกว่า พุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว เราไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่ฟังคำของพระองค์ที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว แต่นั่นคือพระปัญญาของพระองค์ แล้วคนที่อ่านและพูดอย่างนั้นมีปัญหารู้อะไรหรือเปล่า ต้องละเอียดมากทุกคำ ต้องเป็นการสนทนาเพื่อให้เขาพิจารณาไตร่ตรองว่า ผิดถูกอยู่ตรงไหน
คุณรัก ไม่ต้องทางลัดก็ได้ แต่กลอุบาย
ท่านอาจารย์ กลอุบายก็คือทางลัด อุบายคือวิธี
คุณรัก ให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก่อน แล้วค่อยๆ เพิ่มความยาก
ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงง่ายหรือยาก เปลี่ยนได้ไหมให้ง่าย เมื่อเปลี่ยนไม่ได้แล้วตัวตนอยากจะได้ง่าย ก็หลงทางไปเลย เพราะฉะนั้นทางหลงมีมากด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ละเอียดรอบคอบ แล้วมั่นคงที่จะเข้าใจทุกคำให้ตรงและชัดเจน อย่างปฏิปัตติต้องเข้าใจ ถ้าเข้าใจแล้วจะไม่มีสำนักปฏิบัติแน่นอน
อ.อรรณพ เรื่องสำนักปฏิบัติผมก็เพิ่งได้ข้อมูลมา เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์กล่าวถึงว่าทั่วโลกก็มี อย่างประเทศใหญ่ๆ ประเทศสหรัฐอเมริกา เพิ่งได้ข้อมูลจากผู้ที่ไปอยู่ที่นั่นบอกว่า มีสำนักปฏิบัติกันเยอะเลยจนทำให้ผู้นี้ ท่าน ก็เริ่มศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมเหมือนกัน แต่ท่านก็จะเริ่มเขวเหมือนกันว่า ขนาดฝรั่ง
ท่านอาจารย์ เขาเป็นใคร
อ.อรรณพ นั่นสิ่
ท่านอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นใครทั้งนั้น เขาเป็นใคร
อ.อรรณพ คือคนไทยเราพบว่า เราไม่ได้ดูที่สาระพระธรรมเลย ถ้าเราเห็นบางทีอาจจะเป็นชาวต่างชาติมาบวช เราอาจจะชื่นชมเขาว่าเขามาบวชนั่นเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความเข้าใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ดูเหมือนกับว่ามาช่วยทำให้น่าสนใจ
ท่านอาจารย์ แค่เขามาบวชก็ไม่ได้คิดเลยว่าเข้าใจธรรมหรือเปล่า ถ้าไม่เข้าใจแล้ว บวชคืออะไร มาทำไม มาบวชทำไม ถ้าไม่เข้าใจธรรม
อ.อรรณพ แต่กลับเป็นที่น่าเห็นใจ ว่าชาวต่างประเทศก็เลยมาตามสิ่งผิดๆ ที่เมืองไทย โดยที่คิดว่าถูก ซึ่งจริงๆ อยากจะขอโอกาสคุณรัก ให้อาจารย์วิชัยได้พูดถึงการทำอะไรตามๆ กันผิดๆ แล้วคนข้างหลังทำตามจนกระทั่งยิ่งเยอะยิ่งเชื่อว่าถูก อยากให้เล่าเรื่องในพระไตรปิฎก เรื่องเกี่ยวกับตาบอดคลำช้าง แล้วตามๆ กัน อันนี้จะตรงมาก คือเพื่อให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ ในพระธรรมวินัยท่านแสดงไว้หมดแล้ว ท่านทรงรู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร
อ.วิชัย แน่นอนถ้าคนตาบอดไม่เห็นว่าช้างคืออะไร ดังนั้นจะรู้จากการที่ตนเองได้จับหรือว่าสัมผัสเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นก็มีตาบอดหลายบุคคลที่ไปสัมผัสช้างจริงๆ แต่ไปสัมผัสในส่วนต่างๆ ของช้าง ก็คิดว่าสัณฐานที่ตัวเองได้สัมผัสนั่นแหละเป็นช้าง ซึ่งก็ถือๆ ตามกันไป ตามความคิดตามความเข้าใจของแต่ละบุคคลๆ ดังนั้นสิ่งนี้ก็เป็นเหตุให้เรามาพิจารณาได้ไหมว่า ที่เราคิดเห็นหรือว่าเชื่อถือ เราฟังคำของใครหรือว่าคิดเอง หรือว่าเข้าใจเอง แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงไว้ว่าอย่างไร
ดังนั้นการสนทนาธรรมเป็นประโยชน์ก็คือว่า ได้เกิดความเข้าใจไหมว่าธรรม แม้แต่เริ่มต้นที่คำแรกว่า ธรรมนี่คืออะไร ฟังแล้วเป็นความเข้าใจไม่ใช่เพียงจำ ไม่ใช่เพียงคิดเองจากฟังไม่กี่คำ แต่ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาจริงๆ ให้เกิดความรอบรู้ ให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ดังนั้นข้อความในพระสูตรต่างๆ ที่จะแสดงความเป็นจริงของเเต่ละบุคคลที่สะสมมาต่างๆ กันออกไป แม้แต่เรื่องของตาบอดคลำช้าง ก็เห็นถึงการที่ความเข้าใจของตนเอง จากการสัมผัส จากความคิด จากการตรึกนึกเอง แต่ไม่ได้รู้ตามความเป็นจริง ไม่รู้จักช้างจริงๆ แต่ว่าเข้าใจในส่วนนั้นว่าเป็นรูปร่างเป็นสัณฐานที่คิดว่าเป็นช้าง
ท่านอาจารย์ ก็ยังมีแถวของคนตาบอด
อ.อรรณพ เรื่องแถวคนตาบอดนี้ยิ่งทรงเตือนมากๆ เลย
คุณรัก เล่านิดหนึ่ง
อ.อรรณพ จริงๆ เรื่องตาบอดคลำช้าง ถ้าเราไปได้อ่านข้อความในพระไตรปิฎกแล้ว ก็อาจจะดูว่าสนุกดี แต่จริงๆ เป็นเรื่องเตือนใจมาก คือพระราชาให้รวบรวมคนตาบอดในเมือง แล้วก็ให้มาจับช้าง จับส่วนไหน ถ้าไปจับที่ง่วงก็บอกว่าช้างก็เหมือนกระบวย เหมือนอะไรอย่างนี้ ก็แล้วแต่จะไปจับส่วนไหนก็จินตนาการเอา เพราะไม่มีจักษุคือตาที่จะเห็นช้างทั้งตัว ฉันใด ผู้ที่ศึกษาข้อความในพระไตรปิฎกเขาก็ไปเจอตรงนี้ เขาก็ไปเจอตรงนี้เขาก็ฉกมาเลย แล้วคิดแบบของเขา เช่นเมื่อวานผมก็เจอข้อความในไลน์ที่เป็นการแสดงตาบอดคลำช้างเหมือนกัน เป็นข้อความในเฟซบุ๊กของท่านหนึ่ง แล้วท่านก็ไปยกข้อความในพระสูตรมา ซึ่งแล้วแต่ใครจะเข้าใจอย่างนั้น ท่านก็บอกนี่ไงให้ทำ ให้พยายาม ให้ตั้งสติ เพราะฉะนั้นต้องทำ ต้องคลำไปแค่ตรงนี้ แต่ไม่ได้ไปเห็นทั้งหมดด้วยจักษุว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็เลยค้านคำว่าอนัตตาไปเลย เป็นอัตตาที่จะต้องไปพยายามที่จะต้องไปตั้งสติ อะไรอย่างนี้ นี่ก็เป็นตัวอย่างตาบอดคลำช้าง หรือไปอ่านแค่ข้อความว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน นี่ไงต้องมีตัวมีตน ไม่ได้ไปอ่านให้ทั่วว่า ตนนี้คือกุศลธรรม ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาไม่ทั่ว แล้วก็ใช้ความคิดของตัวเอง ซึ่งบอดด้วยปัญญา เมื่อบอดด้วยปัญญาก็คิดไปเอง ส่วนแถวคนตาบอดก็แน่นอนถ้าคนไหนไปก็เกาะไปตามๆ กันด้วยความไม่รู้ แล้วก็สำคัญว่าถูก เพราะต่างคนก็ต่างตาบอด ก็เชื่อคนข้างหน้า ก็เกาะๆ ตามๆ กันไป
คุณรัก นึกถึงคำที่ท่านอาจารย์เคยพูดเสมอว่า คำทุกคำในพระไตรปิฎกจะสอดคล้องกันหมดเลย การที่จะหยิบมาในแต่ละอย่างก็ต้องสอดคล้องกันหมด ตรงนี้อยากให้ท่านอาจารย์ขยายความด้วย
ท่านอาจารย์ สำนักปฏิบัติสอดคล้องกับอะไร ถ้าไม่สอดคล้องคือไม่ถูกต้อง เพราะมีปฏิบัติที่เขาคิดว่าทำ แต่เดี๋ยวนี้เห็น ใครทำให้เห็นเกิดขึ้น ได้ยินนี้ใครทำให้เกิดขึ้น เมื่อไม่มีใครทำ เพราะว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยที่จะต้องเป็นอย่างนั้นตามเหตุตามปัจจัย แล้วจะมีปฏิบัติได้ไหม เมื่อความไม่รู้มีจึงทำให้ไปปฏิบัติ และเพราะความไม่รู้จะทำให้เกิดความรู้ได้ไหม ไม่สอดคล้องกันเลยกับคำว่า อนัตตาและธรรม แม้แต่การเกิดขึ้นและดับไปก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นไปทำเพื่ออะไร ถามคนที่ไปทำตั้งหลายคน เขาก็บอกเพื่อสบายใจ ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ผมถือว่าเป็นจุดล่อเลย เพราะคนอยากสบายใจ ยิ่งยุคนี้การงานก็ต้องต่อสู้ ต้องดิ้นรนในการทำมาหากิน เพราะฉะนั้นอยากจะสักช่วงหนึ่ง เขาไม่ได้คิดบรรลุธรรม เขาอยากจะไปเหมือนเขาใช้คำว่าชาร์จแบต ก็คือไปพักผ่อน ไปสบาย
ท่านอาจารย์ ก็บอกโดยตรงว่าไปพักผ่อน ทำไมจะต้องไปปฏิบัติ
อ.อรรณพ คือถ้าไปพักผ่อนอื่น ไปดูหนังฟังเพลงอะไร เขาก็คิดว่าถ้ามาทางพุทธศาสนานี้ก็ดี ก็จะได้ไปทางศาสนาด้วย เอาศาสนามาโยง
ท่านอาจารย์ ก็เข้าใจผิด นั่นไม่ใช่คำสอนของพระพุทธศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วไปทำและอ้าง และตู่ว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนหลงเข้าใจผิด เป็นโทษมาก คือไม่ผิดเฉพาะคนเดียว แต่ยังชักชวนคนอื่นให้ผิดตามไปด้วย
อ.อรรณพ นี่คือโทษ
คุณรัก อยากให้คุณจักรกฤษณ์พูดในประสบการณ์ของตัวเอง หลังจากที่มีความมั่นคงในเรื่องของพระธรรมแล้ว การสะสมใหม่ในการศึกษาอบรม ตรงนี้ อยากให้แชร์ประสบการณ์นิดหนึ่งว่า พอเริ่มต้นแล้วไม่ออกมาแล้ว เพราะอะไร คือทางนี้ตรงแล้ว
อ.จักรกฤษณ์ พอเราเห็นความจริงแล้ว สิ่งที่ไม่จริงเราก็ต้องทิ้งใช่ไหม ท่านอาจารย์กล่าวไว้เสมอว่า ผู้ศึกษาธรรมต้องเป็นผู้ที่ตรง ตรงไม่ใช่ตรงธรรมดา ต้องตรงที่สุด ถูกก็คือถูก ผิดก็คือผิด ถ้ายังถูกๆ ผิดๆ อย่างนี้ไม่ตรง ดังนั้นพอรู้ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างไร หนทางที่จะรู้ความจริงนั้นเป็นอย่างไร เราก็ต้องเดินไปตามทางนั้น สิ่งที่ทำมาแล้วซึ่งไม่ถูกต้อง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ทำแต่ผิด เราก็ต้องทิ้ง เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง ต้องตรงที่สุด
คุณรัก เป็นปัญญาของตัวเองที่ไตร่ตรองและคิดว่า นี่คือถูก อันนี้คือผิด
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ ต้องมีเหตุผลที่สุด คือต้องมีเหตุผลมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สิ่งที่ถูกต้องก็ต้องถูกต้องจริงๆ ต้องอธิบายตอบคำถามต่างๆ ให้ถูกต้องได้ สิ่งที่ผิด เราก็ต้องดูว่ามีเหตุผลอะไรว่าผิด ผิดเพราะอะไร ที่ทำอย่างนั้นมีคำตอบว่าทำไมถึงผิด เมื่อเรารู้คำตอบเราก็ต้องทิ้งไป ถ้ายังก้ำๆ กึ่งๆ นี่ก็ถือว่าไม่ตรง เราก็ต้องหาคำตอบตรงนั้นให้ได้
คุณรัก คุณจักรกฤษณ์ฟังธรรมเยอะขนาดไหน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับ
อ.จักรกฤษณ์ ฟังเมื่อมีโอกาสที่ว่างเราก็ฟัง ไม่จำเป็นต้องไปตั้งเป้าว่าจะต้องฟังเท่านั้นเท่านี้ เมื่อมีโอกาสที่ไม่ได้ทำงานหรือไม่มีภาระเราก็ฟัง ก็อ่านบ้าง ไปตามปกติ เรียกว่าปกติ เพราะไม่ได้ทิ้งชีวิตการทำงานเราก็จะต้องมี ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีโอกาสเมื่อไร เราก็ฟังพระธรรมแล้วก็อ่านในพระไตรปิฎก เพราะอ่านไปด้วยก็มีเนื้อหาที่ท่านแสดงไว้ได้ดีมาก การที่ท่านอาจารย์อรรณพกล่าวว่า พระไตรปิฎกมีความยาก จริงมาก เพราะอ่านเองอาจจะไม่เข้าใจ ดังนั้นเราก็ต้องหาผู้รู้ที่ท่านรู้พระไตรปิฎกทั้งหมด และท่านประมวลเอามาสอนให้เราเข้าใจได้ตามลำดับ ตรงนั้นสำคัญ เพราะต้อง ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แล้วก็ต้องให้แน่ใจว่าท่านผู้รู้นั้น ท่านเอาแต่ในเนื้อหาพระไตรปิฎกมาบรรยาย ซึ่งตรงนี้ต้องคอยระวังมาก ทั่วไปส่วนใหญ่เราไม่ทราบว่าที่ท่านสอนกัน ท่านเอามาจากตรงไหนอย่างไร โดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้ตรวจสอบกับไตปิฎกเอง หรือไม่ได้ไปค้นคว้าเอง เราก็จะไม่ทราบว่าจะเป็นความคิดของท่านเองไหม หรือว่าเอายกมาส่วนไหน หรือบางทียกมาแต่อธิบายผิดไปก็มี
ดังนั้นคนศึกษาพุทธศาสนาต้องเป็นคนที่ละเอียดมากๆ อย่างที่บอกว่าอันแรกที่ต้องตั้งคำถามไว้ก่อนว่า อันนี้คืออะไร อันนี้จริงไหม แล้วก็มาจากคำสอนของพระพุทธองค์ไหม ยึดหลักตรงนี้ไว้ ต้องมีความละเอียดแล้วก็ตรวจสอบตรงนี้ อย่าเพิ่งเชื่ออะไรง่ายๆ เพราะชาวพุทธในบ้านเราเป็นคนไม่ใช่ว่าง่าย เชื่อง่าย คนว่าง่ายก็คืออธิบายถ้ามีเหตุมีผลก็ฟัง อันนั้นถือว่าง่าย ตรง แต่ส่วนใหญ่เราจะเชื่อง่าย
อ.อรรณพ เชื่อง่าย แต่ว่ายาก เชื่อง่ายในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ว่ายากที่จะเข้าใจในสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งที่คุณรักสนทนากับอาจารย์จักรกฤษณ์ ผมก็อนุโมทนาอาจารย์ด้วย ว่าถามถึงชีวิตหลังจากที่ได้เข้าใจธรรม ซึ่งจะต่างกับชีวิตก่อนที่จะได้ยินได้ฟังนี้เลย ผมก็เลยเปิดโปรไฟล์ไลน์ของท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ เป็นรูปท่านนั่งอ่านพระไตรปิฎก แล้วก็มีแบล็คกราวด์คือมีตู้พระไตรปิฎกอยู่แล้วที่บ้าน เป็นโปรไฟล์ในไลน์ที่ดีมากๆ เลย ผมเปิดดูก็เห็นถึงชีวิตที่เปลี่ยนไป จากการที่ไม่ได้เข้าใจถูก มาเข้าใจถูก แล้วเห็นประโยชน์ของชีวิตนี้ ก็คงไม่รู้จะเหลืออีกมากน้อยแค่ไหน ท่านก็ศึกษาพระไตรปิฎกแล้วก็สนทนา แล้วทั้งสองท่านอาจารย์จริยาและอาจารย์จักรกฤษณ์ จากที่เคยเปิดบ้าน หรือจะเปิดบ้านเป็นสำนักปฏิบัติ ก็เป็นเปิดบ้านสนทนาธรรม
คุณรัก ฟังบ่อยๆ เนืองๆ อย่างที่ทั้งสองท่านฟังอยู่ โดยเฉพาะคุณจักรกฤษณ์เองก็มีการตรวจทานกับพระไตรปิฎก ตรงนี้จะเป็นแนวทางเดียวหรือเปล่าสำหรับทุกๆ คนที่จะเริ่มศึกษา
ท่านอาจารย์ ป็นผู้ที่ตรง เราพูดคำนี้บ่อยๆ สิ่งใดถูก ผิดได้ไหม สิ่งใดผิด ถูกได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้
ท่านอาจารย์ ไม่ได้ ใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้ารู้ว่าสิ่งใดผิด ตรงไหมที่จะทิ้งไป ถ้าไม่ตรงคือยังไม่ทิ้ง เห็นไหม ก็รู้นี้ว่าถูกผิดคืออะไร แล้วทำไมไม่ทิ้งผิด ก็แสดงว่าคนนั้นไม่ตรง เพราะฉะนั้นความตรงต่อความจริงจะนำไปสู่ความตรงถึงที่สุด เพราะว่าธรรมเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้นเป็นผู้ที่ละเอียดที่จะพิจารณาตนเองด้วย ถ้ายังมีความไม่ตรง เคยประพฤติปฏิบัติอย่างนี้มา จะละทิ้งเสียได้อย่างไร ไหนจะเพื่อนฝูง ไหนจะเคยทำอะไรทุกอย่าง ก็คือผู้ที่ไม่ตรง เมื่อไม่ตรงจะรู้ความจริงได้ไหม และความไม่ตรงทำลายความตรงของธรรมหรือเปล่า คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องเป็นผู้ที่อาจหาญที่จะทิ้งสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะเหตุว่าถ้ายังเก็บไว้อยู่ก็เจริญขึ้นแน่ๆ ความไม่ถูกต้อง เมื่อไรจะทิ้ง ยิ่งทิ้งยากขึ้นทุกวัน ใช่ไหม ก็เมื่อรู้แล้วว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา การฟังธรรมทั้งหมดกี่ชาติก็ตาม เรื่องอะไรก็ตามทั้งหมด จะนำไปสู่การรู้ความจริงว่า ไม่ใช่เรา จึงเป็นความถูกต้อง แต่ถ้ายังเป็นเรา หวังอย่างนี้ กลัวอย่างนั้นคือไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ เพราะเป็นเราที่ปิดกั้น
อ.อรรณพ ขออนุญาตกราบเรียนถามท่านอาจารย์ มีท่านอยู่อเมริกาตอนนี้ ท่านก็สนใจในการที่จะฟังพระธรรมที่จากพระไตรปิฎกถูกต้องที่สุดมาฟัง แล้วที่ท่านไปเห็นมีการนั่งสมาธิอะไรกันในประเทศสหรัฐอเมริกา ท่านก็เลยมีความสงสัยว่า ถ้าท่านจะฟังธรรมไปด้วย แล้วก็นั่งสมาธิสลับไปด้วยจะดีหรือไม่ เรื่องความก้ำกึ่ง ท่านอาจารย์จะอนุเคราะห์อย่างไรในจิตใจที่ก้ำกึ่ง เพราะผมจะไปบอกว่าไม่ได้ คุณไม่ต้องไม่นั่ง คุณมาศึกษาอยู่ ผมก็คงไม่พูดกัน แล้วก็คิดว่าไม่สามารถที่จะไปบอกเขาได้ ต้องเป็นความเข้าใจเขาเอง แต่ประเด็นคำถามคือว่า ทุกคนสะสมมาทั้งความเห็นผิดและความเห็นถูก แต่อะไรจะมากน้อยไม่ทราบ แต่การที่เขายังฟังธรรมอยู่ แต่เขาก็ยังเหมือนว่าขอไปนั่งสมาธิบ้าง เพราะคนเขาก็นิยมกัน แล้วคิดว่าก็สบายดี ได้พักผ่อนอะไร
ท่านอาจารย์ ความตรงคือสัจจบารมี เพราะฉะนั้นความตรงประการแรกก็คือว่า ฟังธรรมทำไม
อ.อรรณพ เพื่อความเข้าใจ
ท่านอาจารย์ เมื่อเพื่อความเข้าใจและเขาสามารถจะรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิดใช่ไหม
อ.อรรณพ ใช่
ท่านอาจารย์ แล้วยังจะไปสำนักปฏิบัติทำไม
อ.อรรณพ เขาอาจจะไม่ไป แต่เขาก็อาจจะนั่งสมาธิ
ท่านอาจารย์ นั่งสมาธิเพื่ออะไร
อ.อรรรพ เพื่อประกอบ
ท่านอาจารย์ ตรงไหม ประกอบอะไรก็ไม่รู้
อ.อรรณพ ประกอบกัน
ท่านอาจารย์ ประกอบอะไร
อ.อรรณพ ประกอบที่จะเจริญกุศลทุกประการ ศีล สมาธิ ปัญญา
ท่านอาจารย์ สมาธิคือมิจฉาสมาธิ จะเป็นกุศลทุกประการไหม
อ.อรรณพ เป็นอกุศล
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นใครจะรู้ได้ว่าอะไรถูก อะไรผิด รู้ได้ด้วยตัวเองไม่ได้ แต่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะช่วยทุกคนที่เห็นผิด ให้ค่อยๆ เห็นถูกจนหมดความเห็นผิด
อ.อรรณพ ในเรื่องของการทำสมาธิ ถ้ามีความเข้าใจถูกว่านั้นเป็นอกุศลสมาธิ ไม่มีใครนั่งแต่เขาไม่เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ แล้วจะรู้ได้ก็ต่อเมื่อได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือจะรู้ได้เพราะอย่างอื่น ต้องตรงอีกเหมือนกัน ต้องตรงทุกอย่าง ไม่ใช่ตรงเฉพาะเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ตรงเรื่องนั้น นั่นคือไม่ใช่คนตรง ต้องตรงถึงที่สุดจึงจะเป็นบารมี จึงจะเป็นสัจจบารมี ตรงต่อความจริง ไม่ใช่ตรงต่ออย่างอื่น ตรงต่อความเป็นจริง และก็อธิฐานะมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีอะไรที่ประเสริฐมีค่ายิ่งกว่าความเห็นที่ถูกต้อง ซึ่งไม่เคยเข้าใจอย่างนี้มาก่อนเลย แล้วจะทิ้งสิ่งที่มีค่าอย่างนั้นหรือ อยากจะกลับไปสู่ความไม่รู้ กลับไปสู่ความเห็นผิดอย่างนั้นหรือ เพราะฉะนั้นความไม่ตรงก็คือด้วยความไม่รู้และด้วยความต้องการ ทำให้อยากได้แม้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์ ไม่มีค่าก็จะเอาไว้ เอาไว้ทำไม
อ.อรรณพ ความอยากได้ด้วยความไม่รู้ ก็ยังจะไปคว้าสิ่งที่ไม่มีค่าเลย
ท่านอาจารย์ ไม่มีค่าเลย เพราะไม่รู้ว่าไม่มีค่าเลย ถ้ารู้ว่าไม่มีค่าจริงๆ ทิ้งเลย แต่เพราะยังไม่รู้จริงๆ ยังไม่มั่นคง ยังไม่ตรงต่อความเป็นจริง
อ.อรรณพ ยังไม่มีความเข้าใจความรู้จริงๆ ว่า อะไรมีค่าจริงๆ และอะไรที่ ไม่มีค่าและเป็นโทษ จนกว่าปัญญาจากการฟังธรรมของผู้นั้นจะเจริญขึ้น แล้วก็เป็นสภาพที่สามารถจะแยกแยะ แล้วก็เพิ่มความมั่นคงขึ้น
ท่านอาจารย์ จึงเข้าใจคำว่าบารมีจริงๆ เพื่ออะไร เพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ จนประจักษ์แจ้งถึงที่สุด ยากมากที่จะรู้ความจริง ถ้าไม่ฟังไม่มีโอกาสเลย คิดเองเมื่อไรก็ผิด เป็นเราคิดไปหมดเลย แล้วจะถูกต้องได้อย่างไร
อ.จักรกฤษณ์ กล่าวถึงเรื่องสมาธิ ก่อนที่จะได้มาศึกษา ฟังธรรม โดยละเอียดจากท่านอาจารย์ ผมนั่งสมาธิเช้า กลางวัน เย็น เหมือนทานยา เพราะว่าอะไร เพราะว่าติดอันหนึ่ง ติดในสมาธิ เพราะนั่งแล้วมีความสบาย ความรู้สึกว่าสงบ แต่พอออกมาแล้วก็ปกติเลย อาจจะมากกว่าเพราะว่าวุ่นวาย แต่ขณะที่อยู่ในสมาธินั้นแน่นอน เราไม่วุ่นวาย คิดว่าดี ตอนนี้ก็ทิ้งหมดเลย เพราะไม่มีประโยชน์จริงๆ เพราะเห็นแล้วว่าไม่มีประโยชน์ แล้วทำให้เกิดโทษด้วย แทนที่จะต้องมีเวลาว่างเราก็ฟังธรรม เข้าใจพระธรรมไปทีละนิดทีละหน่อยได้ประโยชน์ที่แท้จริง
ถ้าตรงจริงๆ คือเราต้องทิ้งไปเลย ผมว่าไม่เกิดประโยชน์และเป็นโทษด้วยซ้ำไป จะเอามาประกอบกันคงเป็นไปไม่ได้ เพราะความเข้าใจเรายังไม่เพียงพอที่จะไปทำสัมมาสมาธิตาม สัมมาสมาธิที่ถูกต้องก็ต้องมีปัญญาที่เข้าใจพื้นฐานที่ถูก ดังนั้นการที่เราฟังพระธรรมเข้าใจไปทีละนิดทีละหน่อยเกิดประโยชน์จริงๆ ส่วนที่ผิดก็ต้องทิ้งไป เก็บไว้มีแต่โทษอย่างเดียว
ท่านอาจารย์ คุณรัก ทำสมาธิแล้วจะรู้ความเป็นอนัตตาหรือความเป็นธรรมได้ไหม แค่นี้ ทำสมาธิ แล้วจะรู้ความเป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตาได้ไหม
