006 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๖


    คุณรัก เราก็ยังอยู่ในบรรยากาศของการสนทนาพิเศษ ในประเด็นเรื่อง ความไม่รู้ทำลายพระพุทธสาสนา เราพูดกันไปหลายต่อหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องของความไม่รู้ ยกตัวอย่างมาก็เยอะ แต่อยากจะไม่ข้ามไปมากนัก เพราะรายละเอียดเยอะมากเลย แตะตรงไหนก็เจอตรงนั้นเลย ก่อนอื่นอยากจะให้ทางด้านของคุณจริยา เมื่อสักครู่เราได้พูดคุยกันนอกรอบนิดหนึ่ง ได้คุยกันว่าก่อนหน้านี้เคยถึงขั้นว่า จะปรับปรุงบ้านเพื่อที่จะปฏิบัติธรรมเลย อยากให้แชร์ประสบการณ์ตรงนี้สักนิด

    อ.จริยา เมื่อสัก ๒๐ ปีที่แล้ว คิดว่าเกือบทุกคนมองเรื่อง การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ดีที่สุดของชีวิตของแต่ละคน ดิฉันเริ่มจากการที่เคยได้ยินจากผู้ที่พูดประโยคหนึ่งบอกว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำให้พ่อแม่ได้ก็คือ การไปปฏิบัติธรรม ดิฉันก็พยายามที่จะไปปฏิบัติธรรมที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ตอนนั้นก็มีคนแนะนำที่สำนักปฏิบัติแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้น ดิฉันก็สมัคร กว่าจะได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ด้วยความที่คนเยอะมาก ดิฉันไปแล้วในตอนนั้น บางครั้งก็ถามตัวเองเพราะว่าจะต้องไปถึง ๗ วัน หรือว่า ๕ วันหรือ ๓ วันเป็นอย่างน้อย ก็ถามตัวเองเหมือนกันว่า เรามาทำไม ร้อนก็ร้อน คนก็มาก แล้วในชีวิตเราก็ไม่ชอบคนเยอะๆ อยู่แล้ว ก็ต้องไปพบคนเยอะๆ แต่ก็ทน เพราะความที่รู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ดีที่สุด ไปแล้วเขาก็บอกว่า ทำอย่างนี้ทำอย่างโน้น แล้วก็มีการแสดงธรรมบ้าง ในเวลาที่แสดงธรรม ดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่อาจจะได้ประโยชน์จากตรงนั้นมาบ้าง เพราะเหตุที่ว่า ความที่ดิฉันเป็นคนที่ชอบค้น ฟังอะไรมาก็จด แล้วก็มาค้นคว้าอ่านต่ออะไรอยู่ตลอดเวลา

    ไปครั้งหนึ่งสองครั้งสามครั้ง แล้วก็ยังจะชวนเชิญคนในครอบครัว เพื่อนฝูงไป ไปทั้งที่หลายคนในบ้านเขาต่อต้านว่าไปทำไม แต่ตอนนั้นดิฉันคิดว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ดิฉันอยากจะทำให้ก็ไป ไปแล้วไปเล่าก็ไม่ได้สิ่งอะไรกลับคืนมา แล้วความจริงก็ได้มีสิ่งที่สอนใจ โดยตอนนั้นเรื่องหนึ่งคือดิฉันอยากจะไปปฏิบัติธรรมกับสำนักนี้ แต่อยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งโดยมีผู้สอนอยู่ท่านหนึ่ง ซึ่งก็สมัครยากเย็นแสนเข็ญ ในที่สุดก็สมัครได้ พอสมัครได้แล้ว ดิฉันก็ตั้งใจเรียบร้อยว่าจะไป โดยนิสัยดิฉันเป็นคนไม่จัดของก่อนที่จะไปไหน จะไปไหนพรุ่งนี้ดิฉันก็จะจัดตอนกลางคืน ใส่กระเป๋าปิดแล้วก็ออกเดินทาง แต่ครั้งนั้นดิฉันจัดกระเป๋าเรียบร้อย พอเสร็จเรียบร้อย ดิฉันก็ไม่สบายเป็นไข้เลือดออก ก็คว้ากระเป๋าเอาไปโรงพยาบาลด้วย คิดว่าพอเข้าโรงพยาบาลหมอคงตรวจ แล้วปล่อยดิฉันไปปฏิบัติธรรมอย่างที่ดิฉันอยากไป ตอนนั้นเป็นเดือนประมาณมีนา-เมษา อากาศก็ร้อนมากก็ไม่ได้ไป เพราะว่าเป็นไข้เลือดออกชนิดที่ไปทำลายตับ ก็นอนอยู่ในโรงพยาบาล นอนไปก็คร่ำครวญว่าอยากจะไปปฏิบัติธรรม แต่พอพิจารณาไปเรื่อยๆ ก็คิดว่าอยู่ที่นี่ก็น่าจะทำอะไรก็ได้ พิจารณาอะไรที่ลมหายใจ สมัยก่อนเขาให้พิจารณาลมหายใจ มันก็อยู่กับเราไม่ใช่เหรือ แล้วก็ไม่ร้อนดีด้วย

    ตอนนั้นเป็นครั้งแรกที่ทำให้รู้สึกว่าก็ดีแต่ก็ปฎิบัติไป ไปอีกไปแล้วไปเล่า จนกระทั่งที่บ้าน ตอนก่อนเป็นบ้านอยู่อาศัยของเรา ดิฉันมีบ้านอยู่ในกรุงเทพฯในสมัยก่อน ก็จัดปฏิบัติธรรม ก็มีเพื่อนหลายคนก็บอกว่าน่าจัด เพราะมีสถานที่มีอะไรก็จัดทุกเดือน มีการฟังธรรม อาจจะไม่ได้เรียกว่าปฏิบัติธรรมบ้างก็ได้ แต่ผู้ที่มาสอนบางท่านก็เรียกว่าการปฏิบัติธรรม ก็มีการฟังธรรมทุกเดือนเป็นเวลา ๑๐ กว่าปี มีการฟังธรรมและก็มีบางท่านก็สอนโดยการปฏิบัติธรรมเดินจงกรมนั่งสมาธิ เต็มวันก็มี ก็ทำอยู่อย่างนั้น แล้วก็ยังคิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของดิฉัน แต่ก็เรียนคุยกับสามีเสมอว่า พิจารณาดูแล้ว ไปแล้วมันก็ไม่เห็นว่าเป็นอะไร เพราะไปทุกครั้งก็ไม่ได้ทำอย่างคนอื่นเขา ซึ่งก็อาจจะเดินจงกรม นั่งสมาธิ แล้วก็เขาเรียกอะไร เนสัชชิกหรือ ที่ว่าอยู่กันทั้งคืน ดิฉันไม่เคยทำเพราะรู้สึกว่า เรื่องอะไรจะไปทรมานตน เพราะไม่ได้บังคับ ก็นอนตามปกติ แต่สิ่งที่ทบทวนตอนนั้นโดยที่ยังเข้าใจว่า การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดก็ยังทำต่อมา ถ้าฟังธรรมตอนนี้แล้วก็คงเข้าใจว่า เหตุปัจจัยของดิฉันยังไม่พร้อมที่ดิฉันจะได้ยินได้ฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ทั้งๆ ที่ตอนปลายๆ ก่อนจะเกษียณอายุสักประมาณ ๔-๕ ปี คือก่อนปี ๕ ๒ คุณสิบพัน คุณจั๊บท่านก็เคยส่งซีดีของท่านอาจารย์ให้ แล้วท่านอาจารย์จรัญ ภักดีธนากุล ท่านก็เคยให้ไอพอดที่มีธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ ดิฉันก็เอามาลงไว้เปิดฟังทุกวัน แต่ก็ฟังแบบที่ท่านอาจารย์ใช้คำว่า ฟังเผิน ก็ฟังทุกวัน ฟังจนคุณทักษพลจำได้

    เมื่อไปพบท่านอาจารย์หลังจากที่น้ำท่วม ได้พบท่านอาจารย์ที่บ้านท่านผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านอาจารย์เมตตาไปแสดงสนทนาธรรมที่นั่น คุณทักษพลถึงกับบอกว่า นี่ไงคนที่คุณเปิดตอนเช้าไม่ใช่หรือ ดิฉันก็บอกใช่ พอได้ยินคำว่า ธรรมคืออะไร คุณทักษพลก็สนใจมาก ที่คุณรักบอกว่าดิฉันเคยจะให้บ้านนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม คือตอนนั้นความคลั่งไคล้ มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องทำ เพราะอยากได้บุญ การที่เรามีที่ปฏิบัติธรรมคงจะเป็นบุญอันยิ่งใหญ่ ตามที่ท่านผู้สอนปฏิบัติทั้งหลายชอบบอกให้เราฟัง ดิฉันก็เตรียมคิดแผนการที่จะสร้างมุมบ้านด้านโน้นว่า ให้เป็นห้องสำหรับปฏิบัติธรรมสัก ๑๐ ห้อง เผื่อใครจะมาอยู่ก็ให้เขามาอยู่ได้ตามใจชอบ แต่ด้วยสิ่งที่เราคำนวณแล้วว่า ดิฉันเป็นคนชอบคำนวณต่อด้วยว่า พอเราสร้างขึ้นมาค่าดูแลรักษาอะไรต่างๆ ภายในชีวิตของเรา เราจะสามารถที่จะ เรามีเงินก่อสร้างก็จริง แต่จะดูแลได้ไหม เพราะนับวันดิฉันเกษียณจากราชการแล้ว รายได้เราก็ไม่มากแล้ว แล้วจะพอไหม หลังจากที่คำนวณแล้ว แล้วดิฉันก็รู้สึกยังไม่ค่อยถูกใจแบบที่เขาออกมา ก็เลยบอกกับสามีว่า ยุติดีกว่า ไม่ทำ นั่นก็เป็นสิ่งที่พูดกันว่า คงจะเป็นบุญที่เราเคยสะสมไว้ ที่ทำให้เราไม่คิดจะทำต่อไป

    แต่สิ่งทั้งหลายที่ผ่านมา ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราเมื่อเราพบสิ่งเหล่านี้แล้ว เราก็สามารถที่จะอธิบายให้กับคนที่บอกว่ายังปฏิบัติธรรมอยู่ ยังอยากปฏิบัติอยู่ พอจะเข้าใจได้ว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ถูก ไม่ควรอย่างไร มีหลายคนได้ถามว่า สมัยก่อนดิฉันเป็นคนชวนเขาไม่ใช่หรือให้มาปฏิบัติธรรมที่บ้าน ให้ไปปฏิบัติธรรมตรงโน้นตรงนี้ แล้วเหตุไฉนบัดนี้จึงได้บอกว่าการฟังธรรม การสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ น่าสนใจ น่าศึกษากว่าการปฏิบัติธรรม ดิฉันก็บอกกับเพื่อนฝูงว่า ถ้าไม่มาฟังเองก็จะไม่มีทางเข้าใจ พระธรรมเป็นเรื่องยาก รวมทั้งเพื่อนฝูงที่เรียนพระอภิธรรมมามากมาย ดิฉันก็ได้เห็นแล้วว่า ผู้ที่เรียนพระอภิธรรมมาจนจบ เขาเรียกอภิธรรมชั้นตรี โท ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่ท่านอาจารย์นำสนทนาได้ เพราะเหตุที่ว่าเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่มีจริงคืออะไร เพราะเขาเพียงแต่เขารู้ว่าเขาเรียนพระอภิธรรม จิต เจตสิก รูป นิพพาน เขาก็ท่องไป จิตมีเท่านี้ เจตสิกมีเท่านั้น

    แต่อย่างที่ท่านอาจารย์อธิบายเรื่อง ธรรมคืออะไร สภาวธรรมคืออะไร เขาบอกว่าเขาจะยาก เขาเรียนจบแล้ว เขาก็ได้เป็นอภิธรรมตรี ทำนองนั้น เพราะฉะนั้นเขาก็พอแล้ว เพราะเขาเรียนเพื่อสอบ แล้วเขาก็สารภาพเองว่าเขาไม่ได้เข้าใจเลยในสภาวธรรมทั้งหลาย หรือคำอธิบายของท่านอาจารย์ เขาไม่เข้าใจ ดังนั้นดิฉันคิดว่าเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง ฉะนั้นการที่เราเคยผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้ว ดิฉันจะเรียกว่าความไม่รู้ เมื่อมีความไม่รู้เกิดขึ้น เราทำได้ทุกอย่าง แต่เมื่อเรารู้แล้ว พบสิ่งที่พระพุทธศาสนาที่ถูกต้องแท้จริงแล้ว เราก็ควรจะต้องศึกษาต่อไป

    คำว่า ธรรมคืออะไร ดิฉันได้พยายามอธิบายให้เพื่อนคนทั้งหลายที่เข้าใจว่า สิ่งที่ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ท่านนำมาอธิบาย มาสนทนาหรือว่าธรรมคืออะไร มาจากไหน ดิฉันบอกแล้วว่ามาจากพระไตรปิฎก ผู้ที่ฟังก็บอกว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าพระไตรปิฎกนั้นถูกต้อง หรือว่าพระไตรปิฎกนั้นมาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็มีคนที่สงสัยอย่างนี้อีกมาก แต่ใครจะตอบ แค่คำถามจะหาคนตอบยังไม่รู้เลยว่าจะให้ใครตอบ ตอบแล้วจะเชื่อไหม เพราะฉะนั้นทุกอย่างเป็นเหตุผลอย่างยิ่ง ไม่ใช่เราจะบอกว่าไปถามคนโน้นหรือไปถามคนนี้ แต่ต้องรู้ว่าใครจะตอบ นอกจากคำที่มีในพระไตรปิฎกนั่นเองเป็นคำตอบ ว่าจริงไหม ใช่หรือไม่ เช่นพูดถึงสิ่งที่มีจริง ใครรู้บ้างว่าอะไรบ้างเป็นสิ่งที่มีจริง ใช่ไหม แต่มีคำตอบทั้งหมดอย่างละเอียดที่พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้แล้ว เพราะฉะนั้นแค่คำเดียวใครจะตอบ ความจริงนั่นต่างหากที่ตอบ ว่าใครรู้คำจริง ความจริงของสิ่งนั้น

    เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นคำไหนทั้งสิ้นต้องละเอียดจริงๆ แล้วก็เข้าใจได้ตั้งแต่คำแรก ธรรม ใครจะตอบว่าธรรมมีจริงไหม แต่ธรรมคือสิ่งที่มีจริง คำนี้อยู่ที่ไหน คำสอนที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ แล้วก็จารึกสืบต่อกันมา ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าไม่ใช่ไปเชื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ใครสามารถที่จะให้เข้าใจความจริงได้ถึงที่สุด ซึ่งตั้งแต่คำแรก ธรรมมีจริง สภาวธรรมก็มีลักษณะที่แสดงอยู่แล้วว่าจริง ใครก็เปลี่ยนไม่ได้

    เพราะฉะนั้นก็เริ่มเข้าใจว่ายังอีกมากมายนัก ซึ่งเป็นความถูกต้องในสิ่งที่มี ซึ่งจะไม่มีใครสามารถที่จะกล่าวได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นถามใครก็คือข้อความในพระไตรปิฏกนั่นแหละ และก็ทบทวน พิจารณาและไตร่ตรอง จึงจะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ถ้าไม่มีการตรัสรู้ ไม่ใช่คิดไตร่ตรอง แต่ประจักษ์แจ้งลักษณะที่มีจริงจนถึงที่สุด เพราะฉะนั้นทุกคำเป็นคำจริง ซึ่งเปลี่ยนไม่ได้เลย เช่น ธรรมทั้งหลาย ก็มีสิ่งที่เป็นธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่หนึ่ง ใช่ไหม ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ใครไปทำให้เกิด เดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ทุกคำต้องสอดคล้องกันหมด และสิ่งที่เกิดหลากหลายมากเป็นแต่ละหนึ่ง ใช่ไหม สภาพที่เกิดก็ต่างกันเป็นสองประเภทใหญ่ๆ ประเภทนึ่งก็มีจริงๆ เกิดจริงๆ แต่ไม่รู้อะไรเลย เช่น เสียง กลิ่น มีแน่ๆ แต่ไม่รู้ ไม่เจ็บ ไม่จำ ไม่หิว ไม่โกรธ

    เพราะฉะนั้นรูปธรรม สิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ใช่สภาพรู้ ต่อไปนี้เราก็เริ่มเข้าใจอีกหนึ่งคำ คือรูปะกับธรรมะในภาษาบาลี คนไทยก็พูดตามรูปธรรม แต่ต้องเข้าใจ ไม่ใช่ไม่ศึกษาธรรมเอง แต่ใช้คำในพระไตรปิฎกซึ่งเปลี่ยนความหมายไปเลย บางคนสมัยนี้ใช้คำว่า ยังไม่เป็นรูปธรรม อะไรยังไม่เป็นรูปธรรม ใช่ไหม แต่คำตอบจริงๆ ในพระไตรปิฎก เป็นคำที่ทำให้เข้าใจถูกต้องและเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเป็นธรรมซึ่งมีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ตัวอย่างก็มีแข็ง เย็น พวกนี้ก็เป็นรูปธรรม เพราะไม่รู้อะไร แต่ถ้าไม่มีสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่มีรูปเลยสักรูปเดียว ไม่ใช่รูปด้วย แต่เป็นธาตุรู้เกิดขึ้น ใครจะปฏิเสธว่าเดี๋ยวนี้ในห้องนี้ไม่มีอะไร ในเมื่อมีธาตุรู้เกิดขึ้นเห็น จะบอกว่าไม่เห็นอะไรตรงไหม ไม่ตรงใช่ไหม แต่ต้องมีธาตุที่รู้ จึงสามารถที่จะรู้ได้ว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุรู้เลย ใครจะรู้ว่า ขณะนี้มีอะไรบ้าง แต่ธาตุรู้ก็หลากหลายมาก ทุกคำฟังเพื่อให้รู้ความจริงว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มี ซึ่งใครก็ไม่รู้ต่างหาก ไม่ใช่ไปทำให้อะไรเกิดขึ้นมารู้ แต่สิ่งที่มีแล้วไม่รู้ แต่สิ่งที่มีแล้วนี่แหล่ะไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้

    เพราะฉะนั้นจากการที่ได้ทรงตรัสรู้อย่างละเอียดยิ่งโดยประการทั้งปวง ว่าทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีต่างๆ ให้เห็นว่า สภาพรู้ที่ทุกคนเข้าใจว่าเป็นเรา หรือเป็นสัตว์ หรือสิ่งที่มีชีวิตต้องมีสภาพรู้ เช่น ขณะนี้เห็น รู้ว่ามีอะไรปรากฏ ได้ยิน รู้ว่าเสียงมีลักษณะอย่างไร แต่ละเสียงหลากหลายต่างกันไป เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่ตื่นจนหลับทุกวันๆ ก็คือสิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่ามี ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรม แค่นี้ คนก็เริ่มรู้จักแล้วว่า ธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้นถ้าฟังต่อไป เข้าใจต่อไป ไม่ใช่คนอื่นตอบ แต่คำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว จะตอบให้รู้ว่าสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งใครก็เปลี่ยนไม่ได้เลยเป็นความจริง ต้องถามใครอีกไหม เห็นเดี๋ยวนี้ก็มี ได้ยินเดี๋ยวนี้ก็มี สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ใช่เห็นก็มี ตาก็ไม่เห็นอะไร ต้องจิตเห็น ธาตุรู้เกิดขึ้นเห็นจึงเห็นได้ ก็เป็นสิ่งที่เพิ่งเริ่มได้ยินได้ฟัง แต่ข้อความทั้งหมดในพระไตรปิฎกแสดงความจริงถึงสิ่งที่มีโดยนัยหลากหลายมาก โดยพระมหากรุณาให้รู้ว่าสิ่งที่มีจริงเพราะความไม่รู้ก็เหนียวแน่นมาก มีอะไรบ้างที่จะทรงแสดงให้ละเอียดขึ้น ให้ลึกซึ้งขึ้น จนกระทั่งค่อยๆ พิจารณารู้ว่า ทุกคำของพระองค์เป็นธรรม ซึ่งเป็นอนัตตา

    คุณรัก ฟังอย่างนี้แล้วก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น อยากจะทราบรายละเอียดอีกสักนิดหนึ่ง คาบเกี่ยวเส้นบางๆ ระหว่างตอนแรกที่คิดว่า ทำในสิ่งที่ถูกที่ดีที่สุดแล้วและก้าวข้ามผ่านมา มาเห็นถึงความจริงที่สุด ตรงนั้นแค่คำว่า ธรรมคืออะไรเลยหรือ ถึงได้แปรเปลี่ยนแล้วก็สามารถที่จะมายึดและมั่นคงกับการฟังพระธรรม

    อ.จริยา หลังจากที่ได้ยินคำว่า ธรรมคืออะไร ของท่านอาจารย์แล้ว ท่านอาจารย์ได้เมตตาพาไปที่มูลนิธิ แล้วก็ได้เห็นการที่ทุกคนสนทนาธรรม แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คิดว่า ตรงนั้นเราจะสนใจมากถึงขนาดอย่างไร หลังจากไปแล้ว วันนั้นดิฉันก็ได้หนังสือมา ก็เห็นมีรายการวิทยุ สถานีของบ้านธัมมะวันไหนบ้าง ก็ลองเปิดฟังในช่วงเช้าตี ๕ ครั้งหนึ่ง ๖ โมงเช้าครั้งหนึ่ง และอีกหลายๆ สถานีเท่าที่เราพอมีโอกาสฟังได้ ช่วงนั้นก็นั่งฟังแล้วก็โน้ตไปด้วยเหมือนตอนเรียนหนังสือ เป็นเวลาสักสองสามเดือน ดิฉันก็เริ่มมั่นใจ แต่ก่อนที่จะมั่นใจ ก็คุยกับทุกคนรอบข้างว่า ปีนี้ดิฉันจะไม่เชิญใครมาบรรยายธรรมที่บ้านแล้ว ก็มีผู้ถามว่าทำไมถึงไม่ฟัง ดิฉันก็บอกว่า หลังจากที่ฟังท่านอาจารย์สุจินต์ แล้ว ดิฉันทราบแล้วว่า สิ่งใดที่ดิฉันควรฟัง สิ่งใดที่ดิฉันไม่ควรฟัง แล้วโดยที่ดิฉันพิจารณาตัวเองว่า เวลาดิฉันน้อยมาก เพราะอายุขนาดนี้แล้ว ควรที่จะได้มีการฟังพระธรรมที่ถูกต้องที่แท้จริง ไม่ควรที่จะปล่อยเวลาไป เพื่อนหลายคนที่ยังฟังของหลายๆ ท่าน ก็พูดกันว่า ตกลงดิฉันจะไม่ฟังคนอื่นเลยใช่หรือเปล่า ดิฉันบอกว่าดิฉันฟังคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ไม่ว่าใครจะได้เป็นคนพูดคำๆ นั้นดิฉันก็ฟัง แต่ที่ดิฉันฟังของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ กับฟังจากรายการของบ้านธัมมะ จากวิทยุ ฟังแล้วดิฉันรู้ว่าบัดนี้ดิฉันควรที่จะทำอะไร ควรที่จะศึกษาอย่างไร

    การที่คุณรักถามว่า ทำไมดิฉันหันหลังกลับได้ ถ้าจะบอกว่าบุญที่สะสมไว้แต่ปางก่อนด้วยก็คงจะเป็นอย่างนั้น แต่สิ่งที่ได้พิจารณา บังเอิญเป็นคนที่เวลาทำอะไรดิฉันก็พิจารณาใคร่ครวญของดิฉันว่า สิ่งใดถูก สิ่งใดไม่ถูก ดิฉันก็คิดว่า เมื่อดิฉันพบทางที่ถูกแล้ว และเป็นทางที่รู้สึกว่าสบายด้วยซ้ำ ไม่ต้องตะเกียกตะกายไปที่ไหนอย่างไร เมื่อไรที่ดิฉันอยากจะฟังธรรมของท่านอาจารย์ก็เปิดวิทยุฟัง หรือว่ามีซีดีก็ฟัง หรือเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นมา ก็เปิดรายการบ้านธัมมะจากออนไลน์ฟังได้

    เพราะฉะนั้นก็ได้พิจารณาจริงๆ แล้วก็คือ การที่เราได้พิจารณา ไตร่ตรอง ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดควร ก็ความรักตัวเอง เราอยากได้สิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเราเอง ก็คิดว่า ทำไมดิฉันจะต้องเดือดร้อนถึงขนาดนั้นเล่า ในเมื่อถ้าดิฉันพบสิ่งที่เห็นว่าดีแล้ว ดิฉันพร้อมที่จะทิ้งสิ่งที่ไม่ดี แม้มีคนท้วงโดยเฉพาะลูก ก็บอกว่าเมื่อก่อนแม่เป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องที่ดี ยังชวนเขาไป แล้วตัวเขาก็ไม่ได้ชอบเลย ก็บอกว่าใช่ เพราะสิ่งที่แม่เคยทำเป็นความเห็นผิด เป็นสิ่งที่ผิด บัดนี้เมื่อแม่เห็นสิ่งที่ถูกแล้ว พบสิ่งที่ถูกแล้ว จึงไม่กลับไปสิ่งที่ผิด

    ทำไมจึงว่าเขาเป็นสิ่งที่ผิด ลูกชายเขาถาม เขาบอกว่า ผิดหรือถูก เราพิจารณาจากอะไร พิจารณาจากพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อสิ่งที่เราได้พิจารณาแล้วว่า สิ่งที่เราเคยทำมาแล้ว เป็นต้นว่า ไปปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอน แล้วเราจะไปทำอะไร ดิฉันคิดว่าอย่างนี้ เพราะเมื่อเราพบสิ่งที่ถูกแล้ว โดยเฉพาะสิ่งที่ถูก เราไม่ต้องดิ้นรนขนขวายไปไหนด้วยเลย เราอยู่ที่บ้านเรา ยิ่งเดี๋ยวนี้ของบ้านธัมมะก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เรา อยู่ที่บ้านก็ฟังธรรมได้ แล้วทำไมเราจะต้องไปหาสิ่งเหล่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นดิฉันคิดว่า ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ดิฉันว่าไม่มีใครที่จะอยากเลือกสิ่งที่ไม่ดี แต่เพราะไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดี จึงยังคิดว่า สิ่งที่ตัวเองกระทำเป็นสิ่งที่ดี


    หมายเลข 10902
    17 ส.ค. 2568