005 ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนาและประเทศชาติ
สนทนาพิเศษ
เรื่อง ความเห็นผิดทำลายพระพุทธศาสนา และประเทศชาติ
ที่ บ้านคุณทักษพล และคุณจริยา เจียมวิจิตร
วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม และ
วันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐
ตอนที่ ๕
ท่านอาจารย์ สำคัญที่สุดวัดคืออะไร เป็นที่อยู่ในสมัยโน้นที่ท่านอนาถบิณฑิกะท่านสร้างพระวิหารเชตวัน ถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่อทรงเป็นที่ประทับ เพื่ออะไรอีก เห็นไหม ทุกอย่างต้องละเอียดมาก ประทับเพื่ออะไร ประทับเพื่อทรงแสดงธรรม กับผู้ที่มีโอกาสที่จะได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจขึ้น จนถึงกับรู้อัธยาศัยของตนเอง ว่าอัธยาศัยของตนสามารถที่จะสละเพศคฤหัสถ์ ถ้ามีแต่เพศคฤหัสถ์ ไม่ต้องมีวัด ใช่ไหม แต่เพราะเหตุว่าคนฟังก็รู้อัธยาศัยว่า เขาสามารถจริงๆ ที่จะสละเพศคฤหัสถ์ หมายความว่าอย่างไรเพศคฤหัสถ์ ทุกอย่างที่เรามี เปลี่ยนจากชีวิตหนึ่งเป็นอีกชีวิตหนึ่ง คือละ ไม่ใช่ว่าทิ้งไปเปล่าๆ สละแม้แต่ความติดข้อง ถ้ายังติดข้องอยู่ ไปไม่ได้ สละไม่ได้ แต่ไม่ใช่อยากจะไปก็ทิ้งไปชั่วคราว แต่ต้องเป็นอัธยาศัยที่เห็นคุณค่าอย่างยิ่งของการที่จะได้เข้าใจพระธรรมยิ่งขึ้นอีก โดยการที่ทั้งวันตั้งแต่ตื่นจนหลับเป็นเพศบรรพชิต ซึ่งจะต้องประพฤติปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง ซึ่งละเอียดยิ่ง ซึ่งแสดงให้เห็นความต่างของคฤหัสถ์กับบรรพชิต เพียงแค่กิริยาอาการในชีวิตประจำวันก็รู้ได้ ว่านี่ไม่ใช่คฤหัสถ์ แต่เป็นบรรพชิต แล้วก็ต้องศึกษาธรรมด้วย อบรมเจริญปัญญา เพื่ออะไร เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งนำมาซึ่งกิเลสทั้งปวง
เพราะฉะนั้นต้องเป็นผู้ที่รู้พระวินัย กาย วาจา ต้องสงบอย่างไร เป็นอย่างไร เหมือนพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ทั้งหลาย ซึ่งถ้าไม่มีการสนทนากัน จะรู้ได้ไหมว่าใครเป็นพระอรหันต์ ใครไม่ใช่พระอรหันต์ เพราะฉะนั้นทุกอย่างหมดภายนอกต้องประพฤติปฏิบัติตาม เพียงผิดนิดเดียวไม่ใช่เพศบรรพชิต เป็นคฤหัสถ์
เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ความต่างกันด้วย ใครอยู่ที่วัด ใช่หรือไม่ แล้วอยู่ทำไม อยู่เพื่ออะไร เพราะฉะนั้นวัดจึงเป็นที่มาซึ่งน่ารื่นรมย์ในความรู้ ในความเข้าใจ ในความเห็นถูก ซึ่งหาไม่ได้ที่อื่น แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ เป็นวัดไหม มีตลาดนัดในวัด ได้ไหม เห็นไหม เพราะไม่รู้
คุณรัก ความไม่รู้ อันตรายจริงๆ
ท่านอาจารย์ ทุกอย่างจริงๆ นำมาซึ่งความไม่รู้ แม้แต่ว่าวัดคืออะไร วัดสมควรจะเป็นที่ขายของหรือไม่ วัดสมควรจะเป็นที่รื่นเริงหรือไม่ เห็นไหม ทั้งหมดเป็นความไม่รู้
อ.จักรกฤษณ์ ขออนุญาตสนทนาประเด็นที่ท่านอาจารย์ยกมา ตรงนี้สำคัญ ทำให้เห็นว่า ถ้าเราเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคืออะไร เข้าใจจริงๆ จะเห็นได้ชัดเจนว่า แม้แต่วัดเองที่เราหรือชาวพุทธทั่วไปเข้าใจกัน พอพูดถึงพระพุทธศาสนา สิ่งแรกที่ต้องนึกถึงคือวัด ถูกไหม คนทั่วไปนึกถึงวัดก่อนเลย มีหลายๆ คนบอกว่าถ้าวัดไม่มีพระ ไม่มีวัดหมดแล้ว
คุณรัก เลือกวัดสวยๆ ด้วย บางทีไปดูโบสถ์สวยๆ มีสถานที่สำหรับถ่ายรูปกันก็จะไปกันเยอะ
อ.จักรกฤษณ์ พอเราเข้าใจจริงๆ แล้ว จะเห็นได้ว่าวัดไม่ใช่องค์ประกอบของพระพุทธศาสนาเลย เพราะถ้าเข้าใจจริงๆ ว่า พุทธศาสนาก็คือความจริงที่นำไปสู่ความรู้ที่รู้แจ้งในความจริงทั้งหมด ตรงนี้ไม่ใช่เลยที่ชาวพุทธเรานึกถึง พูดถึงพุทธศาสนาไปนึกถึงวัดมาก่อนเลย คนละคนละเรื่องเลย ทำให้เห็นว่าเข้าใจไปคนละทางกัน ดังนั้นถึงแม้ว่าจะไม่มีวัด ถ้ามีผู้ที่เข้าใจความจริงที่พระพุทธองค์ทรงสอน พระพุทธศาสนาก็ยังอยู่ ยังอยู่ในคนๆ นั้นหรือกลุ่มคนนั้น
ดังนั้นจะเห็นว่าวัดปัจจุบันนี้ ไม่ใช่พระพุทธศาสนาก็จะว่าได้ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ความจริงปรากฎอยู่ กับผู้ที่ศึกษาความจริง เพราะว่าที่สำคัญที่สุดก็คือพระธรรมวินัย คำสอนของพระพุทธองค์ ดังนั้นต้องเข้าใจ ต้องปรับขบวนคิดใหม่เลยตรงนี้ พยายามทำความเข้าใจ ซึ่งอาจจะยากหน่อย เพราะเราสอนมาตั้งแต่ปู่ย่าตายายว่า จูงลูก จูงหลานเข้าวัดกันตั้งแต่เด็กๆ เป็นประเพณี เป็นนิสัย แต่ถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ เราก็เข้าใจให้ถูกต้องได้ ทำสิ่งที่ถูกต้องได้ ก็เป็นชาวพุทธที่แท้จริงได้ ไม่ได้ทำลายพระศาสนา แต่เป็นการส่งเสริมทำให้ถูกต้องตามองค์ประกอบที่แท้จริง บูชาพระธรรมวินัยที่แท้จริง
ที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ การบูชาที่แท้จริงคือการเข้าใจคำสอนของท่าน ไม่ใช่เอาดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปวัด ไปบูชา แม้แต่ว่าบูชาพุทธรูป บูชาสิ่งต่างๆ ท่านตรัสไว้เลยว่า การทำเหล่านี้จะเรียกว่าเป็นอามิสบูชา ไม่ได้ทำให้พระศาสนาดำรงอยู่ แม้กระทั่งชั่วดื่มข้าวยาคูเลย และทำอย่างนี้ก็ไม่ได้เป็นการดำรงพระศาสนาอยู่แม้ชั่วดื่มข้าวยาคูเลย แต่การปฏิบัติบูชาคืออะไร คือการศึกษา เข้าใจคำสอนของพระพุทธองค์ นี่แหละคือการดำรงไว้ซึ่งพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ท่านตรัสไว้ตั้งแต่สมัยโน้น ชาวพุทธคงต้องมานั่งวิเคราะห์ดู ที่เข้าวัดเข้าวาเอาสิ่งของไป กราบไหว้บูชาอะไรกัน ท่านแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่การดำรงพระพุทธศาสนาแม้ชั่วนิดเดียวเลย ท่านตรัสไว้อย่างนี้แล้วเราคิดอย่างไร เราก็ยังทำอย่างนั้นอยู่หรืออย่างไร น่าคิด น่าพิจารณา
คุณรัก เห็นได้ชัดอย่างที่คุณจักรกฤษณ์ยกตัวอย่างมา ว่าวัดจริงๆ แล้วควรจะเป็นอย่างไร และที่ไม่ควรจะเป็นอย่างไร ในฐานะประชาชนคนไทยทั่วไป อาจจะไปเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ แต่ว่าตัวเราเองจะเริ่มต้นอย่างไร ที่จะดำรงพระพุทธศาสนา นอกจากที่ท่านอาจารย์กล่าวไว้แล้วว่า ก็ต้องศึกษาเรื่องของธรรม แต่อยากให้ท่านอาจารย์ได้ขยายรายละเอียดสักนิดหนึ่ง เพราะเป็นจุดเริ่มต้นจริงๆ ที่จะทำให้พระพุทธศาสนาดำรงอยู่ได้ ถ้าไม่อย่างนั้น จะเห็นว่าปัจจุบันนี้ผิดไปหมดเลย
ท่านอาจารย์ ต้องเข้าใจจุดประสงค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเพ็ญพระบารมีเพื่ออะไร เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง พระภิกษุสาวกทั้งหลาย ศึกษาธรรมเพื่ออะไร ก็เพื่อให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นใคร ว่าจะต้องเป็นภิกษุหรืออะไร เพราะคฤหัสถ์ก็ศึกษาธรรมได้ มีคฤหัสถ์ที่เป็นเอตทัคคะ ผู้เลิศในทางต่างๆ แม้ในทางที่กล่าวธรรมด้วย นี่แสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงว่า พระธรรมอยู่ที่ความเข้าใจ ไม่ใช่อยู่ที่ตัวหนังสือ เพียงเสียงที่ได้ฟัง แต่ต้องไตร่ตรองให้ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นการที่จะเป็นชาวพุทธผู้รู้จริงๆ ไม่ใช่เป็นชาวพุทธในนามโดยกำเนิด แต่ไม่เข้าใจธรรมหรือไม่สนใจธรรมเลย เพราะเหตุว่าชาวพุทธบางคนก็ยังสงสัยด้วย พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า ทรงตรัสรู้อะไรก็ไม่รู้ทุกอย่าง ก็รู้ได้เมื่อมีการที่รู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุด และทรงแสดงธรรมให้เราเข้าใจได้ แต่ต้องเป็นผู้ที่รอบคอบทีละคำ แม้แต่คำว่าวัด พระเชตวันในครั้งอดีตเป็นวัดหรือเปล่า อารามะ เป็นที่รื่นรมย์ เดี๋ยวนี้มีพระภิกษุหรือไม่ ไม่มี แล้วทำไมจะห่วงใยว่า ถ้าไม่มีพระภิกษุ พระศาสนาจะไม่ดำรงอยู่ พระศาสนาไม่ได้ดำรงอยู่ที่คำว่าภิกษุ แต่ต้องอยู่ที่ภิกษุจริงๆ ผู้เห็นภัยในสังสารวัฎฏ์
เพราะฉะนั้นจะอยู่ที่ไหนก็ตามแต่ พระศาสนาก็สามารถดำรงอยู่ได้ด้วยความเข้าใจแม้คนหนึ่ง เวลานี้เราบอกว่าพระศาสนาเสื่อมถอยลงไปจากความเข้าใจของคน เพราะไม่มีใครศึกษา และถ้าไม่มีเลยเมื่อไรก็คืออันตรธาน แต่ตราบใดที่ยังมีคนที่เห็นประโยชน์ แล้วศึกษาและมีความเข้าใจที่ถูกต้องแต่ละหนึ่งๆ พระศาสนาก็ยังไม่อันตรธาน แต่อันตรธานแล้วสำหรับคนที่ไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นก็เข้าใจวัดแล้ว
อ.อรรณพ ถ้าเข้าใจพุทธศาสนา ก็จะไม่สับสนเลยว่า วัดคืออะไร ก็น้อมระลึกถึงวัดที่ใหญ่ก็คือพระเชตวัน ว่าเป็นสถานที่ แม้ข้อความที่กล่าวในพระไตรปิฎว่า วัดพระเชตวันมหาวิหาร อารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ก็คือมีทั้งคำว่าวิหาร แล้วก็มีคำว่าอาราม วิหาระก็คือที่อยู่ใช่หรือไม่ ถ้าเป็นที่อยู่ของผู้ที่ทรงคุณอันประเสริฐ เป็นผู้ที่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ตั้งแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ทรงประจักษ์แจ้งในสภาวธรรมโดยประการต่างๆ ไม่มีเลยที่จะมีสภาวใด ธรรมใดที่ไม่กระจ่างแจ้งจากพระองค์ แล้วพระองค์ก็ได้ประทับอยู่ที่นั่น ที่นั้นเป็นวิหารที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งหมู่พระอริยสงฆ์ได้อยู่ แล้วก็ได้มีโอกาสที่พุทธบริษัทจะได้ไปเข้าเฝ้า ฟังธรรม ทูลถามปัญหาหรือพระองค์ทรงอธิบายโดยเห็นประโยชน์ ไม่ว่าจะมีผู้ถามหรือไม่มีผู้ถาม เป็นที่มายินดีอย่างยิ่งเป็นอารามะ เพราะสามารถที่จะทำให้ได้เห็นในความลึกซึ้งของสภาวธรรมตามความเป็นจริงนั้นได้ ตั้งแต่การฟังเป็นเบื้องต้น
เพราะฉะนั้นสถานที่นั้น จึงเป็นสถานที่ที่มายินดี ไม่ใช่ยินดีด้วยโลภะ แต่ยินดีด้วยปัญญา ความปิติ ที่ได้ยินได้ฟัง สิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน แล้วก็เป็นประโยชน์ที่ปัญญาจะอบรมขึ้น จนถึงในสภาวธรรมนั้นจริงๆ จะยินดีอะไรเท่ากับยินดีที่ได้รู้ความจริงแท้ เพราะสิ่งที่ผิวเผินนั้นต้องไม่ใช่ความจริงแท้ แต่สิ่งที่จริงนั้นต้องเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง ได้รู้ถึงความลึกซึ้งของสภาวธรรม
ท่านอาจารย์ ธรรมตรง ต้องเป็นผู้ตรง จึงจะเข้าใจได้ถูกต้อง เพราะฉะนั้นถ้าวัดนั้นมีภิกษุที่รับเงินและทอง และยินดีในเงินและทอง จะเป็นอารามะหรือเปล่า
อ.อรรณพ ไม่เป็น เพราะว่าหนึ่งผิดพระวินัย แล้วก็ไม่มีการที่จะแสดงคำสอนที่เป็นไปเพื่อการเข้าใจสภาวธรรม
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาวพุทธต้องเข้าใจธรรม และรู้ความจริงซึ่งเปลี่ยนไม่ได้ ถูกคือถูก ผิดคือผิด
อ.อรรณพ แต่ด้วยความไม่รู้อย่างที่คุณรักกล่าวตั้งแต่ต้นรายการ เพราะว่าด้วยความไม่รู้ เกิดมาก็คิดว่าถ้าเป็นอย่างนี้ วัดไทยก็คือมีศิลปะ ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมแบบไทย เราก็คิดว่านี้วัดไทย อันนี้เป็นวัดแขก อันนี้เป็นศาสนาโน้นศาสนานี้ ก็ดูกันที่สถาปัตยกรรม เขาก็คิดว่านี้ไปวัดพุทธ แต่วัดนั้นไม่ได้มีความเป็นพุทธ ที่อาจารย์จักรกฤษณ์ประมวลมา ท่านอาจารย์กล่าวว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่ว่าวัดที่เป็นสิ่งก่อสร้าง ถูกไหม ไม่ใช่ว่าต้องมีภิกษุ แต่มีความเป็นภิกษุ แล้วก็มีความเป็นอารามะ เพราะว่ามีปัญญา ความเข้าใจสภาพธรรม แล้วก็มีการศึกษา มีการสนทนา มีการกล่าวธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่อุปการะ เกื้อกูลให้ปัญญาเกิดขึ้น ที่จะชื่นชมยินดีในคำสอน ซึ่งจะระลึกถึงข้อความที่พระเถระทั้งหลาย ท่านชื่นชมยินดีภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ท่านอาจารย์ แสดงว่าความไม่รู้นำมาซึ่งสิ่งที่ผิดจากพระธรรมวินัยมากมาย เช่น สำนักปฏิบัติและก็การบวช โดยที่ผู้นั้นไม่ได้มีความเข้าใจธรรมเลย ทั้งภิกษุและสามเณร ก็แสดงเห็นว่า ไม่ได้เข้าใจธรรม และไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คุณรัก พูดถึงคำว่า ความไม่รู้ เป็นสิ่งที่นำมาซึ่งความเสื่อมในทุกๆ อย่างจริงๆ คุณจริยามีอะไรจะพูดเสริมในประเด็นนี้หรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องของวัด แล้วก็เรื่องของพระธรรมวินัย ที่ไม่ถูกดำรงอยู่
อ.จริยา เรื่องวัดเราก็ได้สนทนากันไปมากกว่า ก่อนอื่นเราต้องทราบว่า วัดคืออะไร คือในความหมายของคนทั่วๆ ไป เห็นที่ไหนที่มีอาคาร สิ่งก่อสร้าง แล้วก็มีคนที่ห่มผ้าเหลืองอยู่ ก็เรียกว่าวัด โดยไม่ได้ใส่ใจ สนใจว่า วัดที่แท้จริงในพุทธศาสนานั้นคืออะไร ก็คือที่มายินดี อย่างที่ท่านอาจารย์คำปั่นกล่าว มายินดีอะไร ก็ต้องมายินดีในกุศล กุศลนั้นจะมาจากอะไร ก็มาจากการที่ได้มีพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นวัดในความหมายที่จะทำให้คนทั้งหลายได้รักษาพระศาสนาได้ ที่นั่นก็จะต้องมีวัดที่เป็นไปตามพระธรรมวินัย อย่างที่คุณจักรกฤษณ์แลอาจารย์คำปั่นได้กล่าวไปแล้ว นอกจากจะเป็นไปตามพระธรรมวินัยในเรื่องของวัด ในการสร้างวัด เราก็จะเห็นว่าในพุทธกาลไม่ใช่ให้พระเป็นผู้สร้างวัด ฆราวาสเป็นผู้ที่สร้าง เพื่อที่จะให้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือพระภิกษุทั้งหลายได้อยู่อาศัย ได้เจริญสมณธรรม เพราะฉะนั้นในปัจจุบันเราจะเห็นวัดเป็นที่เรี่ยไรเงินให้ไปสร้างวัด เพราะเดิมถ้าเราจะไปถึงกฎหมายคณะสงฆ์ วัดก็จะมีสองอย่าง ก็จะมีเรื่องของ วัดกับสำนักสงฆ์
เพราะฉะนั้นบ้านเราที่วัดเกิดขึ้นมามากมาย ก็เพราะเริ่มต้นจากคนสักคนหนึ่งที่คิดว่าตัวเองอยากบวช ก็สร้างสำนักสงฆ์ เมื่อสร้างสำนักสงฆ์ไม่ต้องสนใจว่าจะศึกษาพระธรรมหรือไม่ ในที่สุดก็ขออนุญาตเป็นวัดตามกฎหมายคณะสงฆ์ เพราะฉะนั้นวัดที่ถูกต้องก็คือ หนึ่งจะต้องเป็นวัดที่อยู่ในคำที่ท่านอาจารย์คำปั่นอธิบายไปแล้ว คืออารามะ คือเป็นที่มายินดี จะยินดีอะไร ก็ต้องยินดีในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นผู้ที่อยู่ในวัดที่เราเรียกว่าพระ ก็ต้องเป็นผู้ที่ศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ เมื่อศึกษาพระธรรมวินัยแล้ว หน้าที่ของท่านคืออะไร ก็คือนำพระธรรมวินัยนั้นมาถ่ายทอดให้กับประชาชนทั้งหลาย ซึ่งใส่บาตร ทำบุญทำไม การที่ใส่บาตรพระทุกวัน เขาก็หวังว่าเขาจะได้รับฟังคำสอนที่ถูกต้องซึ่งปัจจุบัน เขาได้รับฟังเหมือนกัน แต่เขาก็ไม่รู้ว่านั่นคือสิ่งที่เป็นยาพิษที่เขาได้รับ โดยที่เขาก็ไม่ทราบว่า มันเป็นยาพิษ เพราะเขาได้รับมาจากพระ ซึ่งเขาคิดว่านั่นคือพระในพระพุทธศาสนา คนทั้งหลายไม่เข้าใจคำว่าพระธรรมวินัยเลย เพราะเหมือนกับว่ามันทางไกลเหลือประมาณคำว่าพระธรรมวินัย แต่เมื่อเราได้สนทนากันเรื่องนี้แล้ว ดิฉันคิดว่าถ้าท่านผู้ชม ท่านผู้ฟังทั้งหลายเข้าใจว่า วัดคืออะไร พระภิกษุคืออะไร พระธรรมวินัยคืออะไร วัดคือที่มายินดี มายินดีในการที่จะได้ฟังพระธรรม จากคำถ่ายทอดมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นที่ประกอบเพียงศาสนกิจ แล้วก็เป็นที่รื่นเริงบันเทิง จัดงานขายของ อย่างที่ท่านอาจารย์เคยสนทนาไปแล้ว แล้วประชาชนทั้งหลายถ้าในเมื่อวัดยังเป็นอย่างนี้ หน้าที่ของประชาชนก็คือศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจ อย่างน้อยที่สุดเมื่อเข้าใจพระธรรมวินัยแล้ว ก็จะทราบว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง จะได้ช่วยกันรักษาพระศาสนา
อ.อรรณพ ถ้าคิดให้ละเอียดก็เป็นที่น่าตกใจ ปัจจุบันวัดในประเทศไทยเราและก็สำนักสงฆ์ที่กำลังจะได้รับการยกระดับให้เป็นวัดก็คงเพิ่มขึ้นมากมาย แล้วก็มีภิกษุอยู่ที่วัด อยู่ที่สำนักสงฆ์ที่กำลังยกระดับเป็นวัดมากมาย แต่ถ้าพูดอย่างนี้ว่า เราจะมีวัดและมีสำนักสงฆ์มากมาย แล้วมีทั้งภิกษุที่บวชกัน แต่เราไม่มีความเป็นวัด และความเป็นภิกษุในพระธรรมวินัย จะรุนแรงไปหรือไม่
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นชาวพุทธหรือทุกคนต้องเป็นผู้ที่ตรงและจริงใจ อารามะคือที่ซึ่งนำมาซึ่งความยินดี ยินดีในอะไร จึงจะเป็นอารามะ ไม่ใช่สนุกสนานรื่นเริง แต่ยินดีในการได้เข้าใจความจริง เข้าใจความจริงเมื่อไร ลองคิดดู ยินดีหรือไม่ ถ้ายินดีเป็นชาวพุทธ แต่ถ้าไม่ยินดี พูดเรื่องอะไร ดูเหมือนเป็นการโจมตีกล่าวร้ายต่างๆ ไม่ยินดีที่จะเข้าใจความจริง อย่างนั้นก็ไม่ใช่ชาวพุทธ เพราะอารามะคือที่นำมาซึ่งความยินดีในการเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง ถ้าไม่ใช่พระธรรมที่ถูกต้องมีประโยชน์อะไร จะยินดีหรือไม่ นำมาซึ่งความเห็นผิด และก็เป็นการทำลายคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วย
เพราะฉะนั้นก็ต้องเข้าใจแม้แต่คำว่าอารามะ นำมาซึ่งความยินดี เพราะได้เข้าใจพระธรรม หรือสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนั้น ซึ่งไม่เคยเข้าใจมาก่อน และก็ถามชาวพุทธสำหรับรายการที่ฟังอยู่ ยินดีอย่างนี้หรือเปล่า ยินดีที่จะเข้าใจความจริง ซึ่งเป็นพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
