008 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๘
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นการเข้าใจแต่ละคำว่าจิตคืออะไร ไม่ใช่ว่าจิตมี ๘๙ ประเภท แต่ไม่รู้ก่อนว่าจิตคืออะไร แล้วเดี๋ยวนี้จิตอยู่ไหน ตำรากล่าวถึงความละเอียดของจิต ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่ไม่ใช่เพื่อให้เราไปจำหรือว่าไปท่อง แต่เพื่อเข้าใจแต่ละคำให้ชัดเจน แม้แต่ธาตุรู้เดี๋ยวนี้ยังไม่เปิดเผยเลย ใช่ไหม ธาตุที่เป็นใหญ่ เป็นประธานในการที่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เฉพาะที่กำลังปรากฏ ถ้าเสียงยังไม่เกิด จิตจะรู้เสียงที่ยังไม่เกิดได้หรือไม่ เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเกิดจึงปรากฏ และถ้าไม่มีธาตุรู้เสียงที่ปรากฏเสียงก็ดับไป โดยไม่มีการรู้ว่าเป็นเสียง
ด้วยเหตุนี้เราได้ยินคำว่า จิต ชินกับคำว่าจิต ชินกับคำว่าใจ แต่ไม่ได้รู้จริงๆ โดยความถูกต้องว่าคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นเราหรือไม่ เริ่มเข้าใจถูกต้องว่าธรรมทั้งหลาย สิ่งที่มีจริง ธาตุรู้มี แต่ไม่ใช่เรา เพราะเป็นธาตุรู้ ซึ่งเป็นใหญ่เป็นประธาน แต่ละคำจะทำให้เราค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ และรู้ว่าถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครที่จะรู้ความจริงเดี่ยวนี้ได้เลย
คุณรัก ส่วนใหญ่ก็จะสอนในลักษณะที่เมื่อสวดมนต์แล้วจะได้อะไร ทำบุญจะได้อะไร คงไม่มีใครมานั่งจ้ำจี้จ้ำไช มาพูดถึงเรื่องของสิ่งที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนี้ แข็ง อะไรต่างต่าง สี ซึ่งหลายคนก็คงจะเข้าใจยาก เพราะเห็นสิ่งที่ปรากฏจริงๆ เดี๋ยวนี้
ท่านอาจารย์ แล้วใครคือคนนั้นที่คุณรักพูดถึงเมื่อสักครู่นี้ ถ้าไม่มีใครมาแสดงโดยละเอียดอย่างนี้ ใช่ไหม บางคนอาจจะคิดว่าจ้ำจี้จำไช พูดสิ่งเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่คำพูดนั้นมีประโยชน์ไหม ซ้ำแต่ละครั้งนี้มีประโยชน์ให้เข้าใจขึ้น หรือว่าทำให้ไม่น่าสนใจ เพราะความจริงมีก็ไม่รู้ กว่าจะรู้ได้ทั้งๆ ที่ซ้ำนานเท่าไร เพราะสะสมความไม่รู้มานานเท่าไร เพราะฉะนั้นจะคิดถึง ใครนะช่างมาทำให้เราต้องจำ หรือต้องงงมากมายใหญ่โต คนนั้นคือใคร แค่นี้คนอื่นจะตอบได้ไหม ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรม แต่คนที่เข้าใจธรรมรู้เลยใคร
อ.จักรกฤษณ์ ผู้เดียวที่ประเสริฐที่สุด
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง
อ.จักรกฤษณ์ ประเสริฐสูงสุด คนไม่รู้อย่างไรก็ไม่รู้ ที่สอบถามถึงประสบการณ์ก็อยากให้นักปฏิบัติได้ลองฟังดู เพราะว่าผมก็นักปฏิบัติตัวยงคนหนึ่งในอดีต แล้วก็รู้ว่ามันไม่ถูกต้องอย่างไร ตั้งแต่เด็กวิชาแรก วิชาดูลูกแก้ว นั่งสมาธิดูลูกแก้ว หลับตาแล้วก็ท่องสัมมาอะระหังไปเรื่อยๆ จนจิตสงบ ก็จะปรากฏลูกแก้วขึ้นที่ศูนย์กลางกาย เป็นลูกแก้วกลม ใส นิ่ง รู้สึกดีมาก จะให้เล็กให้ใหญ่อย่างไรก็ได้ ที่ทำมาตอนอายุไม่เยอะเท่าไร วิชาที่สอง ภาวนาพุทโธ ด้วยลมหายใจ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ หลับตานั่งขัดสมาธิจนสงบ จนบางครั้งรู้สึกว่ามีแต่ลม ร่างกายไม่มีอยู่แล้ว เหลือแต่ลมหายใจ อันที่สาม วิชาดูลม อันนี้แปลกนักปฏิบัติอาจจะไม่คุ้นเคย แต่จะคุ้นเคยสองอันแรก ดูลมตามร่างกายจนจิตสงบ เสร็จแล้วอาจารย์คนสอนก็จะบอกว่า ดูจนสงบแล้วจะเห็นกองกิเลสผุดขึ้นมาทีละกอง เป็นกองโมหะ กองโลภะ โทสะ เราก็จะรื้อกิเลสออกมา แล้วเราก็เพ่ง ใช้จิตเพ่งไปและก็สลาย สุดท้ายเราจะเห็น เคยได้ยินไหม เห็นละอองอนัตตา ความเป็นอนัตตาเป็นละออง ผมผ่านมาทั้งหนึ่งสองสาม เสร็จแล้วพูดตรงๆ ก็ยังโง่เหมือนเดิม เพราะทุกอย่างมันเป็นแค่ความคิดเท่านั้นเอง แล้วก็เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งด้วยความไม่รู้ ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าสมาธิ เพราะว่าเราถูกสอน ถูกใส่ความรู้ว่าเราต้องเริ่มจากศีล สมาธิ ปัญญา เป็นลำดับ มีศีลก่อนรักษาศีลให้ดี สมาธิ ถ้าสมาธิดีปัญญาย่อมเกิด เป็นชุดความรู้ที่ใส่เข้ามาโดยผู้สอนเยอะมาก ซึ่งไม่ตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงแสดง นักปฏิบัติก็จะติดตรงนี้ว่า นี่แหละก็คือการที่จะเดินสู่ ศีล สมาธิและปัญญาอันสุดท้าย ซึ่งไม่ได้ทำให้เกิดความรู้อะไร แล้วก็ที่สำคัญก็คือเกิดความเป็นอัตตาตัวเรามากขึ้นๆ เพราะถ้าทำยิ่งดีอัตตายิ่งสูง ก็จะเทียบกับคนอื่น สอบอารมณ์กับคนอื่น ของเราดีกว่า สงบกว่า อะไรกว่า นี่เป็นการสร้างอัตตาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
นักปฏิบัติก็จะอย่างนี้ สมาธิก็เป็นอย่างนี้ต้องตามทาง ซึ่งไม่ได้ฟังคำสอนของพระพุทธองค์ที่ ๔๕ พรรษา ท่านแสดงโดยหลากหลายนัย เพื่อที่จะให้เห็นความจริงตรงนี้ จริงที่สุด แต่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่คิดเอาเอง แล้วไปสร้างสิ่งต่างๆ ที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจารย์ที่เอามาสอนท่านก็ไม่ได้มีความรู้ตามคำสอนของพระพุทธองค์ แล้วก็เอาความเห็นหรือความคิดของตัวเองมาประยุกต์เอามาสอน ซึ่งก็พากันไปผิดทาง
คุณรัก นานหรือไม่ ติดอยู่นานหรือไม่
อ.จักรกฤษณ์ หลายปี ก็ทำนองเดียวกับอาจารย์จริยา ผมก็จะเปิดสำนักเหมือนกัน ทุกอาทิตย์ก็จะมีผู้ที่มาปฏิบัติ เพราะว่าเราไม่รู้ แต่เราก็คิดว่าเพราะความไม่รู้ เราก็นึกว่าสิ่งที่ทำเป็นสิ่งที่ดี ก็อยากให้ทุกคนได้รับแต่สิ่งที่ดีด้วย ก็พากันหลงผิดกันไป แต่โชคดีที่ว่าได้ฟังคำสอนที่ถูกต้อง แล้วก็ยังมีสะสมเหตุและผลมาบ้าง ก็ทำให้สามารถที่จะทิ้งสิ่งที่ไม่ถูกต้องเหล่านั้นไปได้ และเริ่มใหม่ คล้ายๆ ต้องรื้อทิ้งแล้วก็เริ่มใหม่ ปูพื้นใหม่หมดให้ถูกต้อง คล้ายๆ กับการติดกระดุม ติดกระดุมเม็ดแรกไม่ถูก ติดไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็จะรู้ว่ามันไม่ถูก สำคัญที่สุดคือเริ่มต้นให้ถูกต้อง เข้าใจพื้นฐานที่ถูกต้อง เริ่มที่ถูกต้องก็คือเข้าใจคำว่า ธรรมคืออะไร สิ่งที่มีจริง เริ่มจากตรงนี้คือสิ่งที่ถูกต้อง อันนั้นกล่าวถึงเรื่องสมาธิที่นักปฏิบัติได้ไปทำกันมา
มีอีกอันคือเรื่องสติ นักปฏิบัติก็พูดกันมาก มีสองแนว แนวหนึ่งก็เป็นสมาธิ อีกแนวหนึ่งก็สติ สติที่เขาสอน สอนกันอย่างไร ให้รู้ตัวทั่วพร้อม ให้ดูกายดูใจ ดูจิต อันนี้คือที่สอนกัน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เริ่มจากความเห็นที่ถูกต้อง กายคืออะไร จิตคืออะไร คือไม่ได้เริ่มให้ถูกมาตั้งแต่ต้น ก็ให้มาดูกันเลย ดูกายก็ดูการเคลื่อนไหว ตอนนี้เรานั่งอยู่หรือเราเคลื่อนไหวอะไรบ้าง แล้วก็มีสติอยู่กับกาย สอนอย่างนั้น ส่วนใจก็ดูว่าตอนนี้อารมณ์เป็นอย่างไร อารมณ์ในความเข้าใจทั่วไปคือ อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดี มีความหงุดหงิดไหม มีความติดข้องอะไรไหม ดูกาย ดูจิต ซึ่งตรงนี้ถ้าเรามีความละเอียด เราได้ศึกษาพระธรรมมาบ้าง ก็จะเห็นว่ามันเป็นแค่ความคิดทั้งหมด เพราะตัวจริงๆ เรายังไม่สามารถที่จะเห็นสภาวธรรมของเขาจริงๆ ได้ ดังนั้นก็เป็นความคิดหมดเลย ทุกอย่างที่ทำเป็นเรื่องของความคิด
การที่จะเห็นสภาวะของเขาจริงๆ ได้ ต้องเป็นปัญญาที่สามารถที่จะเห็นได้ ต้องเริ่มมาจากเข้าใจในคำสอนก่อน อย่างเช่นกาย ต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่ากายนี้มีอะไรบ้าง ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง มีสภาวธรรมที่สุดของเขาคืออะไร เราถึงจะเริ่มเห็นด้วยความเข้าใจว่า ของเขามีอาการอย่างนี้ๆ แล้วก็ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไม่ได้สอนแค่นี้ดูกายดูจิต แต่ท่านสอนสติปัฏฐาน ซึ่งละเอียดมาก และเป็นความรู้ที่สูงมากๆ แต่เราเอามาใช้กันโดยไม่มีความเข้าใจเลย ก็จะบอกว่าเราเจริญสติปัฏฐานแล้ว ซึ่งผู้ที่จะทำอย่างนั้นได้ต้องมีปัญญามากๆ ที่จะเห็นสภาวธรรม จะเป็นกาย เป็นเวทนา เป็นจิตหรือเป็นธรรม ต้องมีความรู้มาก ดังนั้นที่สอนกันก็เอาง่ายๆ เข้าใจง่ายๆ แล้วก็ทำง่ายๆ เห็นผลง่ายๆ ซึ่งเหมือนติดกระดุม ติดผิดตั้งแต่เม็ดแรกสุดท้ายก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร
คุณรัก ตอนนั้นก็รู้สึกว่าคือใช่ แล้วก็ต้องตามไปตามที่เขาสอน
อ.จักรกฤษณ์ ใช่ เพราะเราไม่ได้พิจารณาเหตุและผลคือตาม คือก็สอนไปเรื่อยๆ ดูแล้วมันก็จริงๆ ก็คือไม่ยาก อย่างดูกายคือเวลาเราเคลื่อนไหว เราก็พยายามที่จะพิจารณาว่าทำอะไร ไม่ยาก แต่ไม่ได้ความรู้อะไรเลย เพราะจริงๆ มันเป็นแค่ความคิดเท่านั้นเอง การเคลื่อนไหวเราเพียงได้แต่คิดเอาเอง เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าความเคลื่อนไหวจริงๆ ของเขาที่เป็นสภาวธรรมตึงไหว จริงๆ เป็นอย่างไร ดังนั้นเป็นการสรุปแล้วก็คิดเอาเอง
คุณรัก จุดไหนของคำสอนที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่คุณจักรกฤษณ์ฟังแล้วคิดว่า มีเหตุมีผลพอที่จะเห็นว่าสิ่งที่ผ่านมาคือความคิดทั้งหมด
อ.จักรกฤษณ์ เมื่อเราได้ฟังพระธรรมโดยเป็นเป็นลำดับ โดยท่านสอนในเรื่องของธรรมคือสิ่งที่มีจริงคืออะไรไปตามลำดับ เราก็จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ผ่าน มันเป็นแค่ความคิด แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่ในพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เลย อย่างเช่นสำนักปฏิบัติไม่มี ไม่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ดังนั้นการที่เราใช้คำๆ นี้ สิ่งแรกก็คือไม่ตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงแสดง แล้วก็ไปทำสิ่งที่ท่านไม่ได้สอนอีกด้วย ซึ่งจริงๆ เรื่องนี้พระพุทธองค์ทรงทราบอยู่แล้ว เพราะว่าท่านตรัสเอาไว้ในพระไตรปิฎกมีเรื่องการกล่าวตู่ มีบทหนึ่งที่กล่าวว่า มีคนอยู่สองจำพวกที่กล่าวตู่คำสอน ก็คือคำสอนที่พระพุทธองค์ไม่ได้ตรัสไว้ ไม่ได้ภาษิตไว้ก็บอกว่าพระพุทธองค์ทรงภาษิตเอาไว้ ตรัสเอาไว้ หรือบางคำสอนบางเรื่องพระพุทธองค์ทรงภาษิตเอาไว้ ตรัสเอาไว้ แต่ก็บอกว่าท่านไม่ได้ภาษิตไว้ ไม่ได้ตรัสไว้
ตรงนี้จะมีหลายกิจกรรมที่มีลักษณะเหมือนการกล่าวตู่ ทรงแสดงไว้ในปิฎกในเรื่องนี้ด้วย ยกตัวอย่างอันนี้คือสำนักปฏิบัติไม่มี ส่วนสมาธิที่สอนกันสัมมาอะระหัง หรือว่าพุทโธ ก็ไม่ตรงกับที่ท่านแสดงไว้ในพระไตรปิฎกด้วย แต่ยกขึ้นมาทำ มาปฏิบัติกัน แล้วบอกว่าอันนี้เป็นแนวที่พระพุทธองค์ทรงแสดงไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่เลย แม้แต่การพิจารณาลมหายใจ ท่านใช้คำว่า อานาปานสติ แต่เวลาทำไม่ใช่อานาปานสติที่พระพุทธองค์ทรงแสดง เป็นการประยุกต์ใหม่หรือว่าปฏิรูป ทำให้ง่ายเพื่อที่จะให้คนทำได้ เพราะมันง่ายแค่กำหนดลมหายใจเข้าหายใจออกพุทโธ ไม่ยาก แล้วทำให้เกิดความสงบได้จริงๆ สงบในความคิดของคนทั้งโลกเรียกว่าความนิ่ง นิ่งที่แช่อยู่ในความไม่รู้ แล้วก็ความติดข้อง เหมือนเรามีสมาธิกับการทำงานเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ก็จะจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้น แต่ไม่ได้เกิดความรู้อะไร เสร็จแล้วก็ติดข้อง เพราะว่ามันสงบดี มันนิ่งดี ที่ทำส่วนใหญ่นักปฏิบัติก็จะเป็นอย่างนี้ โดยไม่ได้เกิดความรู้อะไรขึ้นเลย
ท่านอาจารย์ แต่ว่าก็จะมีคนค้าน เพราะเหตุว่ามีสำนักปฏิบัติทั่วโลก แล้วจะกล่าวว่าไม่มีในพระไตรปิฏกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ต้องมีเหตุผลชัดเจน ว่า สำนักปฏิบัติไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะอะไร ถ้าเขาไม่เข้าใจเขาก็คิดว่าที่เรากล่าวไม่ถูกต้อง ใช่ไหม เพราะมีสำนักปฏิบัติทั่วโลก และบางคนก็เข้าใจว่าพุทธศาสนาก็คือสำนักปฏิบัติ
คุณรัก ความคิดของคนน่ากลัว คือไม่รู้ความจริงแล้วกล่าวตู่ แล้วยิ่งเอาไปผสมปนเปเลยกลายเป็นของยุคเสื่อมของพระพุทธศาสนาไปแล้ว
อ.อรรณพ กลายเป็นลัทธิ แล้วก็ตู่ว่าความคิดนั้นเป็นพุทธศาสนาด้วย คือมีโทษหลายชั้น ชั้นที่หนึ่งก็คือ หนึ่ง ไม่ได้ศึกษาพระธรรมคำสอน แล้วก็เป็นการกล่าวตู่อย่างที่ท่านผู้พิพากษาท่านพูดว่า สิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงไว้ก็บอกไม่ได้แสดง สิ่งที่พระเจ้าแสดงไว้คือการรู้สภาพธรรมในขณะนี้ ก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะรู้ความจริงขณะนี้ นี้คือปฏิเสธสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงไว้ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระองค์ทรงแสดงเรื่องสิ่งเหล่านี้มากมาย จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ ตลอดเลยในพระไตรปิฎก แล้วก็สิ่งที่พระองค์ไม่ได้ทรงแสดงคือให้ไปสำนักปฏิบัติ ไม่มีคำว่าสำนักปฏิบัติในพระไตรปิฎก ประเด็นที่ท่านอาจารย์กล่าวคือว่า ก็สำนักปฎิบัติมีทั่วโลกแล้วทำไมจะกล่าวว่าสำนักปฏิบัติไม่มีในพระไตรปิฎก เพราะว่าในพระไตรปิฎกแสดงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริง สติเป็นประโยชน์ในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ แสดงแล้วว่าเป็นไปเพื่อที่จะเข้าใจพระธรรมได้ในขณะนี้ตามความเป็นจริง แล้วข้อความในพระไตรปิฎกก็สอดคล้องทุกส่วน
มีอุบาสิกาซึ่งทำอาหาร ประกอบอาหารอยู่ในครัว เมื่อมีเหตุปัจจัยจากการฟังธรรม จากการอบรมเจริญปัญญามาจนพร้อมที่จะบรรลุรู้แจ้งอริยสัจธรรม แม้ในขณะที่ทำกับข้าวอยู่ในครัว ถูกไหม อย่างนี้เป็นต้น อุบาสิกาที่ได้ยินธรรมที่ผู้อื่นกล่าว ท่านยังไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ได้มีผู้อื่นกล่าวธรรมกัน แล้วท่านได้ยิน ท่านก็สามารถมีความเข้าใจธรรมในขณะนั้น แล้วก็สามารถประจักษ์แจ้งความจริงในขณะนั้น
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องในปิฏก เพราะคำสอนโดยตรงถ้าไม่ศึกษาด้วยความละเอียด ด้วยความตรง ก็ไม่ได้สาระ แล้วก็หนึ่งไม่ศึกษาแล้วคิดเอง เหมือนที่เราคุยเรื่องปรัชญา สองไปเอาคำและข้อความในพระไตรปิฎกมา แต่ไม่ได้มีความเข้าใจอันนี้เยอะ แล้วก็เอาความคิดตัวเองใส่เข้าไป แล้วความคิดของตัวเองที่ไม่ได้ฟัง ที่ไม่ได้อาศัยพระธรรมเป็นเครื่องอุปการะ จะมีความคิดอย่างพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็คือไปเอาคำข้อความมา แล้วคิดแบบความเป็นตัวตนที่เป็นปุถุชน คือผู้ที่หนาไปด้วยกิเลสที่ไม่ได้เข้าใจพระธรรม แล้วก็คิดว่าอันนั้นถูก เพราะเขาเอาคำในพระไตรปิฎกแล้วก็เอามาคิดตาม ในพระไตรปิฎกท่านใช้คำว่า สัทธรรมปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลงพระสัทธรรม คือพระธรรมที่เป็นไปเพื่อการดับกิเลส เพื่อสงบ เปลี่ยนแปลงไป แล้วคำสอนเหล่านี้เบ่งบาน เพราะทำให้คนคล้อยตามง่าย เพราะคนมีความอยากอยู่แล้ว อยากได้บุญถูกไหม อยากได้ทุกอย่าง มีความไม่รู้เต็มไปหมด ซึ่งเป็นประเด็นหลักที่สนทนากัน แล้วก็มีความเข้าใจผิด
เพราะฉะนั้นความไม่รู้ ความเข้าใจผิดและความอยากได้ อยากแม้กระทั่งจะหมดกิเลส อยากแม้กระทั่งพระนิพพาน แต่ไม่รู้พระนิพพานไม่มีทางถึงได้ด้วยความอยาก ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกราบเรียนท่านอาจารย์ได้เพิ่มเติมว่า สภาพธรรมขณะนี้กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องไปสถานที่ใด และถ้ามีความเห็นผิดไปว่า ต้องจำกัดสถานที่ จำกัดเวลาหรือไปทำกรรมวิธีอะไร ก็เป็นหนทางของตัวตน และหนทางความไม่รู้ เพราะฉะนั้นแม้ว่าทั่วโลกจะมีสำนักปฏิบัติก็เพราะว่าความไม่รู้ ความอยากและความผิดๆ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่รู้อะไร เห็นไหม ทุกคำต้องละเอียด ไม่รู้ว่าปฏิปัตติคืออะไร ใช่ไหม ภาษาไทยก็ใช้ง่ายๆ ปฏิบัติ แต่ความจริงปฏิปัตติในภาษาบาลีไม่ใช่ไปนั่งทำ นั่งเดิน ยืน นั่งคิดหรือว่านั่งดูลมหายใจ เพราะฉะนั้นทั้งหมดมาจากคำว่าไม่รู้ ปฏิบัติคืออะไร ปริยัติรู้หรือไม่ เห็นไหม มีจริงหรือเปล่า ทุกอย่างต้องเป็นสิ่งที่มีจริง แต่ไม่รู้ความละเอียดยิ่ง ถ้าไม่รู้ความละเอียดยิ่งก็ตู่หมดเลย เพราะฉะนั้นคำที่ธรรมหรือสิ่งที่ผิดก็บอกว่าถูก อย่างสำนักปฏิบัติ ปฏิบัติอะไร ถ้าไม่รู้ก็คือผิดแต่ก็เข้าใจว่าถูก
เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียด สำหรับผู้ที่มีความเคารพอย่างยิ่งในพระรัตนตรัย ต้องเป็นผู้ที่ตรงว่าเคารพก็คือว่าง่ายใช่ไหม ว่าง่ายไม่ใช่เชื่อง่าย แต่ฟังคำของพระองค์ เพราะเรากล่าวว่าเรามีพระองค์เป็นที่พึ่ง จะพึ่งเมื่อไร เมื่อเข้าใจธรรม ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นเลย ใช่ไหม ไม่ใช่พึ่งทรัพย์สินเงินทอง พึ่งอะไร เพราะฉะนั้นปฏิปัตติเมื่อไม่รู้ก็มีสำนักปฏิบัติ เพราะไม่เข้าใจว่าสำนักคืออะไร ปฏิปัตติคืออะไร ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมให้เเข้าใจจริงๆ จะปฏิบัติได้ไหม ปฏิปัตติคือการไม่ใช่เพียงแค่ฟังเข้าใจ ต้องขณะนั้นปัญญาถึงระดับที่จะรู้ความจริงเฉพาะทีละหนึ่ง ให้ตรงกับที่ได้ฟังว่าธรรมทั้งหลาย ทั้งหลายคือแต่ละหนึ่งๆ เพราะฉะนั้นถ้ายังไม่ถึงระดับที่สามารถรู้ว่าธรรมหนึ่งคืออะไร เวลานี้ธรรมะหนึ่งคืออะไร ได้แต่ฟัง แต่ธรรมเด้งคือคิด ๑ เห็น ๑ ได้ยิน ๑ ถ้าถึงแต่ละหนึ่งเมื่อไรไม่ใช่เรา ใช่ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ก็ต้องเป็นผลของการได้เข้าใจธรรมโดยละเอียด โดยรอบคอบ โดยมั่นคง จึงจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาและสติอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น เช่นขณะนั้นปัญญาก็รู้ว่าไม่ใช่แค่ฟังเรื่องเห็น เรื่องสี เรื่องกลิ่น แต่ไม่รู้อะไร แต่ต้องขณะนี้มีสิ่งที่มีและก็ฟัง ฟังจนกระทั่งเข้าใจ จนกระทั่งรู้ความต่างกันว่า ความเข้าใจขั้นคิด ยังไม่ใช่ปฏิปัตติ เพราะฉะนั้นถ้าไม่มีความเข้าใจเสียเลย แล้วไปปฏิบัติ ทำลายคำสอนของพุทธศาสนาไหม ในเมื่อคำสอนของพระองค์ทุกคำ เป็นไปเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ด้วยเหตุนี้เข้าใจธรรมเดี๋ยวนี้ได้ไหม ถ้าปัญญาถึงพร้อมที่จะสามารถ กำลังฟังอย่างนี้ก็เข้าใจลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่กำลังปรากฏทีละหนึ่ง เป็นไปได้ไหม โดยไม่ต้องมีสำนักอะไรเลย เพราะมีสำนักให้เข้าใจผิดว่าต้องไปที่นั่น จึงสามารถที่จะเข้าใจได้ แต่เข้าใจอะไรก็ไม่รู้ และเหตุที่จะให้เข้าใจคืออย่างไรก็ไม่มี เพราะฉะนั้นผลก็คือว่าไม่รู้อะไร ทุกคนที่ไปสำนักปฏิบัติแล้วใช่ไหม ก็ไม่รู้อะไร
อ.อรรณพ ที่เขาคิดว่าต้องไปสำนักปฏิบัติ เขาคิดว่าถ้าอยู่อย่างนี้ อยู่กับบ้าน ทำกิจการ มีครอบครัวหรือที่ทำงานภาระวุ่นวาย ไม่เป็นปัจจัยที่จะทำให้สติเกิด เพราะฉะนั้นจึงควรจะไปสร้างสติกัน
คุณรัก คำว่า สำนักปฏิบัติ เราพูดกันรวมถึงวัดด้วย หลายๆ วัดเลยที่พระเองเป็นผู้หนึ่งที่จะสอนเกี่ยวกับเรื่องของการปฏิบัติเองด้วย
อ.อรรณพ อันนี้จะโยงไปถึงพระวินัยด้วย
ท่านอาจารย์ แต่ทั้งหมดที่คุณอรรณพกล่าวแล้ว เป็นธรรมหรือเปล่า ที่กล่าวว่าคฤหัสถ์วุ่นวาย ต้องไปสำนักปฏิบัติ อยู่อย่างนี้ก็มีแต่เรื่องยุ่งๆ ที่พูดมาทั้งหมดใครจะพูด คนที่ไปสำนักปฏิบัติพูดอย่างนี้ แต่ขณะนั้นทุกอย่างที่เขาพูดเป็นธรรมหรือเปล่า
