014 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๑๔
ท่านอาจารย์ ต่อจากนี้ไปเริ่มเข้าใจให้ถูกต้องในขั้นฟังว่า ไม่ใช่เราหรือไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยั่งยืน สิ่งนั้นต้องเกิดจึงมีขึ้น แล้วก็ดับไป ศึกษาธรรมต้องไม่ใช่ว่าเพียงจำ แต่เดี๋ยวนี้คิดถึงหรือเปล่า ผ่านหูไปแล้วก็ยังเป็นดอกไม้อยู่ เพราะฉะนั้นกว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดสามารถจะปรากฏลักษณะจริงๆ ด้วยปัญญาที่อบรมแล้ว ต้องมีความเข้าใจตั้งแต่ต้น เพราะสีเกิดจริงๆ จริงไหม
อ.อรรณพ ต้องเกิด
ท่านอาจารย์ ต้องเกิด แต่ไม่เห็นการเกิด
อ.อรรณพ ไม่เห็นการเกิด
ท่านอาจารย์ เห็นได้ไหม เพราะมีจริง เพราะเกิดจริง
อ.อรรณพ ถ้าปัญญาต้องเข้าใจ
ท่านอาจารย์ ต้องปัญญาเท่านั้นที่จะเห็นได้ แต่เริ่มจากการเข้าใจถูกตั้งแต่ต้น ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ ก็ไปคิดว่าธรรมคือต้องไปนั่ง ไปเดิน ไปยืน ไปนั่ง ไปนอน ไปปฏิบัติอะไร แต่เห็นเดี๋ยวนี้ไม่รู้ ว่าไม่ใช่เรา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมในชีวิตประจำวันทั้งหมดตามความเป็นจริง ซึ่งเขาข้ามไป เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่จะกลับมาเข้าใจพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงตั้งแต่ต้นในขั้นของปริยัติ ต้องรอบรู้จริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เลย เมื่อไรใจจะมั่นคง สิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ตามที่ปรากฏ สิ่งนั้นเกิดแน่นอน ถ้าไม่เกิดก็ปรากฏไม่ได้ เสียงเปลี่ยนมาที่หูแล้ว ถ้าเสียงไม่เกิด มีใครจะได้ยินเสียงไหม
อ.อรรณพ ไม่มี
ท่านอาจารย์ แล้วได้ยินก็ไม่ใช่เสียง ได้ยินต้องเกิดไหม
อ.อรรณพ ได้ยินก็ต้องเกิด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีเสียงกระทบหู ได้ยินจะเกิดได้ไหม
อ.อรรณพ ไม่ได้ และถ้าไม่มีประสาทหู รูปพิเศษที่สามารถกระทบเฉพาะเสียง เสียงจะกระทบอะไร อย่างอื่นได้ไหม
อ.อรรณพ อย่างคนที่เขาหูหนวกตั้งแต่กำเนิด เขาก็ไม่สามารถที่จะได้ยินอะไรเลย
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นจากโลกซึ่งไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น ก็มีสิ่งที่ปรากฏมากมาย โดยไม่มีใครรู้เลยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ลักษณะจริงๆ ของแต่ละหนึ่ง พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น และก็ดับไป นี่คือความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้ คุณอรรณพรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือเปล่า
อ.อรรณพ คิดว่ารู้จัก แต่จริงๆ แล้วไม่รู้จัก ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้
ท่านอาจารย์ ถ้าคนที่ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรู้จักอย่างไร
อ.อรรณพ รู้จัก โดยรู้จักว่าเป็นสิ่งที่มีจริง
ท่านอาจารย์ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าอย่างไร ถ้าไม่ได้เข้าใจอย่างนี้
อ.อรรณพ ก็คิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาเอกของโลก
ท่านอาจารย์ แล้วสอนอะไรศาสดาเอก
อ.อรรณพ สอนให้เป็นคนดี มีศีล
ท่านอาจารย์ แค่เป็นคนดีใครก็สอนได้ ทำไมต้องถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำไม
อ.อรรณพ เพราะสามารถรู้แจ้ง ประจักษ์แจ้งความจริงโดยละเอียด ที่เกิดและดับในขณะนี้ที่ลึกซึ้งที่สุด
ท่านอาจารย์ ไม่รู้แม้แต่ว่า ดีก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ดีก็ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุทั้งหมดเลย ธาตุที่ดี ความเมตตาต่างๆ พวกนี้ ไม่โลภและก็ไม่โกรธพวกนี้ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง ก็เป็นธาตุ แต่ต้องไม่ลืมว่าไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำทั้งหมด ตั้งแต่ตรัสรู้ และทรงแสดงธรรมจนถึงใกล้ที่จะปรินิพพาน เป็นไปเพื่อให้รู้ความจริงว่าไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมทั้งหมด
อ.อรรณพ ที่ท่านอาจารย์กล่าวนี้ก็คือ ได้เข้าใจศาสนาที่เป็นปริยัติศาสนา ก็คือศาสนาคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธศาสนาเพื่อให้เข้าใจความจริงในขั้นการฟัง จนถึงขั้นปฏิปัตติ คือการที่จะรู้ตรงสภาพธรรมอย่างนี้ แล้วก็ปฏิเวธศาสนา
ท่านอาจารย์ ใครรู้
อ.อรรณพ ก็เป็นผู้ที่ถึงปัญญาของท่าน
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เรา ใช่หรือไม่ ไม่ใช่ใครสักคน ใช่หรือไม่ แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริงคือความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ต้องมั่นคงทุกอย่าง ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีลักษณะเฉพาะแต่ละอย่าง โกรธมีจริงๆ ไหม
อ.อรรณพ มีจริงๆ
ท่านอาจารย์ ติดข้องต้องการ แสวงหาสุข มีจริงไหม
อ.อรรณพ มีจริง เป็นแต่ละอย่าง
ท่านอาจารย์ ไม่ใช่เราแล้ว
อ.อรรณพ เป็นความจริงแต่ละอย่างที่เกิดขึ้น
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นขณะนี้เริ่มเข้าใจธรรม เข้าใจมีจริงๆ หรือเปล่า
อ.อรรณพ ขณะที่เข้าใจขณะนี้ต้องมีจริง
ท่านอาจารย์ เป็นธรรมหรือเป็นเรา
อ.อรรณพ เป็นความจริง เป็นธรรมไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักตัวความเข้าใจ เห็นไหม ตัวเห็น ตัวได้ยิน ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่บอกว่าขณะนี้เห็น แต่ธาตุเห็นก็เกิดขึ้นและก็ดับไปแล้ว เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจอย่างละเอียดยิ่ง ว่าแม้ธรรมจะเป็นสิ่งที่มากมายมหาศาลหลากหลาย แต่ก็จำแนกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แม้มีจริงแต่ก็ไม่รู้อะไร แข็ง เราเอามือจับ แข็งก็ไม่รู้ว่าใครมาจับ แต่ถ้าไม่มีธาตุรู้ แข็งปรากฏไม่ได้ เมื่อไร เมื่อกระทบแข็ง เพราะฉะนั้นที่กายก็มีรูปพิเศษอีกทั่วทั้งตัว ที่สามารถจะกระทบเย็นบ้าง ร้อนบ้าง อ่อนบ้าง แข็งบ้าง เป็นเราหรือเปล่า
อ.อรรณพ ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ แข็งเป็นเราหรือเปล่า
อ.อรรณพ แข็งก็ไม่ใช่เรา
ท่านอาจารย์ รู้แข็งเป็นเราหรือเปล่า
อ.อรรณพ สภาพรู้แข็งก็เป็นเพียงสภาพรู้
ท่านอาจารย์ พูดได้ใช่ไหม
อ.อรรณพ พูดได้ตามที่ฟัง แต่ยังไม่ถึงขั้นที่ไม่มีเรา แต่สภาพรู้กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
อ.อรรณพ นั่นคือการประจักษ์แจ้ง
ท่านอาจารย์ จากขั้นที่ฟังแล้วต้องอบรมเจริญปัญญา จากปริยัติเป็นปฏิปัตติ หมายความว่าความเข้าใจในการเริ่มถึงเฉพาะลักษณะที่กำลังเข้าใจ ขณะนั้นหนึ่ง จึงจะสามารถเห็นการเกิดขึ้นและดับไปได้ จนกว่าจะแทงตลอด เป็นเรื่องที่เหมือนเราสรุปคำสอน ๔๕ พรรษาสั้นๆ ยากแสนยากที่จะเข้าใจตามได้ เพราะฉะนั้นก็ต้องมีความอดทน ขันติบารมี ที่จะฟังเพียงเท่านี้ก็รู้ว่า ถ้าไม่ได้ศึกษาอย่างมั่นคงจริงๆ จะไม่เข้าใจ และถ้าศึกษาเผินๆ ไม่ใช่ด้วยความเคารพที่จะเข้าใจไม่คลาดเคลื่อน ก็จะตีความไปอย่างอื่น ซึ่งคลาดเคลื่อนทำให้พระศาสนาก็ไม่ดำรงอยู่ต่อไป
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็มีโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้เริ่มเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาคืออย่างไร ก็เป็นเรื่องของความรู้ความเข้าใจตั้งแต่ขั้นปริยัติ ที่จะรู้ในแต่ละคำๆ จนกว่าจะรู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วกว่าจะรู้ชัดว่าสิ่งนั้นเป็นธรรมที่ไม่ใช่เราแต่ละอย่างๆ นี่ก็คือพระพุทธสาสนา
เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงว่า ถ้าเข้าใจผิดก็เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา คือความเข้าใจผิด ความเห็นผิด จะใช้ทำอะไรก็ได้ แต่คำในภาษาบาลีท่านใช้คำว่า มิจฉาทิฎฐิ อยากให้อาจารย์คำปั่นได้กล่าวคำนี้ด้วย เพราะบางทีคนก็เอาไปใช้กันผิด เช่น คนนี้มีทิฏฐิมาก เหมือนคนที่ดื้อรั้น คนที่ไม่ฟังใคร อะไรอย่างนี้ ก็จะไปใช้กันผิด
อ.คำปั่น ก็เป็นการเริ่มศึกษาธรรมในแต่ละคำตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงทิฏฐิ เป็นคำกลางๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะเห็นถูกหรือว่าเห็นผิด ถ้าเป็นความเห็นผิดก็มิจฉาทิฏฐิ เป็นความเห็นที่ผิดเป็นความเห็นที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เป็นความเห็นที่ไม่ตรงตามความเป็นจริง ซึ่งในอรรถกถาธรรมสังคณีปกรณ์ ก็มีคำอธิบายที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลอย่างยิ่งว่า ชื่อว่า มิจฉาทิฏฐิ เพราะเป็นความเห็นที่ผิด เป็นความเห็นที่บุคคลผู้มีปัญญาเกลียด เพราะนำมาแต่ความพินาศ
นี่ก็แสดงความชัดเจนว่าเป็นความเห็นที่เป็นอันตราย เป็นโทษอย่างยิ่ง เพราะไม่ตรงตามความเป็นจริงของธรรม ซึ่งก็ต้องไม่ลืมว่า มิจฉาทิฏฐิ ก็เป็นธรรมที่มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย นี้คือความเห็นผิดคือมิจฉาทิฏฐิ แต่ถ้าเป็นความเห็นที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง ก็จะตรงข้ามกันเลย เป็นความเห็นที่ถูกต้องที่เรียกว่า สัมมาทิฏฐิหรือว่าปัญญานั่นเอง เป็นความเห็นที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงของธรรม การที่มีโอกาสได้ยิน ได้ฟัง พระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ก็เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาหรือว่าสัมมาทิฏฐินั่นเอง เป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะมีโอกาสได้ฟังคำจริงที่จะทำให้ปัญญาเจริญขึ้น เป็นหนทางที่จะทำให้ปัญญาค่อยๆ เจริญขึ้น ซึ่งจะเป็นไปเพื่อทำลายความเห็นผิดที่สะสมมานานแสนนานในสังสารวัฏฏ์ได้
อ.อรรณพ จะได้เข้าใจ ไม่อย่างนั้นเอาไปใช้กัน ใช้คำว่า ทิฏฐิ แล้วก็ดื้อรั้นไม่ฟังใคร ไม่ใช่ แต่ทิฏฐิคือความเห็น ความเห็นผิดก็มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นถูกก็สัมมาทิฏฐิ อกุศลธรรมก็มีมากมายหลากหลายเลย สิ่งที่เป็นกิเลส อกุศลธรรม แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงถึงโทษที่มากที่สุดของอกุศลธรรมก็คือ ความผิด
ผมก็ได้มีข้อความในขุททกนิกายอิติวุตตกะ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสให้เห็นถึงโทษที่ร้ายแรงของมิจฉาทิฏฐิไว้สั้นๆ ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตไม่พิจารณาเห็นธรรมอย่างอื่น ที่เป็นธรรมอย่างเอก ที่มีโทษมากเหมือนมิจฉาทิฏฐินี้เลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทษทั้งหลายมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างยิ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์ว่า ลักษณะสภาพของ มิจฉาทิฏฐิ มีลักษณะสภาพอย่างไร และทำไมจึงเป็นสภาพผู้มีโทษอย่างยิ่ง อย่างร้ายแรงที่สุด ในบรรดาอกุศลธรรมทั้งหลาย
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริง แต่ไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของสิ่งนั้น แล้วมีโอกาสไหมที่จะได้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ถ้าเข้าใจผิด
อ.อรรณพ ไม่มีเลย เพราะถ้าไม่รู้และยังรู้ว่าไม่รู้ยังมีโอกาส แต่ถ้าเห็นผิดแล้วคิดว่ารู้แล้ว
ท่านอาจารย์ คิดว่าหลายท่านก็คงมีประสบการณ์เกี่ยวกับความเห็นผิดที่ชัดบ้าง ทุกคนพอที่จะมองเห็นได้ว่าเป็นความเห็นผิด
อ.อรรณพ เชิญอาจารย์จักรกฤษณ์
อ.จักรกฤษณ์ ความเห็นผิดแรกก็คือความเป็นเรา ที่คนส่วนใหญ่ก็จะเห็นผิดอย่างนี้ว่า ตัวเรามี เราสามารถที่จะไปทำสิ่งใดก็ได้ เพราะในโลกปัจจุบันจะเห็นได้ว่า เขาจะต้องมีการตั้งเป้าหมาย และการที่เราจะต้องไปลงมือทำ ก็มีผลสำเร็จอันนั้นเป็นสูตรตามที่เข้าใจกัน แต่ตรงนี้เป็นความเห็นผิดที่ทำให้เกิดความเป็นเราขึ้นมา แล้วก็คิดว่าน่าจะทำได้ ซึ่งค้านจากคำสอนของพระพุทธองค์ที่ท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ตรงนี้ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง เป็นตัวอย่างหนึ่ง
อ.อรรณพ เห็นผิดว่าเป็นตัวเรา
อ.จักรกฤษณ์ ใช่
ท่านอาจารย์ ก็เป็นกันทุกคน ใช่ไหม เพราะฉะนั้นความเห็นผิดที่ว่าเป็นเรา ก็เป็นความเห็นผิดขั้นต้นธรรมดา ใช้คำว่า สักกายทิฏฐิ กายะหมายความถึงสิ่งต่างๆ ประชุมรวมกัน ก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นี่เป็นของธรรมดา เพราะฉะนั้นจึงมีคน มีสัตว์ มีโต๊ะ มีเก้าอี้ เพราะยังไม่เข้าใจว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเพียงแต่ละหนึ่งซึ่งมารวมกัน ก็ทำให้เข้าใจว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่ความเห็นผิดอย่างนี้ก็เป็นปกติ แต่นำมาซึ่งความเห็นผิดยิ่งกว่านี้อีก เพราะความมีเรา พอเริ่มมีความมีเรา มีความต้องการมากมายเกิดขึ้นเพื่อเรา บางคนก็เห็นผิดว่า ทำชั่วคงไม่ได้ผลหรอก ที่จะได้สิ่งต่างๆ ที่ไม่ดี จึงได้ทำชั่ว
เพราะฉะนั้นก็เห็นผิดว่า เหตุกับผลไม่ตรงกันเสียแล้ว ใช่ไหม ถ้าเป็นคนที่เห็นถูกธรรมดาๆ ก็อาจจะรู้ว่าดี เป็นเหตุนำมาซึ่งความสุข ความเจริญ ไม่นำโทษมาให้เลย แต่เพียงเห็นว่าดี ก็จะไม่ได้ทรัพย์สมบัติเงินทอง ถ้าทุจริตก็ได้ทรัพย์สมบัติเงินทองจึงทำทุจริต นั่นคิดเห็นอย่างไร เขายังคงเห็นไหมว่าทุจริตคือสิ่งที่จะนำความไม่ดี ความชั่วมาให้ ผลที่ไม่ดีมาให้ เพราะถ้าเห็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ทำ เห็นไหม ก็เริ่มจากความเห็นผิดที่จะคลาดเคลื่อนไปทีละเล็กทีละน้อยๆ จากความเห็นผิดว่ามีเรา เพราะไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์แสดงว่า ความเห็นผิดที่เป็นปกติเป็นสามัญก็คือ เห็นว่าไม่มีตัวเรา เพราะเราไม่รู้ว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวตอนต้นว่า พระศาสนาเป็นไปเพื่อที่จะเข้าใจว่าเป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่เรา เมื่อรวมกันแล้วนี่เป็นตัวเรา คือสักกายะ เป็นตัวเรา แล้วก็มีความเห็นผิดว่า มีตัวเรา มีแขน มีขา มีเรา ใครบอกว่าไม่มี ก็บอกว่านั่งอยู่ มีแน่ๆ ใช่ไหม ก็เป็นความเห็นผิดพื้นฐานเบื้องต้น แต่จะนำมาสู่ความเห็นผิดที่มากกว่านั้นอีกเยอะแยะมากมาย นี้ก็เป็นลักษณะของความเห็นผิด
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีความรักตัว จะมีความเห็นผิดเพิ่มขึ้นอีกมากมายหรือไม่ แต่เพราะมีตัวด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นเรา ก็ต้องการให้ตัวที่เข้าใจว่าเป็นเรามีแต่ความสุข มีแต่ทรัพย์สมบัติ มีแต่เงินทอง มีทุกสิ่งทุกอย่าง ลาภ ยศ สรรเสริญ สักการะ แต่ถ้าจริงๆ แล้วก็คือว่า ถ้าเข้าใจถูกต้องจริงๆ ความเห็นผิดค่อยๆ น้อยลง ความชั่วทั้งหลายก็ลดน้อยลง แต่เพราะเหตุว่าความเห็นผิดว่ามีเรา ก็ทำให้ความเห็นผิดอื่นๆ ติดตามมาอีกมากมาย เห็นผิดว่ามีผู้สร้าง ใช่ไหม หรือเห็นผิดว่า ทำอย่างนั้นอย่างนี้แล้วก็จะได้ผล เยอะเลย
อ.อรรณพ อันนี้มีสองมุม สองประเด็นว่า บางทีเขาก็บอกว่า ความเห็นผิดก็เหมือนจะไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนอะไร คนก็มีความเห็นผิดในเรื่องของพุทธศาสนา ที่เขาคิดว่าเขาจะต้องไปอยู่ในสถานที่เงียบๆ แล้วอาจจะคิดว่าเขาไปปฏิบัติธรรมอย่างนั้น อาจจะไปถือศีลหรือว่าอาจจะไปทำกรรมวิธีต่างๆ แต่เขาก็ไม่ได้มารบกวนสังคมอะไร
ท่านอาจารย์ แต่รู้ไหมว่า อันตรายอย่างยิ่ง ยิ่งกว่าความเห็นผิดอื่น เพราะว่าทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คิดว่านั่นคือคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระองค์ไม่ได้สอนเลย แต่ไปคิดว่าพระองค์สอน ถ้าไม่คิดว่าพระองค์สอน เขาก็จะต้องบอกว่าเขาชอบไปอยู่อย่างนั้นเอง ใช่ไหม แต่ถ้าถามว่าไปอยู่อย่างนั้นทำไม จะตอบว่าอย่างไร เพราะชอบหรือว่าเพราะคิดว่าจะไปดับกิเลส
อ.อรรณพ มีอกุศลธรรมอยู่ ๓ อย่างที่ดูแล้วคล้ายๆ กัน แล้วบางอย่างก็ดูปนๆ กันไปก็คือ ความติดข้องพอใจอย่างหนึ่ง ความเห็นผิดอย่างหนึ่ง แล้วก็ความไม่รู้อีกอย่างหนึ่ง กราบเรียนท่านอาจารย์ได้แสดงความต่างกันของ ๓ อย่างนี้
ท่านอาจารย์ คุณอรรณพเห็นดอกไม้
อ.อรรณพ เห็น
ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่า แท้ที่จริงเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ติดข้องในดอกอะไร
อ.อรรณพ ในดอกสีม่วงอ่อน
ท่านอาจารย์ เห็นไหม ต้องการไหม
อ.อรรณพ ต้องการให้มีการประดับประดา
ท่านอาจารย์ แสวงหาไหม
อ.อรรณพ จัดหามาได้
ท่านอาจารย์ พอได้มาแล้วเป็นอย่างไร
อ.อรรณพ ยินดี พอใจ ติดข้อง
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างในบ้าน ทุกอย่างในชีวิต ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่รู้เลยว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ของใคร ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทุกอย่างเกิดขึ้น และดับไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นตายจากโลกนี้ ใครก็รู้ว่าเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปไม่ได้เลย แม้แต่ร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สามารถที่จะตามไปได้เลยสักอย่าง แต่ระหว่างนั้นก่อนจะตาย ก็มีความยินดีพอใจในสิ่งซึ่งวันหนึ่งต้องจากแน่นอน ต้องพลัดพรากแน่นอน แล้วถ้ามีปัญญามากขึ้น กำลังพลัดพราก จากเห็นเป็นไม่เห็น จากได้ยินเป็นไม่ได้ยิน จากคิด คิดหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างแสนสั้น
เพราะฉะนั้นเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง เพราะไม่รู้ ต้องการความสุขมากมายเท่าไรก็ไม่พอ เพราะไม่รู้ว่าแท้ที่จริงชั่วคราว สุขจากอะไร จากเห็น ไม่ได้เห็นตลอดเวลา เพราะฉะนั้นสุขจากเห็นหมดแล้ว สุขจากเสียงเพลงเพราะๆ ก็ไม่ได้ตลอดเวลา แสนสั้นก็หมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจถูกอย่างนี้ก็จะเป็นผู้ที่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงอะไรเป็นเหตุนำมาซึ่งสิ่งที่ปรากฏให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ซึ่งเราเรียกว่าลาภบ้าง ยศบ้าง สรรเสริญบ้าง สุขบ้าง แต่ความจริงก็คือว่า เป็นสิ่งที่เพียงมีปัจจัยเกิดขึ้น ใครก็ไปทำให้เกิดไม่ได้ สิ่งใดที่มีปัจจัยจะเกิดขึ้นเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นตามปัจจัยที่ได้ทำไว้ นี่ก็ลึกลงไปอีก แต่เราจะพูดถึงความเห็นผิดเพราะความไม่รู้ ซึ่งมากมายมหาศาลจากการที่เพราะไม่รู้จึงติดข้องว่าเป็นเรา แล้วก็แสวงหาต่างๆ เพื่อเรา จนกระทั่งคลาดเคลื่อนไปจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งทำให้ชาวพุทธทุกวันนี้หลงผิด ไม่รู้เลยว่าเป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ใช่ หรือเป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อ.อรรณพ ค่อยๆ เห็น ค่อยๆ เข้าใจลักษณะของความเห็นผิด ความไม่รู้แล้วก็ความติดข้อง อันนี้ก็เรียกว่าเป็นเบื้องต้นจริงๆ ที่เราจะได้มีโอกาสได้ยิน ได้ฟังคำสอน ในพระพุทธศาสนา และในการแสดงถึงลักษณะของอกุศลธรรมที่มีโทษมากก็คือความผิด ซึ่งจะสมกับที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ความเห็นผิดเป็นอกุศลธรรมที่ร้ายแรงที่สุด
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นชาวพุทธ เห็นค่าของพระธรรมที่ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นประโยชน์คุณค่าสูงสุด จะไม่ละเลย การที่จะฟังพระธรรมเพื่อเข้าใจ และก็มีหลายท่านทีเดียวที่ได้เห็นประโยชน์แล้ว และก็ศึกษาพระธรรม จากบรรดาท่านที่ไม่ฟังตั้งแต่ต้นไม่ยอมฟัง หรือท่านที่ฟังบ้างก็บอกว่าเรื่องธรรมดา ไม่เห็นตื่นเต้นที่จะได้ลาภยศอะไร จนกระทั่งบางท่านก็คิดว่า ไม่มีประโยชน์เลย เราก็มีความสุขสบายดีแล้วเกิดมาชาตินี้ จะต้องมารู้อะไรที่มันลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะเขาไม่เห็นประโยชน์ แต่ในบรรดาผู้ที่เห็นประโยชน์ ทราบว่าคุณไชยยศเป็นท่านหนึ่งที่ได้เห็นประโยชน์ของพระธรรม แล้วก็ได้ศึกษามามากด้วย ขอทราบประสบการณ์
คุณไชยยศ จากที่ได้มาถึงจุดที่พระพุทธศาสนาสอนอะไร ผมคิดว่าก่อนจะไปถึงตรงนั้น แค่ระหว่างรู้กับไม่รู้ รู้ต้องดีกว่าแน่ แล้วระหว่างรู้ถูกกับรู้ผิด แน่นอนก็ได้คำตอบทั้งหมด เพราะรู้ถูกย่อมดีกว่าแน่ และนอกเหนือจากรู้ถูกว่า การทำ การให้ทาน การมีศีล ก็ต้องดีแน่ แต่พุทธศาสนาไปกันถึงที่สุดว่า เรามีปัญญาที่จะรู้ถึงว่าในระหว่างให้ทานก็ดี หรือรักษาศีลก็ดี ไม่ใช่เรา แต่เป็นสภาพที่ดีงาม ทั้งหมดก็จบลงตรงที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมเป็นอนัตตา อย่างที่ท่านอาจารย์จักรกฤษณ์ได้เรียนไปแล้ว ถ้าเราเพียงแต่รู้ว่าทุกอย่างเป็นธรรม และธรรมเป็นอนัตตาได้ทุกขณะ ผมคิดว่าคำตอบอยู่ไม่ไกลแล้ว แต่ความติดข้องช่างมหัศจรรย์มาก ติดได้ทุกเรื่อง ติดได้ทุกอย่าง ติดได้ทุกเวลา
ผมเพิ่งมีสิ่งที่เกิดกับตัวเองสดๆ ร้อนๆ คือตาข้างขวามองไม่เห็น เราก็ได้ศึกษาธรรมว่า กิเลสตัณหาทั้งหลาย เกิดมาจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น ไม่เห็นก็ดีเหมือนกัน แต่ก็ต้องไปหาหมอเพราะอยากเห็น ผมอยู่ในครอบครัวที่เป็นผู้ชายส่วนใหญ่ ประเพณีอย่างที่พูดกันมาบวชตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ตัวผมเองก็ไม่เว้น จนผมถามว่าบวชไปทำไม บวชเพื่ออะไร ก็เป็นประเพณี ผมมีลูกชายสองคน ผมดีใจมาก เขาไม่บวช แต่เขาหันมาสนใจธรรม ศึกษาธรรม และนี่คือสิ่งที่คิดว่า ถ้าเรารู้ความจริง ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะมีอะไรมีค่ายิ่งกว่านั้น เป็นบุญแน่นอนที่ท่านอาจารย์กล่าวเสมอว่า คงทำบุญแต่ชาติปางก่อนมา ได้มีโอกาสฟังพระธรรม ได้มีโอกาสฟังท่านอาจารย์สุจินต์ โดยบังเอิญจริงๆ
อ.อรรณพ ผมสนใจอยู่เลยว่า ท่านได้ยินได้อย่างไร
คุณไชยยศ ผมเป็นคนตื่นเช้า ก็ฟังวิทยุเช้าๆ วันหนึ่งก็ได้ยินเสียงท่านอาจารย์
อ.อรรณพ ไม่ได้มีใครแนะนำ
คุณไชยยศ ไม่มี ไม่มีเลย ไม่มี ฟังไม่รู้เรื่องเลย อาจารย์ก็ไปตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนจิต ไปสัมปฏิฉันนะไป ฟังไม่เข้าใจเลย
อ.อรรณพ แต่เผอิญไปฟังตอนนั้นพอดี
อ.ไชยยศ แต่สุ่มเสียงน่าฟังมาก ก็ตามมาเรื่อยๆ ตามมาจนทุกวันนี้ ไม่มีวันไหนเลยที่ไม่ได้ฟัง อยู่ที่ว่าฟังกี่รายการ ก็เป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์อย่างมหาศาล
