007 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ


    สนทนาพิเศษ

    เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ

    ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร

    วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ

    วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐

    ตอนที่ ๗


    อ.จริยา ดิฉันคิดอย่างนี้ว่า เมื่อเราพบสิ่งที่ถูก แล้วโดยเฉพาะสิ่งที่ถูก เราไม่ต้องดิ้นรนขนขวายไปไหนด้วยเลย เราอยู่ที่บ้านเรา และเดี๋ยวนี้ของบ้านธัมมะก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้เราอยู่ที่บ้านก็ฟังธรรมได้ แล้วทำไมเราจะต้องไปหาสิ่งเหล่านั้น ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าเราเข้าใจแล้วว่าสิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี ไม่มีใครที่จะอยากเลือกสิ่งที่ไม่ดี แต่เพราะไม่รู้ว่าสิ่งใดดีหรือสิ่งใดไม่ดี จึงยังคิดว่าสิ่งที่ตัวเองกระทำเป็นสิ่งที่ดี

    คุณรัก ฟังคุณจริยาพูดถึงเรื่องของการฟังธรรม บางคนก็อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจหรือว่าปฏิบัติธรรมอยู่ แล้วตอนนี้ก็กำลังปฏิบัติอยู่ ฟังอย่างนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ท่านผู้ชมจะเริ่มต้นอย่างไรดี หรือว่าเหตุปัจจัยยังไม่พร้อมจริงๆ ก็ยังไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ คุณรักบอกว่ายังไม่เข้าใจ แล้วจะไปทำอะไรก็ต้องไม่เข้าใจ แล้วจะไปทำสิ่งที่ไม่เข้าใจจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อสามารถจะเข้าใจจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ เพราะฉะนั้นก็ควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาว่าจะเข้าใจได้อย่างไร ไม่มีจากใครอื่นเลย นอกจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งต้องศึกษาและฟังด้วยความละเอียดอย่างยิ่ง จึงสามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจอย่างมั่นคง ทุกคำต้องสอดคล้องกันหมด ไม่ลืมเลยเวลาศึกษาธรรม ก็คือว่าธรรมต้องมีจริง ถ้าไม่มีจริงพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงตรัสรู้อะไร เมื่อมีจริง และรู้ได้ไหม ใช่ไหม มีจริงก็ต้องรู้ได้ ถ้าสิ่งที่ไม่มีจริง ไม่มีแล้วจะรู้ได้อย่างไร สิ่งที่มีจริงรู้ได้เองไหม รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ไม่มีทางเลย เพราะเหตุว่าสิ่งที่มีจริงกำลังเผชิญหน้าอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนอย่างไรก็ไม่พ้นจากธรรมเลย เพราะไม่มีอะไรนอกจากธรรม แต่ไม่รู้ว่าเป็นธรรมด้วยความไม่รู้ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงแสดงให้เราได้เข้าใจก่อนที่จะได้ทรงตรัสรู้เป็นพระโพธิสัตว์ แต่เมื่อทรงตรัสรู้แล้ว ทุกคำสามารถที่จะเข้าใจได้ว่า สิ่งที่มีไม่ใช่เรา แต่มี แล้วเป็นอะไร ก็ค่อยๆ เป็นความเข้าใจของผู้นั้นเอง ซึ่งจุดประสงค์ของการทรงบำเพ็ญพระบารมีที่ถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือ เพื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย แล้วเราจะทอดทิ้งสิ่งที่พระองค์ตรัสเพื่อให้คนอื่นได้รู้ด้วย แล้วเราก็ไม่สนใจที่จะรู้ อย่างนั้นเราก็คือไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คุณรัก เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้ชมฟังอยู่ และถ้ายังไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งท้อ เพราะคือเป็นสิ่งที่ยากและละเอียด แล้วถ้าพร้อมจริงๆ ก็จะเข้าใจ แล้วก็เห็นความสำคัญ คุณจริยาพูดถึงเรื่องของเวลาที่เหลือน้อยตอนนั้น ก็เลยเร่งปฏิบัติ แล้วก็คิดว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ท่านผู้ชมหลายๆ ท่านก็คงจะคิดเหมือนกัน บางคนอายุเยอะแล้ว และก็ไม่รู้ว่าจะอายุยืนไปถึงยาวนานแค่ไหน ก็เร่งปฏิบัติกันใหญ่เลย เพราะเห็นว่าการทำที่ทำอยู่ แม้กระทั่งสวดมนต์ไหว้พระก็เป็นสิ่งที่ดี การนั่งสมาธิก็ได้ความสงบ ไม่ต้องทุกข์ร้อนอะไรต่างๆ นานา ก็เลยเร่งกันใหญ่ ตรงนี้จะปรับเปลี่ยนความเข้าใจอย่างไรได้บ้าง เพราะเวลาเหลือไม่มากกันทุกคน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็เร่งไม่รู้กันใหญ่ ใช่ไหม เร่งอย่างไรก็ไม่รู้ เขาเป็นใคร สามารถจะทำอะไรอื่นนอกจากคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ เพื่อให้ผู้ฟังสาวก ผู้ที่ฟังคำของพระองค์ไม่ได้ฟังคำของคนอื่น รู้ว่าสิ่งที่มีจริงไม่ใช่รู้ง่าย ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง แต่เข้าใจได้ไหมในเมื่อมี เพราะฉะนั้นบารมี ๑๐ มีความอดทน ขันติบารมี กว่าจะรู้ความจริงของสิ่งที่เผชิญหน้าทุกวัน นานแสนนานไม่ใช่เฉพาะชาตินี้ชาติเดียว แล้วก็รู้ได้จากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ้นจากความเห็นผิด ความไม่รู้ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องขึ้น ใช่ไหม ผู้นั้นก็ตัดสินเองว่าจะเร่งไม่รู้ต่อไปเรื่อยๆ เร่งอย่างไรก็ไม่รู้ ยิ่งเร่งยิ่งไม่รู้ แต่รู้ว่า สามารถรู้ได้ แต่ต้องด้วยบารมี

    คุณรัก อยากให้อาจารย์วิชัยได้ขยายความของคำว่าบารมี และโดยเฉพาะที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงขันติ

    อ.วิชัย ต้องค่อยๆ เข้าใจขึ้น เพราะพระธรรมแต่ละบทหรือว่าแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดง ต้องเป็นความเข้าใจจริงๆ เพราะเป็นสิ่งที่หาฟังได้โดยยาก เพราะเป็นการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฉะนั้นบารมีก็ต้องเป็นธรรม แต่เป็นธรรมฝ่ายดีงาม ที่ยังให้ถึงฝั่ง ก็คือดับอกุศลธรรมทั้งหมดเป็นสมุฏเฉท เพราะแต่ละคนยังมีความไม่ดีก็เป็นอกุศลธรรมอยู่ หนทางของการที่จะอบรมคุณความดี เพื่อจะละอกุศลธรรมเหล่านั้นก็มีเหมือนกัน และบารมีไม่ใช่มีเพียงแค่อย่างเดียว แต่มีถึง ๑๐ ประการด้วยกัน ก็เป็นความดีทุกประการ ที่เป็นไปด้วยความรู้ ที่รู้ว่าอกุศลธรรมทั้งหลาย เมื่อเกิดก็เป็นเหตุให้เกิดโทษ ใช่ไหม อย่างเช่นที่เราเห็นตามข่าวคราวต่างๆ ก็มีความประพฤติไม่ดีงาม แต่ถ้าเข้าใจธรรม ก็ต้องรู้ว่าเกิดจากธรรมฝ่ายไม่ดี ซึ่งบุคคลนั้นไม่มีความรู้ความเข้าใจเลยว่า อกุศลธรรมเหล่านั้นเมื่อเกิดแล้วเป็นโทษแก่บุคคลนั้นเอง นี้คือจากการตรัสรู้แสดงความจริงว่าบุคคลที่กระทำอกุศลกรรม ฆ่าสัตว์บ้าง ลักทรัพย์บ้าง ประพฤติผิดในกามต่างๆ บ้าง สิ่งนี้เมื่อบุคคลที่กระทำนั้นเขาไม่เห็นโทษของอกุศลเลย แต่เพราะพระธรรมจะแสดงความจริงว่า อกุศลธรรมเหล่านั้นเมื่อเกิดแล้ว มีความประพฤติเป็นไปแล้ว ย่อมให้เกิดโทษในภายหลัง ไม่ว่าจะทั้งในปัจจุบันชาติ อาจจะถูกลงโทษกับการต่างๆ หรืออาจจะถูกการตำหนิติเตียน หรือแม้ตนเองถ้าคิดถึงการกระทำที่ไม่ดีของตนเองก็เกิดความเดือดร้อนใจ จนถึงโทษในอนาคตด้วย เพราะว่าคติมนุษย์ก็เป็นภูมิหนึ่ง แต่คติที่เป็นผลของอกุศลกรรมก็มี อย่างเช่น เกิดเป็นสัตว์นรกบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง เป็นเปรตบ้าง

    ดังนั้นเมื่อบุคคลเห็นโทษของอกุศลธรรมเหล่านี้ เห็นโทษของการที่ยังเกิด และเป็นทุกข์ใช่ไหม เกิดมาก็ไม่ใช่ว่าสุขสบายตลอดเวลา มีการที่ต้องขวนขวาย แสวงหา เพื่อที่จะให้ชีวิตดำรงอยู่ แล้วก็ต้องมีการแก่ เจ็บและต้องตายในที่สุด ดังนั้นเมื่อบุคคลที่มีปัญญาเห็นอย่างนี้ว่า การเกิดทั้งหมดเพราะความไม่รู้ เพราะความติดข้อง ดังนั้นจึงอดทนหนทางที่เป็นความดี ที่กล่าวว่าเป็นบารมี แต่ต้องเป็นผู้ที่มีปัญญาที่จะรู้ว่า คุณความดีอะไรที่จะเป็นไปที่จะละคลายอกุศลธรรมทั้งหลาย

    ดังนั้นเมื่อฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะรู้ความจริง ว่าความดีทั้งหมดเป็นธรรมและก็ไม่ใช่เรา ความรู้อย่างนี้เป็นความจริงอย่างที่กล่าวในช่วงแรกใช่ไหม ว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าธรรมที่แต่ละท่านกล่าวเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้ากล่าวถึงว่าความจริง บุคคลที่ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ สามารถเข้าใจความจริงนั้นได้ ถามทุกคนว่าเห็นไหม คนก็ตอบว่าเห็นใช่ไหม เพียงรู้ว่าเห็นแต่ไม่เข้าใจเห็น เห็นไหมต่างกัน รู้ว่าเห็นแต่ไม่เข้าใจเห็น เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงว่าเห็นนี่คืออะไร ทั้งหมดไม่ใช่เรา ฟังเผินว่าเพียงเห็น ได้ยิน แต่เข้าใจจริงๆ หรือเปล่าว่า เห็นคืออะไร

    ดังนั้นธรรมก็ต้องค่อยๆ พิจารณา อย่างที่อาจารย์จริยากล่าวถึงว่า การที่จะละทิ้งสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยอะไร ก็ต้องด้วยความรู้ ใช่ไหม เพราะความไม่รู้ทั้งหมดก็คือกระทำด้วยความไม่รู้ แต่ถ้ามีความรู้คือปัญญา ถ้าศึกษาธรรมก็จะรู้ว่า ปัญญาก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง เกิดจากการฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและมีความเข้าใจว่า สิ่งใดที่เป็นการกล่าวคำจริงให้บุคคลนั้นเข้าใจ หรือกล่าวคำอื่นเยอะแยะแต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย เมื่อเข้าใจอย่างนี้ก็รู้ว่าคำนั้นก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่าไม่ให้เข้าใจอะไร แต่คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจแล้วก็สามารถที่จะรู้ว่าคำไหนผิด คำไหนถูก แล้วจึงดำเนินไปตามคำที่ถูกต้อง คือคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ท่านอาจารย์ คุณรักฟังคุณวิชัยก็ยังเผินไม่ได้ เห็นไหม แม้แต่คำพูดใดๆ ก็ตามสักนิดหนึ่ง บารมีเพื่อให้ถึงอะไร เห็นไหม ฟังแล้ว เผินไม่ได้เลย บารมีคือธรรมฝ่ายดี เพื่อให้ถึงอะไร เห็นหรือไม่ แค่คำถามก็ยังต้องคิด ถ้าไม่คิดก็เหมือนเข้าใจ แล้วเหมือนกับว่ารู้แล้ว แต่ความจริงถึงอะไร ฟังแล้วคุณวิชัยกล่าวแล้ว แต่ฟังเผินไม่ได้เลย เพื่อให้ถึงอะไร

    บางคนก็จะกล่าวว่า เพื่อให้ถึงการรู้แจ้งสภาพธรรม รู้แจ้งอริยสัจธรรม แล้วคิดหรือเปล่าว่า เพื่อให้ถึงความเข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ทีละเล็กทีละน้อย จึงจะเป็นบารมี เพราะว่าจะถึงสิ่งที่จะเป็นการประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรมอย่างที่ได้ทรงแสดงแล้ว ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นสิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา แค่นี้เหมือนเข้าใจ แต่เดี๋ยวนี้คำนี้อยู่ที่ไหน สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้น แสดงว่าสิ่งที่มีขณะนี้เกิดแล้วใช่ไหม เกิดแล้วดับด้วยก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้นกว่าจะถึงบารมีได้ก็คือว่า เพื่อให้ความดีทั้งหมด เพราะขณะที่ไม่ดี ไม่เข้าใจธรรม แต่ว่าความดีเล็กๆ น้อยๆ อย่างไรก็ตาม ค่อยๆ ละความไม่รู้ และความไม่ดีไป ก็สามารถที่จะทำให้ฟังธรรมด้วยความเข้าใจ รู้ว่ากว่าจะถึงอย่างนั้น บารมีคือเพื่อฟังธรรมให้เข้าใจ ถ้าไม่มีบารมีมา ฟังธรรมไม่เข้าใจ เพราะฉะนั้นแม้แต่การจะฟังแต่ละคำถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ และเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อยก็เพราะบารมี และก็เป็นบารมีจนกว่าจะถึงฝั่ง คือดับความไม่รู้และกิเลสทั้งหลายได้

    คุณรัก หลายๆ ที่อาจจะบอกว่า ก็สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ แล้วก็ไปทำไปปฏิบัติ ก็จะทำให้ยิ่งเห็นมากขึ้นว่า สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ได้เห็นชัดขึ้น หลายๆ ที่คงพูดอย่างนั้น

    ท่านอาจารย์ ฟังแล้วเชื่อหรือไม่ เห็นอะไร

    คุณรัก ถ้าคนที่อยากจะเห็น ก็อยากจะลอง

    ท่านอาจารย์ เห็นอะไร

    คุณรัก เห็นถึงกิเลสของตัวเอง

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่

    คุณรัก เห็นถึงความอยาก

    ท่านอาจารย์ ไม่ใช่ นั่นคิด เห็นจริง

    คุณรัก อะไรที่จริง

    ท่านอาจารย์ เข้าใจถูกว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร นั่นคือเห็น ไม่ใช่คิด ใช่หรือไม่ เพราะฉะนั้นแม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตาเดี๋ยวนี้เป็นอะไร ได้ฟังหรือเปล่า ไม่ใช่อย่างที่คนอื่นคิด ทุกคำละเอียดมาก เพราะฉะนั้นการที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ ก็คือว่าเคารพในพระธรรม ซึ่งแต่ละคำลึกซึ้ง คุณรักว่าลึกซึ้งหรือไม่

    คุณรัก ลึกซึ้งมาก

    ท่านอาจารย์ วันนี้ฟังแค่นี้ลึกซึ้ง ใช่หรือไม่ ต่อไปลึกซึ้งกว่านี้ไหม เพราะฉะนั้นทุกคำมองดูเหมือนไม่มีอะไรเลย ใครๆ ก็รู้ได้ เห็นก็เห็น มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น แต่ว่าพอได้ฟังแต่ละคำ ธรรมมีจริง สภาวะก็เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะตน นี่ยังไม่เป็นหนึ่งเลย อย่างดอกไม้ดอกหนึ่ง มีกลีบ มีสี มีกลิ่น แต่ละหนึ่งๆ จริงๆ รวมกันว่าเป็นดอกไม้ แต่ละหนึ่งไม่ใช่ดอกไม้ สีเป็น สี กลิ่นเป็นกลิ่น รสเป็นรส แต่ละหนึ่งสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นสิ่งนั้นดับไป ให้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่ให้ไปดูอย่างไรจะเห็นอย่างนี้ได้ เห็นไหม เป็นไปไม่ได้เลย เป็นผู้ที่ประมาท แม้แต่บอกว่าจะเห็นอะไร ตอบได้หรือไม่ แต่เห็นที่นี่คือเข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มี ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ต้องรู้ว่าไม่เคยรู้มาก่อน และเป็นสิ่งซึ่งถ้าไม่มีความอดทน ว่าสิ่งนี้จริง รู้ได้ คนนั้นก็จะไม่มีบารมี

    อ.อรรณพ น่าสนใจมาก ท่านอาจารย์กล่าวว่า บารมีคือกุศล คุณความดีที่เป็นไปเพื่อการเข้าใจสภาวธรรมหรือสภาพธรรมขณะนี้ใช่หรือไม่ กราบเรียนถามท่านอาจารย์ว่า ทานบารมี ทานคือการให้ การให้จะเป็นไปเพื่อให้รู้สภาพธรรมขณะนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม ทานคืออะไร ไม่ใช่ปล่อยไปแต่ละคำ ถ้าแต่ละคำปล่อยไปก็ไม่ใช่บารมี ต้องรู้ว่าทานคืออะไร

    อ.วิชัย ต้องย้อนไปถึงธรรม ใช่ไหม ทานก็คือการให้ แต่การให้แต่ละครั้งต้องมีจิตที่คิดจะให้ ถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าจิตแต่ละคนที่เราเห็น บุคคลที่มีความต้องการ อย่างเช่น คนยากไร้ต้องการข้าว ต้องการอาหาร ต้องการวัตถุสิ่งของต่างๆ ใจขณะนั้นเป็นอะไร ต้องการช่วยเหลือเขาหรือไม่ ที่จะได้ให้สิ่งของบางอย่างที่เขาต้องการ เพื่อเป็นประโยชน์แก่เขา ดังนั้นความดีงามที่เกิดขึ้น ที่เป็นไปในการสละ ที่เป็นไปในการให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่น นั้นคือจิตที่ดีงาม ไม่ใช่คำนึงถึงวัตถุสิ่งของ แต่พูดถึงใจที่ดีงามที่เป็นทานกุศล ที่จะเป็นไปในการที่จะสละ วัตถุสิ่งของก็คำนึงถึงประโยชน์ของผู้รับ ไม่ได้คิดถึงตัวเองใช่ไหมในขณะที่ให้ แต่คิดถึงว่าผู้รับสิ่งนี้เป็นประโยชน์แก่เขา ดังนั้นใจที่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเขาในการที่จะให้เขาได้ประโยชน์จากสิ่งที่เราให้ คือทานกุศล

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นบารมีใดทั้งสิ้น แม้แต่ทานบารมีก็คือการสละ ไม่ใช่ความติดข้องเลย ทุกอย่างต้องเป็นไปในเรื่องของการสละ เพราะเราเคยเป็นเรา เป็นญาติพี่น้อง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง ทรัพย์สมบัติเงินทอง แต่ความจริงเป็นธรรมซึ่งเกิด กว่าจะสละความติดข้อง และความไม่รู้จนกระทั่งค่อยๆ รู้ขึ้น ถ้าเพียงวัตถุภายนอกยังสละไม่ได้ จะสละความเป็นเราซึ่งเคยเป็นเรามานานแสนนานได้อย่างไร เพราะฉะนั้นทั้งหมดต้องค่อยๆ เป็นไป ค่อยๆ สอดคล้อง ค่อยๆ รู้ว่าถ้าไม่มีการสละเสียเลย ซึ่งเป็นบารมี จะสละความเห็นว่าเป็นเราได้หรือไม่ ยากกว่าไหม

    อ.อรรณพ อย่างพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญพระบารมีมา อย่างพระชาติที่เป็นพระเวสสันดร พระองค์ก็บำเพ็ญพระบารมีทุกประการ โดยเฉพาะทานบารมี แต่ก็ดูเหมือนไม่ได้เกี่ยวกับการที่จะเป็นไปเพื่อเข้าใจสภาวธรรมในขณะนี้ แต่ทานนั้นเป็นบารมีที่จะให้เข้าใจความจริงขณะนี้อย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ว่ากุศลใดๆ ทั้งสิ้น คุณความดีใดๆ ทั้งหมด ถ้าไม่มีปัญญาหรือเกิดขึ้นเพราะปัญญา จะเป็นบารมีหรือไม่

    อ.อรรณพ เป็นไม่ได้

    ท่านอาจารย์ เป็นไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นบารมีทั้งหมด เพราะปัญญาที่เคยเข้าใจ เคยฟัง เคยสะสม เคยอบรมมา จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้กระทำสิ่งซึ่งใครก็ทำไม่ได้ ยากแสนยากตั้งแต่เริ่ม เป็นทานบารมีหรืออะไรก็ตามแต่ หมายความว่าบารมีที่ยิ่งใหญ่ ที่ยากที่ใครจะสละได้ แสดงให้เห็นถึงการขัดเกลากิเลสมาแล้วด้วยประการใดๆ ที่เป็นบารมี จนกระทั่งสามารถที่จะเพิ่มการสละให้มั่นคงขึ้นได้

    อ.อรรณพ เพราะถึงแม้จะน้อมมาที่จะสนใจการที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ก็เห็นคุณค่าของปัญญา ซึ่งปัญญาก็เป็นบารมีอยู่แล้ว แต่ว่ายังมีบารมีอื่นอีกทั้งเก้า เพื่อที่จะประกอบกันอย่างไร

    ท่านอาจารย์ คนที่สละทรัพย์มากหวังได้ขึ้นสวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ เป็นบารมีหรือไม่

    อ.อรรณพ ไม่เป็น

    ท่านอาจารย์ เห็นไหม นี่ก็ต่างกันแล้ว

    คุณรัก ทำให้นึกถึงคุณจริยาที่เล่าว่า ก่อนหน้านี้คืออยากได้บุญ ซึ่งหลายๆ ท่านก็คงคิดเหมือนกันว่าอยากได้บุญ ทำไปก็ต้องหวังกันทุกคน

    ท่านอาจารย์ ข้อสำคัญที่สุด บุญหรือบาป ต้องละเอียดกว่านั้นด้วย ให้คนเข้าใจผิด บาปหรือบุญ ธรรมต้องละเอียดมาก

    อ.อรรณพ แต่ก็มีอีกแบบหนึ่งซึ่งคงไม่ถูกต้อง ได้ยินว่ามีทานบารมี มีศีลบารมี มีเนกขัมมบารมี ก็เลยคิดว่าต้องทำทานก่อน แล้วก็ทำศีล แล้วก็เนกขัมมะ คือสละออกจากกาม ก็เป็นอีกแบบหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ อยากได้บารมีใช่ไหม ไม่ใช่เข้าใจบารมี นี่ก็ต่างกัน ต้องละเอียดอย่างมาก เพราะทรงอุปมาว่ากิเลสมากมายมหาศาลที่สะสมมา เพราะฉะนั้นแต่ละขณะเหมือนกับคนที่อยู่ท่ามกลางขวากหนามซึ่งล้อมรอบ แต่ละย่างก้าวที่จะไม่ถูกเจ็บด้วยกิเลสเป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่มีปัญา

    อ.อรรณพ ขวางหนามที่ล่อลวง แล้วก็ทำให้ดูสวยสดงดงามก็คือความอยาก โลภะ พอได้ยินว่าการจะรู้สภาพธรรมในขณะนี้ได้ คือเพื่อการขัดเกลากิเลสก็คือบารมี ก็ต้องอาศัยบารมี ก็ต้องอยากได้บารมีขึ้นมา

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้ว่าจะได้บารมีไปทำไม ใช่หรือไม่ แค่อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าบารมีคืนละ สละ

    อ.อรรณพ ทำไมถึงช่างโง่เขลาขนาดนั้น อยากได้ในสิ่งที่ไม่รู้ว่าจะได้ไปทำไม

    ท่านอาจารย์ เพราะไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธจ้า

    อ.อรรณพ อยากได้บารมี โดยที่ไม่รู้จักว่าบารมีจะเป็นไปเพื่ออะไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าเป็นไปเพื่อหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ยังอยากได้หรือไม่ เพราะทำด้วยความอยากได้ไม่ใช่หรือ คัดค้านกันหมดเลย ไม่สอดคล้องกันเลย เพราะว่าไม่รู้ ความไม่รู้นี้ทำให้เกิดทุกสิ่งทุกอย่างได้

    อ.อรรณพ จึงสมกับที่ท่านแสดงว่า บารมีทั้งหลาย คือกุศลธรรมทั้งหลายจะเป็นบารมี จะปราศจากปัญญาไม่ได้เลย

    ท่านอาจารย์ ต้องรู้ว่าเพื่ออะไร

    อ.อรรณพ แต่ถ้าตรงข้ามมีความไม่รู้ คือตรงข้ามกับปัญญา ก็ไม่มีอะไรจะเป็นบารมีได้เลย แล้วก็ยังไปอยากได้บารมี ทั้งๆ ที่ไม่รู้จักบารมี แล้วก็ไม่รู้ว่าบารมีจะสะสมไปทำไม

    ท่านอาจารย์ อย่างเดี๋ยวนี้ทุกอย่างไม่พ้นจากเดี๋ยวนี้ เราสนทนาธรรมเพื่ออะไร เห็นไหม ไม่ใช่ว่าอยากได้อะไร แต่เพื่อให้คนได้เข้าใจถูก เพื่อให้เข้าใจ รู้จักพระธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นเราจะสนทนาอะไร นอกจากคำที่ได้ศึกษามาแล้วจากพระไตรปิฎก ซึ่งทำให้คนได้รู้ว่าพระสัมมาสัมเจ้าทรงตรัสรู้อะไร และทรงแสดงความจริงอะไร เพื่อละอะไร เพื่อละความไม่รู้

    อ.อรรณพ อาจารย์จริยากล่าวมานิดหนึ่ง เมื่อเข้าใจถูกอย่างนี้ก็สบายไปด้วยซ้ำ ที่ไม่ต้องไปตรากตรำทำอะไรที่สำนักปฏิบัติ ที่ไม่ใช่ว่าสบาย ใช่ไหม ก็ต้องไปอดทน ไปลำบากใช่ไหม แต่สิ่งที่ดูเหมือนง่าย แต่ว่ายากยิ่งที่คนจะเห็นก็คือ การที่จะเจริญขึ้นในทางธรรมตามพระธรรมคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็คือการที่ได้มีโอกาสฟัง ศึกษา เข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อยทีเล็กน้อยในขณะนี้ ซึ่งก็ไม่ต้องไปลำบากร่างกายอะไรที่ไหน แต่ทำไมถึงได้ยากยิ่งที่จะเข้าใจตรงนี้ แล้วเห็นว่าจริงๆ พระพุทธศาสนาคำสอนเป็นประโยชน์ ในขณะที่เห็นประโยชน์ของการฟังแล้วเข้าใจขึ้นๆ ๆ

    ท่านอาจารย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แค่นี้รู้เลย กว่าจะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องบำเพ็ญความดีแค่ไหน เพราะกิเลสเต็มมาก หนาแน่น เอาออกยากเหลือเกิน ถ้าไม่ใช่ปัญญาไม่มีทางเลย กิเลสก็เพิ่มขึ้นอยู่เรื่อยๆ แม้แต่บารมีได้ยินก็อยากได้ อยากได้ไปหมด

    อ.อรรณพ แต่ถ้าได้ศึกษาในตัวธรรม หรือสภาพธรรมที่เป็นพระอภิธรรม ก็จะชัดเจนว่า จิตเกิดขึ้นก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วย ถ้าปัญญาเกิดร่วมด้วยกับ จิต เจตสิกขณะนั้น ก็ปรุงแต่งให้เจตสิกต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งก็พูดแล้วก็คือจะโดยนัยบารมีก็ไม่ผิด ให้เกิดความผ่องใส แล้วก็เป็นไปด้วยความเข้าใจก็เลยเป็นบารมีไปในขณะนี้

    ท่านอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีจิตไหม ทำไมตอบได้ รู้หรือเปล่าว่าจิตอยู่ที่ไหน จิตรู้อะไร เห็นไหม ถ้อยคำในพระไตรปิฎกที่เราศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ก็เป็นเรื่องของธรรมที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่คำยังไม่ได้ทำให้รู้ความจริง ต้องเป็นการเข้าใจแต่ละคำว่า จิตคืออะไร ไม่ใช่ว่าจิตมี ๘๙ ประเภท แต่ไม่รู้ก่อนว่าจิตคืออะไร แล้วเดี๋ยวนี้จิตอยู่ไหน ตำรากล่าวถึงความละเอียดของจิต ตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง แต่ไม่ใช่เพื่อให้เราไปจำหรือว่าไปท่อง แต่เพื่อเข้าใจแต่ละคำให้ชัดเจน แม้แต่ธาตุรู้เดี๋ยวนี้ยังไม่เปิดเผยเลย ใช่ไหม ธาตุที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ เฉพาะที่กำลังปรากฏ ถ้าเสียงยังไม่เกิด จิตจะรู้เสียงที่ยังไม่เกิดได้ไหม

    เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่เหมือนมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ สิ่งนั้นเกิดจึงปรากฏ และถ้าไม่มีธาตุรู้เสียงที่ปรากฏ เสียงก็ดับไป โดยไม่มีการรู้ว่าเป็นเสียง ด้วยเหตุนี้เราได้ยินคำว่าจิต ชินกับคำว่าจิต ชินกับคำว่าใจ แต่ไม่ได้รู้จริงๆ โดยความถูกต้องคืออะไร เพราะฉะนั้นเมื่อจิตเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ เป็นเราหรือเปล่า


    หมายเลข 10903
    4 ก.ย. 2568